คุณเคยรู้สึกไม่ชอบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘อนาคต’ หรือไม่
‘อนาคต’ แม้จะมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ทุกคนล้วนรู้แล้วว่า ‘มันมีอยู่จริง’ หนทางที่เราในฐานะมนุษย์จะสัมผัสกับสิ่งนามธรรมคำนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุดคือ ‘การรอคอย’
คำว่า ‘อนาคต’ โดยตัวมันเองเต็มไปด้วย ‘ความว่างเปล่า’ ชวนจินตนาการผสมผสานไปกับ ‘ความไม่แน่นอน’ ที่มีแต่เวลาเท่านั้นที่จะให้คำตอบกับเราได้ว่า อนาคตจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
เช่นเดียวกันกับอนาคตของ โดยอง (DOYOUNG) นักร้องเสียงหลักแห่งวง NCT และ ‘NCTzen’ (ชื่อทางการของแฟนคลับ) ที่รู้กันเป็นอย่างดีว่า อีกไม่นานโดยองต้องหายหน้าหายตาจากกันไปสักพัก เพราะศิลปินหนุ่มจะต้องวางไมค์และเข้ารับราชการทหารตามระเบียบของประเทศเกาหลีใต้
และเพื่อเป็นการบอกลาและปลอบประโลม รวมถึงทำสัญญาใจร่วมกัน ช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยองปล่อยอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 อย่าง Soar ก่อนจะประกาศเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วทวีปเอเชียตามมาภายหลัง
‘กรุงเทพมหานคร’ ก็เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ศิลปินหนุ่มเดินทางมาบอกลาแฟนคลับด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน
คอนเสิร์ตครั้งนี้ของโดยองใช้ชื่อว่า ‘2025 DOYOUNG CONCERT [ Doors ] in BANGKOK’ ที่จะเล่าคอนเซปต์ ‘ประตู’ เชื่อมโยงไปยังความทรงจำต่างๆ ระหว่างเขากับแฟนคลับที่มีร่วมกันมากว่า 9 ปีเต็ม นับตั้งแต่การเดบิวต์ครั้งแรก
การกลับมาครั้งนี้ของโดยองนับเป็นอีกหนึ่งความพิเศษที่เขามีโอกาสได้จัดแสดงคอนเสิร์ต ณ ธันเดอร์ โดม (Thunder Dome) เมืองทองธานี ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับการแสดงคอนเสิร์ตครั้งแรกของ NCT 127 อย่าง NCT 127 WORLD TOUR ‘NEO CITY: BANGKOK – The Origin ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน โดยโดยองได้รับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากเหล่าแฟนคลับ ทำให้บัตรคอนเสิร์ตทั้ง 2 วันที่มีจำนวนเกือบ 1 หมื่นใบ ขายเกลี้ยงหมดแผง
Open the ‘Doors’
การแสดงครั้งนี้เปิดฉากด้วยการยิงเลเซอร์เป็นประตูไปยังบนผืนผ้าบนเวที ก่อนที่โดยองปรากฏตัวออกมาในเสื้อโคตยาวสีขาวปักด้วยขนนกประดิษฐ์ พร้อมกับบทเพลงโหมโรงความตื่นเต้นอย่าง Wake From The Dark ที่มีการแสดงสดพร้อมกับแบนด์ เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับได้อย่างร้อนแรง
