
ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ Marimekko เข้ามาอยู่ในประเทศไทย แบรนด์ดีไซน์จากฟินแลนด์นี้ได้ผ่านทั้งช่วงเวลาของการทำความเข้าใจและการสร้างตัวตนในสายตาผู้คน หลายคนอาจเคยเข้าใจว่า Marimekko เป็นแบรนด์ญี่ปุ่นจากเสียงที่คล้ายคลึงกัน แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงเวลาที่แบรนด์เริ่มสื่อสารให้ผู้บริโภคเห็นถึงเอกลักษณ์และปรัชญาที่แท้จริงของความเป็นสแกนดิเนเวียที่เรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดและความหมาย
จากการทำให้ ‘เข้าใจผิด’ กลายเป็น ‘เข้าใจถูก’ Marimekko ค่อยๆ สร้างความผูกพันกับผู้คนผ่านลวดลายผ้าอันเป็นเอกลักษณ์และเรื่องราวของงานออกแบบที่มีความหมาย จนในที่สุด ‘กระเป๋าผ้า’ กลายเป็น Hero Product ที่ช่วยพาแบรนด์เข้าถึงคนไทยอย่างกว้างขวาง
เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปีของ Marimekko ในประเทศไทย เราจึงชวน ธนพงษ์ จิราพาณิชกุล Chief Executive Officer บริษัท ธนจิรา รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือผู้บริหารผู้อยู่เบื้องหลังการเติบโตของแบรนด์ มาร่วมพูดคุยถึงเส้นทางตลอดทศวรรษที่ผ่านมา จากวันแรกที่ต้องสร้างความเข้าใจให้คนรู้จักจิตวิญญาณแบบฟินแลนด์ของ Marimekko ไปจนถึงการปรับตัวอย่างมีศิลปะ เพื่อให้แบรนด์ดีไซน์จากสแกนดิเนเวียนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตและความสุข ของผู้คนในเมืองไทยอย่างลงตัว
จุดเปลี่ยนบนเส้นทางของ Marimekko ในไทยตลอด 10 ปี
ธนพงษ์เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์เรื่อง ‘ความเข้าใจของคนที่มองแบรนด์’ ตอนแรกหลายคนเข้าใจว่า Marimekko เป็นแบรนด์ญี่ปุ่น เพราะชื่อฟังดูคล้ายกัน เลยต้องสื่อสารให้ชัดว่าเป็นแบรนด์ที่มาจากฟินแลนด์ หนึ่งในจุดเปลี่ยนคือตอนที่เราร่วมกับสายการบิน Finnair โปรโมตให้คนรู้จักฟินแลนด์มากขึ้น ซึ่งช่วยให้คนเห็นตัวตนและปรัชญาของแบรนด์ในมุมใหม่
พอคนเริ่มเข้าใจว่า Marimekko ไม่ได้เป็นแค่ของที่ตามเทรนด์ แต่มีดีไซน์และเรื่องราวที่ลึกซึ้งขึ้น ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน อีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือ ‘กระเป๋าผ้า’ ที่กลายเป็น Hero Product ทำให้คนไทยเข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย และสร้างยอดขายได้กว่า 2 หมื่นใบในปีเดียว
สุดท้ายคือการปรับภาพลักษณ์ร้าน จากโฮมโปรดักต์ให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทย
ปัจจุบันสินค้า Marimekko ที่ขายดีที่สุดในไทย ธนพงษ์เล่าว่า “ตอนนี้หมวดที่ขายดีที่สุดคือเสื้อผ้าพร้อมใส่หรือ Ready to Wear ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่แตกต่างจากหลายประเทศ เพราะที่อื่นสัดส่วนหมวดนี้จะอยู่ราว 20-30% แต่ของเราอยู่ที่ประมาณ 60%
“สาเหตุเพราะคนไทยให้ความสำคัญกับการแต่งตัว และมองแฟชั่นเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ต่างประเทศอาจเน้นสินค้าโฮมหรือของแต่งบ้านมากกว่า อีกอย่างเสื้อผ้าเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ช่วยให้เรามีทุนหมุนเวียนในการขยายสาขาได้เร็วขึ้น จนตอนนี้เรามีเกือบ 15 สาขาในเวลาเพียง 10 ปี”
เพราะประเทศไทยไม่เหมือนใคร การทำธุรกิจจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
