การสร้างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้เริ่มจากการหากลยุทธ์การตลาดที่ดีที่สุดเสมอไป แต่อาจเริ่มต้นจากความหลงใหลเล็กๆ ที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นจนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญ เช่นเดียวกับเรื่องราวของ พิณ เจนวัฒนวิทย์ หญิงสาวที่ใช้ความรักในขนมหวานเป็นแรงบันดาลใจในการปลุกปั้นแบรนด์ The Rolling Pinn ขึ้นมา
จุดเริ่มต้นของ The Rolling Pinn ย้อนกลับไปในปี 2007 เมื่อพิณเริ่มทำขนมตามสูตรของเม-กุลพัชร์ กนกวัฒนาวรรณ ผู้ก่อตั้งร้าน After You ฝึกฝนอย่างตั้งใจ สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่ทุกครั้งที่ลงมือทำขนม กลับสร้างความสุขและเติมเต็มใจเธอได้เสมอ จากการแบ่งขนมให้เพื่อนๆ ลิ้มลอง ความหลงใหลจึงค่อยๆ งอกงาม จนพัฒนาไปสู่การทำขายในช่วงปิดเทอม และกลายเป็นเส้นทางชีวิตที่เธอเลือกในที่สุด
The Rolling Pinn เกิดขึ้นในปี 2018 ภายใต้ความตั้งใจที่จะไม่ใช่แค่แบรนด์ขนมธรรมดา แต่เป็นแบรนด์ที่สื่อถึงพลังของความมั่นใจและความสุข ที่ผู้หญิงสามารถสัมผัสได้ผ่านทุกชิ้นเค้กและทุกช็อตการเป่าเกล็ดกลิตเตอร์ขณะถ่ายรูป เรียกได้ว่าเป็นขนมที่ไม่เพียงเติมเต็มรสชาติในปาก แต่ยังปลุกประกายพลังใจในตัวเองอีกด้วย
กว่าจะได้ชื่อ The Rolling Pinn
การตั้งชื่อแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพิณ เธอเล่าว่า วันนั้นเธอขอไอเดียจากเพื่อนๆ ให้ช่วยกันคิด โดยตั้งโจทย์ง่ายๆ ว่า อยากให้ชื่อมีคำว่า Pin อยู่ในนั้นด้วย พิณเล่าย้อนบรรยากาศวันนั้น ก่อนที่หนึ่งในเพื่อนจะโยนไอเดียมาเล่นๆ ว่า แล้วทำไมไม่เอาคำว่า Rolling Pin ล่ะ ซึ่งในภาษาอังกฤษหมายถึง ‘ไม้สำหรับนวดแป้ง’ พอดี
“เราฟังแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี เป็นคำที่เกี่ยวกับขนมด้วย แล้วฟังดูมีพลัง น่าตื่นเต้น เหมือนการกลิ้งไปข้างหน้าไม่มีหยุด” พิณอธิบายเพิ่มเติม
สุดท้ายเธอตัดสินใจเพิ่มตัว n ในคำว่า Pin ให้กลายเป็น Pinn เพื่อสอดคล้องกับชื่อของตัวเองอย่างลงตัว กลายเป็นแบรนด์ที่มีชีวิต มีเรื่องราว และมีความหมายในแบบที่อยากส่งต่อไปถึงทุกคน
วอร์มเตาด้วยคุกกี้ ก่อนพัฒนาสูตรขนมอื่นๆ
จากไลน์ขนมที่หลากหลายทั้งคุกกี้ บราวนี และเค้ก คุกกี้คือขนมชิ้นแรกที่ The Rolling Pinn หยิบขึ้นมาเป็นตัวแทนความตั้งใจทั้งหมดที่อยากสื่อสารออกไป พิณเล่าว่า “คุกกี้ที่ดีสำหรับเราคือกรอบนอกนุ่มใน ถ้ามีไส้ช็อกโกแลต เวลาเคี้ยวต้องได้สัมผัสช็อกโกแลตที่ระเบิดออกมาในปาก”
หนึ่งในคุกกี้ตัวแรกที่ทำหน้าที่นั้นได้ดีที่สุดก็คือ MAMA OG คุกกี้เนื้อหนึบที่หอมกลิ่นเนย รสเค็มนิดๆ จากเกลือทะเล ผสานความกรุบกรอบของถั่วและดาร์กช็อกโกแลตจาก Valrhona ทุกคำที่กัดเหมือนถ่ายทอดความสุขจากคนทำสู่คนกินอย่างซื่อตรง นอกจากนั้นยังมี CUP C คุกกี้ยักษ์ที่ตามออกมาทีหลัง แต่กลายเป็นหนึ่งในตัวฮิตอย่างรวดเร็ว ด้วยส่วนผสมของนม วอลนัต และดาร์กช็อกโกแลตที่ลงตัว