โดยองสานต่อความสนุกในช่วงแรกด้วยบทเพลง b-side ในอัลบั้มชุดที่ 1 อย่าง Dallas Love Field, From Little Wave และเพลงไตเติลอย่าง Little Light หลังจากนั้นเขากล่าวต้อนรับเหล่าแฟนคลับที่เดินทางมาชมคอนเสิร์ตด้วยความอบอุ่นอย่างเป็นทางการ โดยการทักทายด้วยภาษาไทยที่เตรียมมา สามารถเรียกความเอ็นดูได้ไม่มากก็น้อย
เซตเพลงในองก์แรกยังไม่จบลงเพียงเท่านั้น ศิลปินหนุ่มยังขนเอาเพลงสุดฮิตอย่าง Lost In California และ Sand Box มาแสดงบนเวที แปรเปลี่ยนเสียงเชียร์ของเหล่าแฟนคลับ เป็นเสียงร้องเพลงคลอไปตลอดทั้งการแสดง
ก่อนที่อารมณ์ของคอนเสิร์ตจะลดความร้อนแรงลงมาเล็กน้อย จากเดิมที่ยืนร้องก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งร้องบนเก้าอี้ม้านั่ง ที่ทีมงานจัดเตรียมไว้เคียงคู่ไปกับมือกีตาร์ประจำวง พร้อมแสดงเพลงบัลลาดโชว์เสียงหวานนุ่มหูอย่าง Warmth, Rewind และ Just Friends และไฟเวทีก็ดับลงไปเพื่อเตรียมพาคอนเสิร์ตไปช่วงต่อไป
ทันใดนั้นจอ LED ก็แสดง VCR อีก 1 ตัว ฉายภาพโดยองกำลังเดินทางท่องไปยังความทรงจำต่างๆ ผ่านประตูมากมาย โดยเขาตัดสินใจเปิด ‘ประตูสีแดง’ เข้าไปยังบาร์แจ๊ซแห่งหนึ่ง เห็นตัวเองกำลังแสดงบนเวทีด้วยท่าเต้นสุดยั่วยวน หวนคืนความจำทรงการเป็นหนึ่งในเมมเบอร์ยูนิตย่อยอย่าง NCT DoJaeJung และเป็นเพราะ VCR นี้เองที่เปลี่ยนอุณหภูมิของคอนเสิร์ตให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
ทันทีที่แสงสปอตไลต์ของเวทีฉายกลับมา โดยองปรากฏตัวออกมาในชุดผ้าซาตินสีแดง พร้อมกับเวทีการแสดงที่ถูกจัดให้คล้ายกับบาร์แจ๊ซเล็กๆ มีนักดนตรีเข้าร่วมแสดงด้วย โดยโดยองได้ Rearrange เพลงในเซตนี้ทั้งหมดให้ออกมาเป็นสไตล์แจ๊ซ ไม่ว่าจะเป็น YESTODAY (เพลงของ NCT U), Serenade, Like a Star, Love Song (เพลงของ NCT 127) และแสดงเพลงไฮไลต์อย่าง Perfume (เพลงของ NCT DoJaeJung) ที่มาพร้อมกับท่าทางสุดเซ็กซี่ของเขา เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนคลับได้อย่างหนาแน่น
นอกจากนั้นแล้ว อีกบิ๊กเซอร์ไพรส์ในเซตบาร์แจ๊ซครั้งนี้ที่ศิลปินหนุ่มคนนี้ขนมามัดใจแฟนๆ ชาวไทย คือการหยิบเอาเพลงที่มีความหมายลึกซึ้งอย่าง รักนานๆ ของ โดม-จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม ศิลปินชาวไทย มาร่วมแสดงเพื่อเป็นการบอกลาและให้คำมั่นสัญญากับแฟนคลับอันเป็นที่รักของเขา
และแล้วบาร์แจ๊ซของโดยองก็เลือกปิดท้ายด้วย 2 บทเพลงที่มีบรรจุข้อความ ‘คำขอบคุณ’ ที่แฟนคลับที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอดอย่าง Sonnet และ The Story