แม้ Marimekko จะดำเนินธุรกิจอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก แต่เมื่อเข้ามาทำตลาดในไทย ประเทศที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของความอิสระและความยากจะคาดเดา ธนพงษ์มองว่า นี่คือโจทย์ท้าทายที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
“ตรงนี้มันต้องเริ่มจากทีมงานด้วยครับ ต้องเป็นคนที่เข้าใจและมีแพสชันแบบเดียวกัน คืออยากเชื่อมโยงสินค้ากับชีวิตผู้ใช้ให้ได้จริง ผลลัพธ์คือเราค่อยๆ สร้างคอมมูนิตี้ของคนที่รักแบรนด์ขึ้นมา เขาไม่หายไปไหน ยังกลับมาหาเราเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ แต่ต้องอาศัยเวลา ความไว้วางใจ และความต่อเนื่องในการทำงาน”
หัวใจสำคัญของความสำเร็จของ Marimekko คือสิ่งที่เรียกว่า ‘Brand Love’
“ผมว่ามันไม่ใช่แค่คิด แต่ต้องทำด้วย Marimekko อยู่มา 70 ปีแล้ว และเรารู้ว่าแบรนด์จะอยู่ยาวได้เพราะมีความ Timeless มีเอกลักษณ์ที่ชัด แต่ก็ต้องปรับตัวให้ทันกับยุคที่การแข่งขันสูงและแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา
“โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เราโชคดีที่ผู้คนคุ้นเคยกับลายดอกและสีสันสดใส มันเข้ากับ DNA ของ Marimekko ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เกิด Brand Love ได้เร็วขึ้น”
Unikko ลายดอกป๊อปปี้ที่ฆ่าไม่ตาย
ลายพิมพ์ที่ถือว่าเป็นไอคอนิกของ Marimekko ในไทยยังคงเป็น Unikko (อูนิกโกะ) ลายดอกป๊อปปี้ที่โด่งดังที่สุดของแบรนด์ ถึงตอนนี้ Marimekko มีลายพิมพ์มากกว่าพันแบบ แต่คนก็มักนึกถึงลายนี้เป็นลำดับแรก สิ่งที่น่าสนุกคือแต่ละลายจะมีชื่อเฉพาะเป็นภาษาฟินแลนด์ ซึ่งเรียกยากมาก และยังซ่อนรายละเอียดเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครสังเกต อย่างลายเส้นที่ดูเหมือนตรง จริงๆ แล้วไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็น Free Form ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติหรือสิ่งรอบตัวของดีไซเนอร์ ลายที่ดูเหมือนจุดหรือก้อนอาจมาจากก้อนหินหรือพุ่มไม้ในป่าที่เขาเห็นเป็นประจำ เพราะฟินแลนด์เต็มไปด้วยภูเขาและธรรมชาติแบบนั้น
“Unikko เป็นลายที่ฆ่าไม่ตาย อยู่มา 60 ปีแต่ยังดูร่วมสมัยเสมอ ที่ไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนก็ยังดูโมเดิร์น ไม่เชย และพอเอาไปอยู่บนสินค้าอะไรก็ทำให้สิ่งนั้นดูสดใสขึ้นทันที ลายนี้กลายเป็นเหมือน Heritage Print ของ Marimekko ทุกคอลเลกชันใหม่ที่บริษัทแม่ออกมา มักจะมีลายนี้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่บนเสื้อผ้า กระเป๋า หรือกางเกงยีนส์ มันคือดีเอ็นเอของแบรนด์ที่ผูกโยงตัวตนของ Marimekko เข้ากับชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก”
“เมื่อถามว่าแล้วลายไหนที่ชอบที่สุด ธนพงษ์บอกว่า “ส่วนตัวผมชอบลาย Tasaraita ซึ่งเป็นลาย Stripes ของ Marimekko เพราะมีความเรียบง่ายและยังคงความคลาสสิค ลายเส้นเป็น Free Form มีความเป็นอิสระ เป็นงานศิลปะที่ถูกออกแบบมาเพื่อสื่อถึงความเท่าเทียม เป็น Gender Neutral ที่สามารถใส่ได้ทุกวัน ใส่ไปเที่ยว หรือใส่เบลเซอร์คลุมทับในวันทำงานที่ต้องการความ Smart Casual ก็ได้ เป็นลายที่ไม่พยายามโดดเด่น แต่กลับมีเอกลักษณ์ในความเรียบง่ายของตัวเอง