“เราชอบคิดสูตรคุกกี้ใหม่ๆ ที่อยากให้คนจำแบรนด์ได้” พิณบอก พร้อมเล่าว่า เคยทดลองทำคุกกี้สูตรมัทฉะลาวา การผสมผสานน้ำผึ้ง สาหร่าย และเลย์ ที่เรียกได้ว่าคนที่ชอบก็หลงรักเลย แต่คนที่ไม่ชอบก็ชัดเจนไม่แพ้กัน นั่นทำให้เธอกลับมาโฟกัสที่คุกกี้สูตรฮิตอย่าง MAMA OG เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
ฟีดแบ็กแรกๆ และก้าวต่อไปสู่หน้าร้าน
ในช่วงแรกที่เปิดขายออนไลน์ ฟีดแบ็กถือว่าดีในระดับหนึ่ง แม้จะยังไม่ได้ขายถล่มทลาย แต่ก็มียอดสั่งเข้ามาประมาณวันละ 10 ออเดอร์ ซึ่งเพียงพอจะต่อยอดความฝันให้เติบโตไปได้ จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นช่วงก่อนวันวาเลนไทน์ปี 2019 เมื่อ The Rolling Pinn เปิดตัวคุกกี้ไซส์ยักษ์ ที่ในขณะนั้นยังไม่มีใครทำในเมืองไทย และกำลังฮิตอยู่ในนิวยอร์กพอดี
“ตอนนั้นคนตื่นเต้นกันมาก เพราะมีขนาดใหญ่ แล้วก็ดูน่ากินจุใจ” เธอเล่าพลางหัวเราะเบาๆ พร้อมเสริมว่า กระแสตอบรับจากคุกกี้ยักษ์ทำให้แบรนด์เริ่มมีลูกค้าประจำ และทำให้ The Rolling Pinn เติบโตขึ้นไปอีกขั้น
ช่วงแรก The Rolling Pinn ยังขายผ่านออนไลน์เท่านั้น จนกระทั่งปี 2020 เธอตัดสินใจเปิดหน้าร้านแห่งแรกที่ศูนย์การค้า EmQuartier หลังจากได้ทดลองทำร้านป็อปอัปและพบว่า มีลูกค้าหลายคนกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอและทีมตัดสินใจมีบ้านของตัวเองอย่างจริงจัง
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของ The Rolling Pinn ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงวัย 20-35 ปี แต่ก็มีผู้ชายประมาณ 20% ที่มักซื้อเค้กเป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ
อะไรคือหัวใจสำคัญของ The Rolling Pinn
“ช่วงแรกๆ เราเน้นที่ดีไซน์ของเค้ก ไอเดียของเราเริ่มจากเค้กคริสต์มาสต้นแรก ลูกค้าบอกว่า อยากได้เค้กที่วางเป็น Centerpiece บนโต๊ะอาหารที่เหมาะกับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ที่ทุกคนต้องมีต้นคริสต์มาสประดับบ้าน เราเลยคิดว่า ทำไมไม่ทำเค้กที่เป็นเหมือนต้นคริสต์มาสไปเลย จะได้ทั้งสวยและกินได้”
ต้นคริสต์มาสที่กินได้ก้อนนั้น กลายเป็นที่รักของลูกค้าทันที ภาพที่ลงในโซเชียลมีเดียได้ยอดไลก์ทะลุพันในเวลาไม่นาน และกลายเป็นซิกเนเจอร์เค้กที่ The Rolling Pinn ทำขึ้นทุกปีจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นไม่นาน ในช่วงวาเลนไทน์ พิณก็ต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ด้วยเค้กทุบชื่อ Love Bird เค้กช็อกโกแลตที่เมื่อทุบเปลือกออก จะเผยให้เห็นผลไม้และดอกไม้สีสันสดใสซ่อนอยู่ภายใน “เราน่าจะเป็นเจ้าแรกที่ทำเค้กทุบในแบบนี้ แล้วลูกค้าก็สนุกที่ได้ Interact กับเค้กมาก” พิณยิ้ม