เมื่อทั้งเวทีได้ดับไฟลง จอแสดง VCR ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ฉายภาพฝันของโดยองที่ได้รับจักรยานคันหนึ่ง ที่ทำให้เขาสามารถปั่นท่องไปตามความทรงจำต่างๆ ก่อนที่ศิลปินหนุ่มหน้ากระต่ายคนนี้จะออกมาจากหลังเวทีด้วยความสดใสในเชิ้ตสีชมพูกับจักรยานคู่ใจที่อยู่ใน VCR พร้อมกันนั้นยังขนเอาดอกไม้และตุ๊กตาโดกุงปัง (ตุ๊กตาประจำตัวของโดยอง) ออกมาด้วย
ในองก์ที่ 3 โดยองเลือกนำเสนอเซตเพลงที่เต็มไปด้วยบรรยากาศสดใส ไม่ว่าจะเป็น First Step ในสไตล์บอสซาโนว่า (Bossa Nova) หรือ Time Machine จากอัลบั้มเต็มชุดที่ 1 ที่แม้ศิลปินรับเชิญอย่าง แทยอน (TAEYEON) และมาร์ค (MARK) จะไม่ได้ขึ้นเวทีมาร่วมร้องด้วย แต่แฟนคลับก็สามารถสวมบทแทนร้องคลอตามไปกับโดยองในท่อนที่ทั้ง 2 เคยร่วม Featuring ไว้ในเพลงนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม และปิดท้ายด้วยเพลง Be My Light ที่ทำให้ทั้งคอนเสิร์ตอยู่ในอารมณ์แสนสุขและสดใส
และปิดท้ายองก์ที่ 3 ของคอนเสิร์ตด้วยเพลงบัลลาดอย่าง Luminous, Still และเพลงไตเติลประจำอัลบั้มที่ 2 อย่าง Memory เรียกเสียงเชียร์พร้อมกับแฟนชาร์ตดังจนฮอลธันเดอร์ โดมแทบแตกเลยก็ว่าได้
ก่อนเข้าสู่องก์สุดท้ายของคอนเสิร์ต จอ LED ฉายข้อความจากแฟนคลับที่ตั้งใจส่งมาให้โดยอง ถือเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์พิเศษที่เปิดโอกาสให้แฟนๆ ได้สื่อสารกับเขาอีกครั้ง แม้จะมีสีสันเล็กๆ น้อยๆ อย่างศึก ‘โดยองโพแก้มหอม’ กับ ‘โดยองโพพี่ตี๋’ โผล่มา แต่ก็ทำให้บรรยากาศอบอุ่นและชวนอมยิ้มไม่น้อย
สำหรับการปรากฏตัวครั้งสุดท้ายของโดยอง เขาเลือกที่จะไม่ปรากฏตัวตรงกลางเวทีเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่เลือกที่จะปรากฏตัว ณ ประตูฝั่งที่นั่งด้านข้างของธันเดอร์ โดม เพื่อเดินทักทายแฟนคลับอย่างใกล้ชิด พร้อมกับการแสดงในเซตสุดท้ายในเพลงที่เหลืออยู่อย่าง Beginning, Eternity และ Rest ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ฝั่ง NCTzen ชาวไทยก็ไม่ยอมน้อยหน้าให้โดยองได้แสดงความน่ารักอยู่คนเดียว
ด้านแฟนคลับชาวไทยเตรียมโปรเจกต์ป้ายไฟที่แสดงคำว่า ‘행운 (ความโชคดี) พร้อมกับรูปอิโมจิใบโคลเวอร์และกระต่าย’ ที่สื่อถึงเอกลักษณ์ของโดยองในวันแรกของการแสดง ขณะที่วันที่ 2 โปรเจกต์ป้ายไฟแสดงเป็นคำว่า ‘DO US’ (พ้องเสียงกับ Doors) ซึ่งหมายถึงโดยองและ NCTzen ชาวไทย
พร้อมกันนั้นยังมีอีกแฟนโปรเจกต์ที่ทำให้ศิลปินหนุ่มถึงกับหลุดรอยยิ้มกว้าง นั่นก็คือ แฟนๆ ต่างสวมคาดหัวรูปกระต่ายในวันแรกของการแสดงประหนึ่งว่าเป็น ‘กองทัพกระต่ายน้อย’ ของเขา ขณะที่วันที่ 2 เป็นที่คาดหัวรูปใบโคลเวอร์ ซึ่งในช่วงนี้โดยองได้ขอให้เหล่าแฟนๆ ขยับหัวซ้าย-ขวาอย่างพร้อมเพรียง เรียกเสียงหัวเราะและเอ็นดูได้จากทุกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
