ย้อนกลับไปในวัยเด็ก หลายคนคงมีความฝันบางอย่างที่อยากทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความฝันก็กลับถูกพับเก็บไว้ในลิ้นชักแห่งความทรงจำ หรืออาจมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าหยิบขึ้นมาปัดฝุ่น และก้าวเดินตามเส้นทางที่เคยวาดฝันไว้

หนึ่งในคนคนนั้นก็คือ เตนล์-ชิตพล ลี้ชัยพรกุล ศิลปินมากความสามารถ ผู้ไม่เคยละทิ้งความฝันของตนเอง 

จากเด็กไทยที่หลงใหลการเต้นและเสียงดนตรี เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและความอยากพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง จนกลายเป็นเด็กไทยที่สามารถก้าวเข้าสู่วงการ K-POP ในฐานะสมาชิกของวงบอยแบนด์อย่าง NCT และ WayV สังกัดค่าย SM Entertainment ได้สำเร็จ และถือศิลปินชาวไทยคนแรกของค่ายบันเทิงแห่งนี้

วันนี้เตนล์สร้างความสำเร็จได้ในระดับนานาชาติ รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนจำนวนมาก ที่มีความฝันและอยากโลดแล่นบนเวทีเช่นเดียวกับเขา

“ชีวิตมีอยู่แค่ชีวิตเดียว คุณลองทำไปก่อน อย่าเพิ่งคิดว่าทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้เริ่ม” – เตนล์

เขาเริ่มทำตามความฝันและก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นศิลปินนับตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยในปี 2013 ‘เตนล์’ เปิดตัวในฐานะศิลปินฝึกหัดภายใต้ทีม SM Rookies และเปิดตัวครั้งแรกในฐานะสมาชิกวง NCT ในปี 2016 ต่อมาในปี 2019 เขาได้เดบิวต์อย่างเป็นทางการในฐานะสมาชิกวง WayV เจ้าของบทเพลง Love Talk, Turn Back Time, Kick Back และ Give Me That 

ก่อนเดบิวต์เป็นศิลปินเดี่ยว เตนล์ได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงให้เหล่าแฟนคลับได้ชิมลาง ผ่านโปรเจกต์ SM Station เช่น Dream In A Dream, New Heroes, Paint Me Naked และ Birthday ถือเป็นเครื่องยืนยันทักษะและความสามารถอันโดดเด่นในการเป็นศิลปินเดี่ยว

กระทั่งในปี 2024 เขาเริ่มต้นเดบิวต์ในฐานะ ‘ศิลปินเดี่ยว’ ปล่อยมินิอัลบั้มชุดแรกภายใต้ชื่อเดียวกับตัวเอง ‘TEN’ มาพร้อมเพลงฮิตอย่าง Nightwalker ที่มียอดสตรีมมิงบน Spotify กว่า 100 ล้านครั้ง ขึ้นแท่นสู่เป็นเพลงที่มียอดสตรีมมิงสูงสุดในฐานะศิลปินเดี่ยวจากวง NCT

และล่าสุดเขาพึ่งปล่อยอัลบั้มชุดที่สอง ‘STUNNER’ โดยมีเพลง B-side อย่าง BAMBOLA และเพลงไตเติลหลัก STUNNER เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

นอกจากนั้นตลอด 8 ปีแห่งการเดบิวต์ เตนล์ได้แสดงศักยภาพในอีกหลายบทบาท เช่น การเป็นเมนเทอร์ผู้ทรงเกียรติของรายการเซอร์ไวรัล หรือการก้าวขึ้นสู่ไอคอนแห่งวงการแฟชั่นด้วยสถานะ Brand Ambassdor ของ Saint Laurent ตอกย้ำอิทธิพลและพลังของเขา ในสายตาแฟนคลับและแบรนด์ชั้นนำทั่วโลก

และอีกหนึ่งผลงานสุดน่ารักที่เตนล์ได้สร้างสรรค์ออกมาคือ ‘กานูเล่’ (CANELE) คาแรกเตอร์แมวสีดำที่เชื่อมโยงกับตัวตนของเขาเอง 

เตนล์จึงเป็นอีกหนึ่งคนที่พิสูจน์ความสามารถที่รอบด้าน และทำตัวเองให้กลายเป็น ‘นิยามของคนรุ่นใหม่’ ที่นำความฝันมาผสานเข้ากับความกล้า และลงมือทำออกมาให้เป็นจริง

เพื่อเป็นการตอกย้ำกระแสความนิยมและความสำเร็จไปอีกขั้น เตนล์เดินหน้าจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกที่ประเทศไทย โดยคอนเสิร์ตมีชื่อว่า ‘2025 TEN CONCERT 1001 MOVEMENT STUNNER IN BANGKOK’ พร้อมทัวร์เอเชียทั่วเมืองสำคัญ และพาทุกคนก้าวเข้าสู่โลกดนตรีอันทรงพลัง 