ชื่อฟินแลนด์ แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ เบื้องหลังทุกลายพิมพ์ของ Marimekko
“เรื่องชื่อของลายพิมพ์แต่ละลายที่เป็นภาษาฟินแลนด์ เป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจมากในการสื่อสารกับลูกค้า จากระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ช่วงแรกต้องพยายามให้ทุกคนศึกษาและเรียกให้ถูก ไม่ใช่แค่พออ่านออกเป็นคาราโอเกะเฉยๆ แต่เราพยายามศึกษาวัฒนธรรมและมุมมองต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ สำหรับ Marimekko ชื่อลายภาษาฟินแลนด์ถือเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ เพราะสิ่งสำคัญกว่าคือการเข้าใจความหมายและแรงบันดาลใจของแต่ละลาย
“บทเรียนของเราคือการสื่อสารที่ไม่ใช่คำแปล แต่ต้องสร้าง ‘ประสบการณ์’ เพื่อถ่ายทอดให้ผู้คนรู้สึกถึงอารมณ์ของลายนั้น เช่น สีที่สดใสให้พลังบวก รูปทรงที่อิสระให้ความรู้สึกเบาใจ หรือเส้นสายที่สงบนิ่งให้ความอบอุ่น ผ่าน Visual Merchandising, Mood & Tone ที่ใช้ในการสื่อสารทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้แม้คนจะไม่รู้ความหมายของชื่อ แต่ก็สัมผัสได้ถึงเจตนาและจิตวิญญาณของ Marimekko ซึ่งท้ายที่สุด นั่นคือสิ่งที่เราต้องการให้ผู้คน ‘รู้สึก’ ได้มากกว่าเข้าใจคำพูด”
กระเป๋าผ้าไอคอนิก ตัวแทนความเป็น Marimekko ในไทย
ถ้าให้เลือกโปรดักต์ที่เป็นตัวตนของ Marimekko ในไทย ธนพงษ์กล่าวว่า สำหรับผมยังคงเป็นกระเป๋าผ้า ถึงตอนนี้ก็ยังมีคนตามหาลายพิเศษหรือ Special Edition 10 ปีผ่านไปก็ยังวนเวียนอยู่ในเพจมือสอง แม่ค้าหิ้วก็ยังไม่หาย ผู้คนยังตามหากันอยู่ ไม่ว่าเขาจะไปเที่ยวฟินแลนด์หรือญี่ปุ่นก็ตาม และหลายครั้งก็จับคู่ลายนี้กับสินค้าอื่นๆ อย่างขวดน้ำหรือของใช้ต่างๆ กระเป๋าผ้าทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งที่ใช้ซ้ำได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกระเป๋าหนัง ผู้ชายก็ใช้ได้ ผมเองก็ใช้เวลาออกกำลังกาย เพราะมันสะดวก เบา พกพาง่าย ซักก็ง่าย อยู่ได้นาน และคุณภาพดี
“ความนิยมของกระเป๋าผ้าในไทยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เริ่มจากเทรนด์ในหมู่นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ที่อยากมีอะไรพิเศษ ขนาดพอดีใส่หนังสือ เสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ ทำให้สะดวกในการพกพา กลายเป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ ของคนที่ชอบเหมือนกัน และในขณะเดียวกันคนไทยก็ตื่นตัวกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ความสนใจเรื่องการลดใช้พลาสติกและเลือกสิ่งที่เป็นมิตรต่อโลก ทำให้กระเป๋าผ้าเข้ากับวิถีชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ
“ช่วง 3-4 ปีแรก กระเป๋าผ้าขายได้มากกว่า 2 หมื่นใบต่อปี หลังจากนั้นยอดขายก็ยังคงอยู่ระดับหมื่นกว่าใบต่อปี สิ่งสำคัญสำหรับเรา แม้รายได้จากกระเป๋าผ้าจะมาก แต่สาระสำคัญของแบรนด์ไม่ได้อยู่แค่ที่สินค้าใบเดียว เราเริ่มจากกระเป๋าผ้าเป็นตัวช่วย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเรื่องราวทั้งหมดของแบรนด์ที่สะท้อนผ่านสินค้าอื่นๆ ด้วย ทำให้แบรนด์เติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ของที่มาไวไป”