นอกจากดีไซน์ที่โดดเด่นแล้ว รสชาติก็เป็นอีกหัวใจสำคัญที่พิณให้ความสำคัญ “เราลงทุนกับวัตถุดิบมาก ใช้วัตถุดิบที่ราคาสูงและมีคุณภาพจริงๆ เพราะอยากให้ทุกคำที่ลูกค้ากินเข้าไปรู้สึกได้ถึงความพิเศษ มันไม่เหมือนกินเค้กที่ไหน”
เบื้องหลังเค้กไวรัลที่ครองใจโลกออนไลน์
เบื้องหลังเค้กแต่ละก้อนที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลฯ ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่โชคช่วย แต่ต้องผ่านกระบวนการคิดอย่างละเอียดรอบคอบ พิณเผยว่า จุดเริ่มต้นของทุกโปรเจกต์คือ ต้องฟังเสียงลูกค้าก่อน และดูว่าลูกค้าอยากได้อะไร
“ลูกค้าอยากได้เค้กที่สวย ดูโฟโตจีนิก ถ่ายรูปแล้วว้าว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอร่อยด้วย เพราะลูกค้าหลักของเราค่อนข้างเป็นกลุ่มไฮเอนด์ เวลาเขาซื้อเค้กก้อนใหญ่ราคาสูงไป เขาก็คาดหวังว่าจะได้กินทั้งก้อนแบบมีความสุข” พิณเล่า
อีกหนึ่งหัวใจสำคัญคือ การเป็น Trendsetter หรือผู้กำหนดเทรนด์ เริ่มทำสิ่งที่ยังไม่มีใครทำมาก่อน “อย่างเค้กต้นคริสต์มาส ตอนนั้นไม่เคยเห็นใครทำ เราเลยอยากเป็นเจ้าแรกที่ทำเค้กซึ่งทุกคนสามารถวางเป็นของประดับตกแต่งได้และกินได้จริงๆ ด้วย”
พิณกล่าวเสริมว่า กระบวนการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน บางครั้งใช้เวลานานเป็นเดือนๆ ในการพัฒนาตั้งแต่ไอเดีย การออกแบบรูปลักษณ์ ไปจนถึงการทดลองสูตรรสชาติ โดยมีทีม R&D ของ The Rolling Pinn ร่วมแรงร่วมใจกันทุกขั้นตอน
ไม่เพียงแต่การสร้างสรรค์เค้กภายใต้แบรนด์ตัวเองเท่านั้น พิณยังเล่าถึงความร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ ในโปรเจกต์พิเศษที่น่าสนใจ เช่น การคอลแลบกับ เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร ในโปรดักต์ Choco Gems เป็นการนำมะยงชิดมาเคลือบไวต์และมิลค์ช็อกโกแลต สอดไส้ครีมชีสและเจลลี่มะยงชิดหนุบหนับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกความร่วมมือไม่ได้เป็นเพียงการนำโลโก้มาวางคู่กัน แต่เป็นการสร้างสรรค์รสชาติและประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ตั้งใจมอบให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง
จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อ Dubai Chocolate สร้างปรากฏการณ์
ในทุกเส้นทางธุรกิจ ย่อมมีโมเมนต์ที่เปลี่ยนเกม สำหรับพิณโมเมนต์นั้นคือ การเปิดตัว Dubai Chocolate ขนมหวานที่กลายเป็นกระแสอย่างถล่มทลายในเวลาไม่นาน
“มันเป็นครั้งแรกที่ขายดีแบบต่อเนื่องทุกวันเลย ปกติที่โรงงาน สามีของพิณจะไม่ยอมให้มีสินค้าขาดตลาดเด็ดขาด เพราะทำให้เสียดีมานด์กับเสียยอดขาย แต่ Dubai Chocolate ตอนนั้นขายดีจนควบคุมแทบไม่อยู่”