วันนี้ The Momentum ขอชวนเหล่า 10vely (ชื่อแฟนคลับของเตนล์) ย้อนรอยกลับไปยังพื้นที่แห่งความทรงจำ ที่ทุกหัวใจสีม่วงยังตราตรึงอยู่ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี อีกครั้งหนึ่งใน ‘2025 TEN CONCERT 1001 MOVEMENT STUNNER IN BANGKOK’

‘Spread my wings. Let it go, up in the sky’

สำหรับคอนเสิร์ตในครั้งนี้ เตนล์สวมบทบาทเป็นไซเรน (Siren) สิ่งมีชีวิตลึกลับตามปกรณัมกรีกโรมัน โดย VCR ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของชายหนุ่มที่ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งในร่างของสิ่งมีชีวิตในจินตนาการชนิดนี้ ที่หากใครก็ตามได้ฟังเสียงของเขา จะถูกมนต์สะกดให้ตกอยู่ในภวังค์อย่างแน่นอน 

ทันทีที่ VCR จบลง ‘เตนล์’ ปรากฏตัวด้วยชุดหนังสีดำขลับ เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ดูลึกลับและน่าค้นหาตามเอกลักษณ์ของไซเรน พร้อมเปิดฉากแรกของการแสดงด้วยบทเพลงอันทรงพลังอย่าง Nightwalker และค่อยๆ ไต่ระดับความสนุกด้วยเพลง ON TEN, BAMBOLA, Enough for Me และ Dangerous ที่มาพร้อมกับการแสดงแสนอันตรายและสุดเร่าร้อน (เพราะมีการจุดไฟบนเวที) พร้อมที่จะแผดเผาทุกคนในฮอลล์ไปกับบทเพลงนี้

จากนั้นปรับอารมณ์ให้ผ่อนคลายมากขึ้นด้วยเพลง Shadow โดยศิลปินหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวอีกครั้งในชุดสีแดง พร้อมยกระดับการแสดงด้วยการเล่นเงาสะท้อนบนเวที ขับกล่อมแฟนๆ ให้เคลิบเคลิ้มไปกับแสงสีสุดตระการตา ตามด้วยเพลง Sweet As Sin ที่นำเอฟเฟกต์ใหม่มาใช้ในประเทศไทยเป็นที่แรก 

หลังจากจบการแสดงในช่วงก่อนหน้า เตนล์ได้เริ่มทักทายเหล่า 10vely อย่างเป็นทางการ และพูดถึงชื่อคอนเสิร์ตในครั้งนี้ โดยที่มาของ 1001 หมายถึง การเคลื่อนไหวของคู่ตัวเลข 10 ที่เปรียบเสมือนเตนล์ และ 01 คือการสะท้อนความเป็นตัวเอง โดยมีแฟนคลับเป็นผู้หนุนหลังและสร้างความทรงจำที่ดีร่วมกันเสมอมา

เตนล์ได้สานต่อความสนุกของคอนเสิร์ตและบรรยากาศที่ชวนอบอุ่นหัวใจ ด้วยการหยิบยกเอาเพลงที่เขาชื่นชอบมาคัฟเวอร์ เพื่อมอบให้กับแฟนคลับแทนคำขอบคุณที่คอยมอบความรักและสนับสนุนมาตลอด อย่างเพลง Die With A Smile ของศิลปินตัวท็อปแห่งวงการอย่าง เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) และบรูโน มาร์ส (Bruno Mars) พร้อมเสิร์ฟต่อด้วย Lie With You เพลงป็อปจังหวะ Middle-tempo จากมินิอัลบั้มชุดแรก ที่แฝงความหมายสุดลึกซึ้ง ตามด้วยเพลง Call Me ของ WayV โดยเตนล์ได้เปลี่ยนสไตล์การแรปใหม่ให้เข้ากับตัวเองมากขึ้น 

และปิดท้ายช่วงเวลานี้ด้วยบทเพลงสุดซึ้งอย่าง Butterfly ที่ผู้เขียนเองรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก ด้วยเทคนิคการร้องที่ ‘นุ่มนวล’ แต่ ‘ทรงพลัง’ ประกอบกับเอฟเฟกต์ผีเสื้อโบยบินบนผ้าม่านโปร่งแสงยาว 16 เมตร ที่ทิ้งตัวลงมาโอบล้อมตัวของเขาเอาไว้ สร้างความอลังการและชวนสะกด 10vely ให้ตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งเสียง 