ก่อนที่โดยองจะอำลาเหล่าแฟนคลับครั้งสุดท้าย โดยให้คำมั่นสัญญาว่าเขาจะร้องเพลงอยู่เสมอ ก่อนที่จะเดินหายไปจากเวที ทั้งนี้ในวันสุดท้ายของการแสดง เหล่า NCTzen ชาวไทยก็เลือกที่จะตะโกนชื่อ ‘คิม โดยอง’ อีกครั้งเป็นเวลาร่วม 10 นาที
ทำให้ศิลปินหนุ่มคนนี้ปรากฏตัวบนเวทีอีกครั้ง ด้วยลุคสบายๆ เช็ดเครื่องสำอางออกหมดแล้ว เพื่ออำลาแฟนครั้งสุดท้าย
“NCTzen ชาวไทยทุกคนครับ ขอโทษที่วันนี้ไม่ได้ร้องเพลงให้ทุกคนฟังอีกสักเพลงนะครับ กลับมาครั้งหน้า ผมจะร้องเพลงที่ดียิ่งขึ้นและโชว์ที่ให้ได้ชมกันเยอะขึ้นนะครับ
“ผมได้มาร้องเพลงที่ประเทศไทยก็เพราะทุกคนเรียกผมและมาหาผม การแสดงวันนี้จบลงได้ด้วยดีเพราะว่าทุกคนครับ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเพลงที่ผมร้องจะเป็นพลังใจให้กับ NCTzen ชาวไทยนะครับ
“ผมได้รับพลังใจกลับไปเยอะมากจริงๆ ครับ ผมจะกลับมาตอบแทนพลังใจนั้นกับทุกคนให้ได้เลยครับ ขอบคุณครับ”
When one door closes, another opens
คอนเสิร์ตในครั้งนี้ของโดยอง แม้ว่าจะเป็นการแสดงเพื่อบอกลาก่อนเข้ากรมทหาร อย่างไรก็ตามมันแสดงให้เห็นการเติบโตของโดยองได้เป็นอย่างดี ศิลปินหนุ่มยังคงรักษามาตรฐานทักษะการร้องระดับสูง รวมถึงการแสดงออกที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ตลอดการแสดง 2 ชั่วโมงครึ่ง สามารถตอกย้ำฉายา ‘K-Pop Representative Vocalist’ ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม
ตลอดการแสดงคอนเสิร์ต ผู้เขียนในฐานะแฟนคลับสามารถรับรู้ได้ถึงข้อความที่โดยองอยากถ่ายทอดออกมาว่า “ช่วยรอเขาสักนิด เดี๋ยวเขาจะกลับมาร้องเพลงให้ฟังครั้ง”
คราวนี้ต้องขอย้อนกลับไปที่ต้นบทความที่เคยถามไว้ว่า “คุณเคยรู้สึกไม่ชอบกับสิ่งที่เรียกว่า ‘อนาคต’ หรือไม่” ผู้เขียนอาจจะต้องเปลี่ยนคำตอบเสียใหม่ เพราะโชว์ครั้งนี้ของโดยองทำให้ผู้เขียนเชื่อว่า การรอคอยไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
กลับกันคำว่า ‘เวลา’ และ ‘การรอคอย’ จะกลายมาเป็นหนึ่งในวัตถุดิบชั้นดีที่บ่มเพาะความคิดถึงของกันและกัน ให้การเจอกันในครั้งหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ ไม่ต่างจากไวน์ชั้นดีในบาร์แจ๊ซสุดหรู
และแน่นอนว่า ในวันที่โดยองกลับมาเปิดประตูแห่งความทรงจำบานใหม่ สิ่งที่เขาจะต้องเจอคือ ‘ทะเลแสงสีเขียวนีออน’ ที่รอการต้อนรับการกลับมาของเขาอย่างล้นหลามแน่นอน
Tags: NCT127, SMTrue, Doyoung, Concert, โดยอง, เพลง, NCT DOJAEJUNG, Kpop, Doors, คอนเสิร์ต, DOYOUNG_Doors, Screen and Sound, DOYOUNG_Doors_in_BANGKOK, SM Entertainment, NCT