เบื้องหลังความสำเร็จนั้นไม่ได้ง่ายเลย วัตถุดิบอย่างถั่วพิสตาชิโอที่ใช้ต้องปั่นสดเองด้วยเครื่องปั่นขนาดเล็ก กระบวนการผลิตจึงช้ากว่าที่คาดไว้มาก เมื่อกระแสความนิยมแรงขึ้นเรื่อยๆ คนต่อคิวยาวเหยียดหน้าร้าน ขนมขายหมดในพริบตา มีทั้งคนหิ้วฝากและซื้อเก็บจนกลายเป็นของหายาก “มันเป็นครั้งแรกที่เราเจอปัญหาโซลเอาต์จริงๆ ไม่มีของขายให้ลูกค้าเลย”
เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า The Rolling Pinn ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการขายใหม่ทั้งหมด “ตอนนั้นเราตัดสินใจไม่ขายในเฟซบุ๊ก ขายเฉพาะหน้าร้านกับใน LINE Official รวมถึงช่องทางอื่นๆ เพื่อป้องกันมิจฉาชีพและเพื่อควบคุมปริมาณการขายได้ แล้วก็พยายาม Scale Up การผลิตให้เร็วที่สุด”
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เหนื่อยและกดดัน แต่พิณมองย้อนกลับไปด้วยรอยยิ้ม เพราะนี่คือเครื่องพิสูจน์ว่า ความตั้งใจและความพยายามที่ทุ่มลงไป มีคนเห็นคุณค่า และพร้อมจะรอคอยขนมหวานจาก The Rolling Pinn อย่างแท้จริง
บทเรียนจากอุปสรรค ก้าวข้ามความล้มเหลวในต่างแดน
แม้ The Rolling Pinn จะประสบความสำเร็จในเมืองไทย แต่เส้นทางธุรกิจก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป พิณเล่าอย่างตรงไปตรงมาถึงหนึ่งในช่วงเวลาที่ยากที่สุด นั่นคือการขยายธุรกิจไปยังประเทศอินเดีย
“ตอนนั้นเราไปอินเดียแล้วลงทุนเยอะมาก เราทำตลาดอยู่ที่นั่น 6 เดือน พยายามทำทุกอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความที่วัฒนธรรมผู้บริโภคไม่เหมือนกัน คนที่นั่นกินขนมในแบบที่แตกต่างออกไป ถึงแม้จะศึกษาตลาดไปบ้าง แต่การเข้าใจจริงๆ ว่า คนอินเดียกินอะไร ชอบอะไร เป็นเรื่องที่ยากกว่าที่คิด แม้จะมีลูกค้ากลุ่มพรีเมียมบ้าง แต่ตลาดแมสที่ใหญ่มากๆ จะคุ้นกับขนมที่รสชาติและราคาต่างจากที่ทำ ตอนนั้นเราเปิดขายเค้ก แต่มันยากเพราะคนไม่รู้จักแบรนด์เราเลย” พิณอธิบายอย่างเปิดใจ
นอกจากความท้าทายด้านพฤติกรรมผู้บริโภคแล้ว พิณยังต้องรับมือกับความเครียดด้านยอดขายในต่างแดน “บางวันได้แค่ 10 ออเดอร์ สุดท้ายขาดทุนไปประมาณ 5 ล้านบาท ก็เลยตัดสินใจหยุดก่อน”
แต่สำหรับพิณ ความผิดพลาดครั้งนั้นไม่ได้ทำให้เธอถอดใจ แต่กลายเป็นบทเรียนสำคัญ “ถามว่ามีแพลนกลับไปตีตลาดอินเดียอีกไหม ก็ยังอยากอยู่นะ แต่ครั้งนี้จะเปลี่ยนกลยุทธ์ เราคงไม่ไปเปิดคาเฟ่เหมือนเดิมแล้ว เพราะอาจไม่ถนัด แต่เราจะทำสินค้าแบบแพ็กเกจที่มี Self Life นานๆ ขายผ่านมินิมาร์ตหรือช่องทางอื่นที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่นั่นมากกว่า”
วงการขนมมีเทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำยังให้ตามเทรนด์และความต้องการลูกค้าทัน