การดีไซน์ Marimekko สีสันและฟังก์ชันที่เข้ากับชีวิตคนไทย
การดีไซน์โปรดักต์ของ Marimekko เริ่มจากฟังก์ชันการใช้งานพื้นฐานภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นแก้วเซรามิก จานชาม หมอนอิง หรือผ้าปูโต๊ะ ซึ่งทุกประเทศก็มีเหมือนกัน แต่สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้โดดเด่นคือ สีสันและลวดลายที่ช่วยสร้างความสดใสให้ชีวิตประจำวัน
“ในฟินแลนด์ที่มีแสงแดดจำกัด หน้าหนาวมองเห็นพระอาทิตย์เพียงไม่กี่ชั่วโมง ดีไซเนอร์จึงเน้นการสร้างสีสันเพื่อให้ผู้คนรู้สึกมีแรงฮึดสู้ต่อวันต่อไป ความคิดนี้นำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้อย่างลงตัว เพราะคนไทยชอบความสนุกสนาน ชอบสังสรรค์ และชอบสิ่งที่สดใสและมีชีวิตชีวา
“ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าลาย Unikko สีสันสดใส กลายเป็นสิ่งที่คนไทยนำไปมิกซ์แอนด์แมตช์ในชีวิตประจำวัน กลายเป็น Conversation Piece เวลาเพื่อนเห็นในบ้านหรือใส่ออกไปนอกบ้าน สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงจิตวิญญาณของ Marimekko ที่ถือกำเนิดเป็นพลังบวกหลังสงครามโลก เพื่อสร้างสิ่งที่สดใสและต้านความเศร้าของชีวิต ประสบการณ์นี้ทำให้โปรดักต์ของแบรนด์เข้ากับวิถีชีวิตคนไทยได้อย่างสนุกสนานและไม่เคยน่าเบื่อ” ธนพงษ์กล่าว
ของใช้ในชีวิตประจำวันที่สะท้อนดีไซน์และพลังบวกของ Marimekko
นอกจากเสื้อผ้า Marimekko ยังมีสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ เช่น จานชาม แก้วน้ำ และของตกแต่งบ้าน ซึ่งทั้งหมดออกแบบมาเพื่อฟังก์ชันการใช้งานในชีวิตประจำวัน ดีไซน์เหล่านี้เน้นความเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยพลังบวก ความสวยงามไม่จำเป็นต้องหรูหรา แต่อยู่ที่คุณภาพและความสามารถในการใช้งาน ให้ผู้คนหยิบมาใช้ได้สะดวกทุกวัน
สำหรับ Marimekko สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นแค่ของใช้ แต่สะท้อนแนวคิดเรื่องไลฟ์สไตล์และแฟชั่นไปพร้อมกัน ผู้ติดตามสามารถเลือกเสื้อผ้า ใช้เป็นของขวัญ หรือใช้ในชีวิตประจำวันได้ทุกแบบ ดีไซน์เหล่านี้จึงยังคงสัมพันธ์กับชีวิตของคนไทย และเชื่อมโยงเข้ากับวิถีชีวิตได้อย่างยาวนาน
คนไทยกับ Marimekko สีสันและความสร้างสรรค์ที่แมตช์กันพอดี
ในเมื่อ Marimekko อยู่ในหลายประเทศ จึงอดถามไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วแบรนด์นี้เหมาะกับคนไทยไหม
“สำหรับผม คนไทยมีความเข้ากับแบรนด์ Marimekko ได้อย่างลงตัว ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ผมเห็นอัตลักษณ์สีสันของแบรนด์ที่ดึงดูดให้ผมเข้าไปในร้านที่นิวยอร์ก แม้ตอนนั้นยังไม่แน่ใจว่าคนไทยจะเข้าใจได้หรือไม่ แต่สิ่งที่สะดุดตาคือความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้า ทั้งผ้า ปลอกโซฟา ผ้าปูโต๊ะ แก้วเซรามิก และจานชาม
“สิ่งที่ทำให้แบรนด์เข้ากับคนไทยคือ ความสามารถในการมิกซ์แอนด์แมตช์ของเรา เราไม่จำเป็นต้องซื้อทุกชิ้นตามแค็ตตาล็อก แต่เราชอบสร้างสรรค์ให้เข้ากับชีวิตและพื้นที่ของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์และความสนุกในวัฒนธรรมไทยทำให้ Marimekko เป็นแบรนด์ที่สามารถปรับเป็นแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้ ลูกค้าสามารถตัดสินใจเองว่า จะแต่งเติมในตู้เสื้อผ้าแบบไหน แบรนด์นี้จึงโตแบบช้าแต่ยั่งยืน ไม่ใช่ลักชูรีที่มาไวไปไว แต่เป็นแบรนด์ที่อยู่กับคนไทยไปได้ยาวๆ” ธนพงษ์กล่าว