นับเป็นการแสดงที่สมบูรณ์แบบเต็ม ‘TEN’ เลยก็ว่าได้ 

So now I spread my wings, let it go up in the sky

‘Cause I’m the one all alone changing my life

So fly up, Away

อีกหนึ่งช่วงเวลาที่จะพูดถึงไม่ได้ นั่นคือการแสดงเมดเลย์เพลงฮิตของ NCT ที่ปลุกฮอลล์ให้กลับมาลุกเป็นไฟ เรียกเสียงกรี๊ดจากเหล่าแฟนคลับอย่างถล่มทลาย ไม่ว่าจะเป็น Baby Don’t Stop, Steady, Smoothie, Kick It และ Baggy Jeans ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงโซโล่ของตัวเองอย่าง New Heroes

จากการฉายทักษะที่รอบด้านทั้งการร้อง การเต้นหรือการแรป ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่สดใสน่ารัก ไปจนถึงเย้ายวนและเซ็กซี่ ทุกการแสดงที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้น สามารถยืนยันฐานะ ‘All Rounder’ ของเตนล์ได้อย่างแท้จริง

ก่อนที่ VCR จะฉายขึ้นมาอีกครั้งเพื่อเป็นการเบรกอารมณ์ และศิลปินหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้งหลังจากการฉาย VCR ในลุกที่เท่และเซ็กซี่มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเสื้อแจ็กเก็ตสีขาวตัดน้ำเงิน และกางเกงปักเพชรสุดระยิบระยับ ก่อนจะยกระดับความสนุกขึ้นไปอีกขั้นกับเพลงไตเติลหลักจากมินิอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง Stunner

เพื่อเพิ่มอุณหภูมิของความสนุกนับต่อจากนี้ เตนล์ถอดแจ็กเก็ตออกเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาว และสานต่อการแสดงด้วยเพลง Birthday ที่มาพร้อมกับเทคนิคการเต้นอันน่าทึ่ง ก่อนระเบิดการแสดงให้ร้อนแรงขีดสุดด้วยเพลง Water เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ด้วยอ่างน้ำ ตั้งตระหง่านกลางเวที ให้ไซเรนหนุ่มได้วาดลวดลายสุดพลิ้วไหวและโชว์พลังเสียงอันไพเราะ

แม้จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบในการแสดง แต่ก็ไม่ได้ลดทอนอุณหภูมิที่ร้อนแรงของเตนล์ได้แม้แต่องศาฯ เดียว

จากนั้นม่านการแสดงและไฟทั้งฮอลล์คอนเสิร์ตก็ดับลง เหลือไว้เพียงจอ LED และเสียงเรียก ‘น้องเตนล์’ และ ‘พี่ชิต’ ที่ดังกึกก้องไปทั่วฮอลล์ พร้อมกับการฉายแผ่นป้ายแสดงข้อความจากแฟนๆ หลากหลายภาษา แสดงถึงความรัก มุขตลกกวนๆ หรือมุขจีบที่ 10vely ขนมาเป็นเล่มๆ เรียกทั้งเสียงเอ็นดูและหัวเราะจากเหล่าแฟนคลับด้วยกันเองอย่างไม่ขาดสาย

ในช่วงสุดท้ายของคอนเสิร์ต เตนล์ปรากฏตัวในภาพลักษณ์ที่ดูสบายๆ และเริ่มการแสดงด้วยเพลง Paint Me Naked แจกความน่ารักสดใสอย่างใกล้ชิด ก่อนทิ้งท้ายด้วยการกล่าวขอบคุณแฟนคลับที่สละเวลาช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์มาใช้ร่วมกัน และขอขอบคุณทุกคนที่มาสร้างความทรงจำแบบเต็มสิบกันอีกครั้งในสถานที่แห่งนี้ 

ก่อนที่ปิดท้ายการแสดงคอนเสิร์ตในครั้งนี้ด้วย Waves เพลง Pop/ R&B ที่ได้ศิลปินชาวสวีเดนอย่าง โอมาร์ รูดเบิร์ก (Omar Rudberg) มาเป็นผู้เรียบเรียงเนื้อร้องที่มีความหมายดีๆ ให้แฟนๆ ได้ร้องคลอตามอย่างสนุกสนาน ถือเป็นการปิดฉากคอนเสิร์ตที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและ Energy ที่เตนล์มอบให้

ก่อนจะบันทึกภาพความทรงจำร่วมกัน เหล่า 10vely ได้เปิดโปรเจกต์ที่เตรียมมาทั้งหมดอีกครั้ง ทั้งเป็นการแปรกล่องไฟ รวมถึงแบนเนอร์และป้ายข้อความ เพื่อสร้างความประทับใจและความทรงจำอันงดงามร่วมกันกับเตนล์ 

โดยในวันแรกของการแสดง กล่องไฟจะแสดงเป็นคำว่า ‘TEN ERA’ พร้อมกับป้ายแบนเนอร์ “Millions of stars here will always shine for TEN.” และป้ายข้อความรูปดาว “We always shine for each other.”