ในโลกของขนมหวาน เทรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นแทบทุกวัน สำหรับ The Rolling Pinn การตามกระแสให้ทันไม่ใช่แค่เรื่องของการสร้างเค้กใหม่ๆ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเล่าเรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด
“เราใช้โซเชียลมีเดียเกาะกระแสเทรนด์ตลอดเวลา อย่างดูไบช็อกโกแลต ถ้าเราไม่บอกลูกค้าว่ามันอร่อยขนาดไหน น่ากินแค่ไหน ลูกค้าอาจจะไม่ได้ลองเลยก็ได้ เราต้องจับให้ได้ว่าตอนนี้ลูกค้ากำลังอินอะไร เช่น ช็อกโกแลตยังเป็นอะไรที่กินง่าย คนยังชอบอยู่ ทำให้เราอยากขาย Choco Gems ต่อไป”
เบื้องหลังคอนเทนต์ที่โดนใจคนดู
การทำคอนเทนต์ในแต่ละวัน พิณมีวิธีคิดที่อิงจากการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า “เราทำแชนเนลของตัวเองก็เพื่อให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้น เป็นการโปรโมตสินค้า เช่น ถ้ามีสินค้าไหนที่ยอดเริ่มตก เราก็โปรโมต หรือถ้ามีอะไรที่ปังมากๆ ก็อยากให้คนรู้จักด้วย”
พิณเชื่อในพลังของการเล่าเรื่อง (Storytelling) ผ่านคลิปสั้นๆ “Storytelling สำคัญมาก เพราะทำให้ลูกค้าเห็น และรับรู้สิ่งที่เราต้องการจะสื่อ เหมือนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง คลิปที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคลิปที่มีตัวเองเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง แตกต่างจากคลิปที่มีแค่เพลงประกอบ ซึ่งมักจะมีเอนเกจเมนต์น้อยกว่า บางคลิปได้หลักแสนถึงหลักล้านวิว แต่บางคลิปที่ไม่มีการพูดหรือใช้ภาษาอังกฤษ ก็จะไม่ได้ผลดีเท่าไร”
รักษาความต่างในวันที่คู่แข่งมากขึ้น
แม้ตลาดขนมหวานในปัจจุบันจะมีผู้เล่นใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา แต่พิณมองว่าการรักษาคุณภาพคือหัวใจที่ทำให้ The Rolling Pinn ยังคงเป็นตัวเลือกในใจลูกค้าได้เสมอ “ถึงแม้คู่แข่งเยอะ แต่บางอย่างมันสู้ยาก โดยเฉพาะเรื่องรสชาติ เพราะเราลงทุนกับวัตถุดิบจริงๆ ใช้วัตถุดิบที่ค่อนข้างแพง ลูกค้าจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันทีที่กิน” พิณเล่าอย่างมั่นใจ
การสร้างโปรดักต์ที่ตอบโจทย์คนหมู่มากมากขึ้น เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ The Rolling Pinn กำลังวางแผน เพื่อขยายฐานลูกค้าโดยไม่ทิ้งคุณภาพที่เป็นหัวใจของแบรนด์
The Rolling Pinn ยังมีจุดแข็งที่ทำให้ครองใจลูกค้าประจำจำนวนไม่น้อย ด้วยความสามารถในการรองรับทั้งออร์เดอร์เค้กสำเร็จรูปหน้าร้าน และเค้กแบบ Custom Made ตามความต้องการของลูกค้า
“ถ้าอยากได้เค้กแบบ Custom ก็ทำได้ แต่ถ้าลูกค้าไม่จองก็ยังมีเค้กพร้อมส่ง เพราะเราทำสต๊อกเค้กสดไว้ตลอด ซึ่งเมื่อก่อนคนยังไม่ค่อยทำกัน เราเป็นคนแรกๆ ที่เอาเค้กสดมาคำนวณสต๊อกไว้ล่วงหน้า ว่าลูกค้าหนึ่งคนจะซื้อประมาณเท่าไร”