รักโลกอย่างมีระบบแบบสแกนดิเนเวีย แนวคิดยั่งยืนที่อยู่ในดีเอ็นเอของ Marimekko
ธนพงษ์เล่าว่า Marimekko เป็นแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของชาวสแกนดิเนเวียอยู่แล้ว ผมจำได้ว่าตอนที่ไปเยี่ยมสำนักงานใหญ่ที่เฮลซิงกิ เราได้เข้าคลาสสั้นๆ เพื่ออธิบายที่มาของฝ้ายแต่ละม้วน และขั้นตอนการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การปลูกฝ้ายที่ปล่อยคาร์บอนให้น้อยที่สุด ไปจนถึงระบบการทอผ้าที่ลดของเสียและใช้น้ำอย่างคุ้มค่า โรงงานหลักของแบรนด์ยังตั้งอยู่ใจกลางเมืองเฮลซิงกิ และลงทุนมหาศาลเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่ลดผลกระทบต่อโลก
ความเป็นหัวใจสีเขียวของ Marimekko ไม่ได้อยู่แค่ในแนวคิด แต่ยังสะท้อนในผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบของใช้ในบ้านจากวัสดุยั่งยืนทั้งหมดทั้งจาน เหยือกน้ำ และกล่องคุกกี้ แม้จะขายยากเพราะราคาสูง แต่ก็เป็นตัวอย่างของความพยายามจริงจังที่จะผลิตสินค้าที่ไม่ทำร้ายโลก
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากคือถุงผ้า Marimekko ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ถ้าไปซื้อสินค้าครบตามกำหนด เขาจะไม่ให้ถุงกระดาษ แต่แจกถุงผ้าให้เลย เพื่อให้ลูกค้าใช้ซ้ำได้ตั้งแต่วันแรก แนวคิดนี้เราเองก็ใช้เหมือนกันในไทย เพราะเรานำสินค้าจากฟินแลนด์มาทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแนวคิดเรื่องการผลิตอย่างรับผิดชอบและใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย
คิดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า Marimekko จะยังอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้คนอย่างมีความหมาย
ผมอยากให้ Marimekko อยู่ในหัวใจของคนไทยไปอีกนาน ไม่ใช่แค่ในฐานะแบรนด์แฟชั่น แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจริงๆ เหมือนแก้วที่ใช้แล้วใช้ซ้ำได้ กระเป๋าผ้าที่ซักแล้วกลับมาดูดีเหมือนเดิม สิ่งเหล่านี้สะท้อนแนวคิดของเราในเรื่อง Brand Love และคอมมูนิตี้ที่อยากให้เติบโตไปพร้อมกัน
ตอนนี้เรามีร้านในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดแล้ว และหวังว่าจะขยับขยายต่อไปให้เข้าถึงคนในชานเมืองมากขึ้น อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าอาจเพิ่มเป็น 25-30 สาขาก็ได้ ขึ้นอยู่กับการเติบโตของเมืองและความพร้อมของทีม แต่สิ่งที่สำคัญกว่าตัวเลขคือ การทำให้แบรนด์ค่อยๆ เติบโตอย่างยั่งยืน และไม่หล่นหายไปจากใจคน
ฐานลูกค้าหลักของเราตอนนี้เป็นกลุ่ม VIC หรือ Very Important Customer ที่ติดตามแบรนด์มายาวนาน ขณะเดียวกันเราก็พยายามขยายฐานไปยังกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย
10 ปีที่ผ่านมา ผมมองว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการ ‘เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง’ เราเข้าใจตัวตนของแบรนด์ดีขึ้น และพร้อมจะนำเสนอสิ่งนั้นสู่ผู้คนในวงกว้างมากกว่าเดิม อีก 10 ปีต่อจากนี้ Marimekko ควรจะเป็นแบรนด์ที่อยู่ยาว อยู่จริง และอยู่ในบ้านของใครหลายคน โดยไม่จำเป็นต้องโตเร็ว แต่อยู่ด้วยเหตุผลและความตั้งใจจริงของทุกคนในทีม