ขณะที่วันที่ 2 แฟนๆ แปรกล่องไฟเป็นคำว่า ‘ONLY TEN’ ป้ายแบนเนอร์ก็ลึกซึ้งกินใจไม่แพ้วันแรกด้วยประโยคที่ว่า “Through seasons change, our hearts remain. A love that blooms against the rain.” รวมถึงป้ายข้อความถูกสั่งทำพิเศษให้เป็นรูปดอกไม้พร้อมกับประโยค “Every bloom says ‘I love you’ just for you.” 

ก้าวใหม่ครั้งสำคัญในพื้นที่ความทรงจำแห่งเดิม

การกลับมาแสดงคอนเสิร์ตในบ้านเกิดครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในเส้นทางการเป็นศิลปินของ ‘เตนล์’ ที่จะจารึกเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นแท่นเป็น ‘ศิลปินชายเดี่ยวคนแรก’ ของค่ายที่สามารถจัดทั้ง ‘แฟนคอนเสิร์ตเดี่ยว’ และ ‘คอนเสิร์ตเดี่ยวเต็มรูปแบบ’ ที่อิมแพ็ค อารีน่าได้สำเร็จ

ตลอดระยะเวลาหลายชั่วโมงของทั้ง 2 รอบการแสดง เตนล์ได้มอบความสุขให้กับแฟนคลับ และถ่ายทอดการแสดงได้อย่างสมบูรณ์แบบเต็มสิบ สมกับที่ได้รับการขนานนามว่า เป็น ‘Artistic Performer’ ครบเครื่องทั้งการร้อง การเต้น และยังเผยเสน่ห์ในอีกหลากหลายด้าน ให้แฟนคลับได้สำรวจตัวตนเพิ่มขึ้น 

อีกเรื่องที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คือ ทักษะ ‘การเจ๊าะแจ๊ะ’ ของเตนล์ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน แม้ว่าบางครั้งจะมีอุปสรรคการสลับภาษาหรือเรียงคำพูดผิดพลาดไปบ้าง (พอสมควร)

“ทำไมไอพูดไทยไม่รู้เรื่อง”

“เรามาทำความทรงจำกันดีๆ” – (เรามาสร้างความทรงจำดีๆ)

“เริ่มมาจนถึงจุดตรงกลางแล้ว” – (เริ่มมาได้ครึ่งทางแล้ว)

“เดี๋ยวเราก็จะส่งแสง” – (เดี๋ยวเราก็จะเปล่งประกาย)

“โอ๊ะ กะได สู๊งสูง” – (บันไดสูง)

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความผิดพลาดแสนน่าเอ็นดูนั้น สามารถเติมเต็มให้คอนเสิร์ตครั้งนี้สนุกและมีชีวิตชีวามากขึ้น สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะปนความเอ็นดูไม่ขาดสาย

ตลอดระยะเวลาคอนเสิร์ตทั้ง 2 วัน ผู้เขียนได้รับความสุขและพลังงานดี ๆ จากเตนล์อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่อบอุ่น จริงใจ หรือการแสดงที่งดงามระดับมาสเตอร์พีซ ที่ทุกบทเพลงล้วนถ่ายทอดออกมาด้วย ‘ความใส่ใจ’ และ ‘ความทุ่มเท’ อย่างสุดกำลัง เพื่อให้การแสดงออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด

เรียกได้ว่าตลอดการแสดงไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่รู้สึกเบื่อ มีเพียงความสนุก รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะที่ต่างฝ่ายมอบให้แก่กันและกัน จนผู้เขียนรู้สึกว่าเวลา 2 ชั่วโมงช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน 

มาถึงตรงนี้ ผู้เขียนในฐานะแฟนคลับคนหนึ่งรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เห็นเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงทีละนิด และค่อยๆ โผบินอย่างสง่างาม เตนล์เปรียบเสมือนพลังงานบวก ที่ทำให้เราอยากลุกขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย และไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะพาเขาไปไกลแค่ไหน แฟนคลับอย่างเราจะยังคงยืนอยู่ตรงนี้ พร้อมรอคอยและร่วมยินดีในทุกบทใหม่ของเรื่องราวอันงดงามที่ชื่อว่า ‘เตนล์’

“จงโบยบินอย่างอิสระ และส่องแสงเปล่งประกายอย่างงดงามต่อไปนะเตนล์”

Tags: , , , , , , , , , , ,