การวางแผนอย่างรัดกุมนี้ ทำให้ The Rolling Pinn สามารถมอบประสบการณ์ที่สดใหม่ และสะดวกสบายให้กับลูกค้าได้เสมอ ทั้งในวันที่ร้านเต็มไปด้วยคู่แข่ง หรือในวันที่ลูกค้าอยากได้ขนมอร่อยๆ แบบเร่งด่วนทันใจ
ขยายสาขารองรับการเติบโต
สำหรับภาพอนาคตของ The Rolling Pinn ในอีก 2-5 ปีข้างหน้า พิณวางแผนไว้อย่างชัดเจนว่า “เราอยากให้ยอดขายโตอย่างน้อยปีละ 2-3 เท่า ต้องหาแนวทางทำให้โตเร็วขึ้น เช่น อาจจะทำโปรดักต์ที่แมสขึ้น เช่น ชิ้นเล็กลง ราคาย่อมเยาขึ้น เพื่อให้ลูกค้าซื้อได้บ่อยขึ้น”
นอกจากการพัฒนาโปรดักต์เพื่อเข้าถึงคนหมู่มากแล้ว The Rolling Pinn ยังเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมการเติบโตในระยะยาว ปัจจุบันมีสาขาอยู่ในห้างใหญ่ใจกลางเมือง ได้แก่ EmQuartier เซ็นทรัลชิดลม สยามพารากอน เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และ Samyan Slowcombo
โดยในปีนี้มีแผนขยายเพิ่มอีก 4 สาขาใหม่ ในโซนต่างๆ รอบกรุงเทพฯ เช่น โซนบางนา ซึ่งเป็นทำเลที่มีลูกค้าสั่งขนมผ่านช่องทาง LINE เข้ามาจำนวนมาก
ฝากถึงคนที่อยากเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง
สำหรับใครที่มีฝันอยากสร้างธุรกิจ พิณแนะนำว่า “ต้องดูว่าตัวเองชอบอะไรก่อน แล้วก็เล่าเรื่องให้ได้ว่า ทำไมแบรนด์เราถึงต่างจากแบรนด์อื่น มันต้องมีความหมาย เพราะลูกค้าจะรู้สึก connect กับเจ้าของแบรนด์ได้จริงๆ”
พิณเชื่อว่า ความจริงใจ ความชัดเจนในตัวตน และการเล่าเรื่องอย่างมีเสน่ห์ คือกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์เล็กๆ สามารถเติบโตอย่างแข็งแรงในวันที่โลกการแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น
ตลอดบทสนทนา แม้จะพูดถึงเรื่องกลยุทธ์ การขยายธุรกิจ หรือการแก้ปัญหา แต่ทุกครั้งที่คุณพิณเอ่ยถึงขนม แววตาเธอก็เปล่งประกายอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อถามถึงความสุขพิเศษที่ได้จากการทำขนม พิณตอบอย่างเรียบง่ายและจริงใจว่า “ความสุขของพิณคือการได้คิดเมนูที่ตัวเองชอบแล้วทำได้สำเร็จ หรือได้เห็นยอดขายที่โดนใจ แล้วก็เวลามีลูกค้ามาชิมขนมแล้วบอกว่าอร่อยมาก มันไม่มีอะไรที่ทำให้มีความสุขได้มากกว่านั้นแล้ว”
สำหรับเธอ ความสุขไม่ใช่แค่การได้ทำขนมที่ตัวเองรัก แต่คือการเห็นสิ่งที่เธอทุ่มเท สร้างรอยยิ้มให้กับผู้คนได้จริงๆ และนั่นเองคือแรงบันดาลใจที่ทำให้ The Rolling Pinn ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มหัวใจ
“เราพยายามไม่ให้ตัวเองมีความสุขหรือเศร้าเกินไป เพราะเราอยากรักษาใจให้มั่นคง เพื่อเดินต่อไปเรื่อยๆ” พิณกล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้มเบาๆ แต่เต็มไปด้วยพลัง
Tags: ช็อกโกแลตดูไบ, Choco Gems, พิณ เจนวัฒนวิทย์, Business, คุ้กกี้, ช็อกโกแลต, ขนมหวาน, Behind the Brand, the rolling pinn, rolling pinn