ถ้าให้พูดชื่อคนทำหนังที่มีผลงานออกมาสม่ำเสมอ การตกหล่นชื่อของ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) น่าจะถือเป็นความผิดบาปมหันต์ เพราะโดยเฉลี่ยแล้ว เขามีหนังออกฉายปีละหนึ่งเรื่องเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นหนังที่กวาดทั้งรายได้และคำวิจารณ์กลับมาได้อยู่เสมอ

ปีนี้ก็เช่นกัน สก็อตต์ กำลังมี Napoleon (2023) หนังดราม่าทุนสร้าง 130 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่าด้วยการขึ้นเถลิงอำนาจของ นโปเลียน โบนาปาร์ต (แสดงโดย ฮัวคิน ฟีนิกซ์) นายพลผู้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการปฏิวัติฝรั่งเศส และแผ่ขยายอำนาจครอบคลุมยุโรปให้อยู่ภายใต้จักรวรรดิฝรั่งเศสนานถึง 14 ปีเต็ม และความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินี โฌเซฟีน (แสดงโดย วาเนสซา เคอร์บี) หญิงที่กล่าวกันว่า เป็นรักเดียวของนโปเลียน และสิ่งที่สะท้อนความเดือดของสก็อตต์ คือทันทีที่เขาปิดกล้อง The Last Duel (2021) หนังอีพิกทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ขาดทุนยับด้วยการทำเงินไปเพียง 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สก็อตต์ประกาศว่า เขาจะทำหนังที่ว่าด้วยจอมทัพนโปเลียนต่อทันที (ทั้งที่ปีนั้น เขาก็มีหนังอีกเรื่องอย่าง House of Gucci (2021) ออกฉายด้วย) 

กล่าวสำหรับสก็อตต์ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ทำหนังมาแล้วแทบทุกฌ็อง (Genre) และถือเป็นหนึ่งในคนทำหนังชาวอังกฤษที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดทั้งในบ้านเกิดและฝากฝั่งฮอลลีวูด หนังของเขามักสำรวจประเด็นความเป็นมนุษย์ในเชิงปรัชญา และโดยมากแล้ว หนังของเขาเกือบทุกเรื่องล้วนแล้วแต่ประกอบด้วยตัวละครหญิงแกร่ง ซึ่งเขาเคยเล่าว่า ได้มาจากแม่ผู้เป็นใหญ่ในบ้าน

แต่ที่น่าจับตาอย่างที่สุด คือการที่สก็อตต์นั้น หากไม่ทำหนังไซ-ไฟล้ำโลก ว่าด้วยหุ่นยนตร์และโลกอนาคต เขาก็มักหันไปทำหนังพีเรียดย้อนยุค และยังคงน้ำเสียงบางประการของตัวเองในหนังทั้งสองฌ็องได้ดี เพราะสก็อตต์แจ้งเกิดด้วยการทำหนังสงคราม The Duellists (1977) ตัวหนังดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น The Duel (1908) โดย โจเซฟ คอนราด (Joseph Conrad) เล่าถึงสมัยศตวรรษที่ 17 เมื่อชายสองคนของนโปเลียนตัดสินใจดวลฝีมือแลกเป็นแลกตายกัน เกเบรียล (แสดงโดย ฮาร์วีย์ คีเทล) นายทหารผู้จงรักภักดีและศรัทธาต่อนโปเลียน กับขุนนางหนุ่ม อาร์มันด์ (แสดงโดย เคน คาร์ราดีน) ความขัดแย้งของทั้งคู่กินเวลานานกว่าทศวรรษ คู่ขนานกันไปกับการเปลี่ยนแปลงของการเมืองฝรั่งเศสในยุคเปลี่ยนผ่าน  

หนังอาจไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านรายได้นัก แต่มันเป็นผลงานแจ้งเกิดของสก็อตต์ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เพราะคว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมจากผู้กำกับหน้าใหม่ของเทศกาลหนังเมืองคานส์ ทั้งยังส่งสก็อตต์ชิงปาล์มทองคำอีกด้วย

อย่างไรก็ดี หนังที่ส่งให้สก็อตต์เป็นที่รู้จักในฮอลลีวูดและในวงกว้างระดับโลกคือ Alien (1979) กล่าวคือจากทำหนังพีเรียดเป็นเรื่องแรก สก็อตต์ก็กระโจนมาทำหนังไซ-ไฟ ทุนสร้าง 11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ทำรายได้แบบถล่มทลายไปที่ 184 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งยังสร้างตำนานกลายเป็นหนังแฟรนไชส์ว่าด้วยมนุษย์ต่างดาวจอมอำมหิต หนังเล่าเรื่องของลูกเรือยานอวกาศที่ร่อนลงจอดบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง และพบเข้ากับไข่หน้าตาประหลาดจำนวนมาก เคราะห์ร้ายที่ไข่ฟองหนึ่งฟักตัวและพุ่งเข้าจู่โจม เคน (แสดงโดย จอห์น เฮิร์ต) หนึ่งในลูกเรือเข้าที่ใบหน้า และแม้ฟื้นขึ้นมาแล้วเขาจะดูปกติดี ไม่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงใด กระนั้น ริปลีย์ (แสดงโดย ซิกัวร์นีย์ วีเวอร์ -ซึ่งเป็นหนึ่งในบทคู่บุญของเธอ) เจ้าหน้าที่ประจำยานอวกาศก็ยืนยันให้กักตัวเคนไว้ แต่ความคิดเห็นของเธอก็ถูกมองข้ามเมื่อกัปตันและทุกคนใจจดใจจ่อจะออกเดินทางเพื่อกลับไปยังโลกให้เร็วที่สุด ทว่า ความปรารถนาของพวกเขาก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้จริงเมื่อมีบางอย่างกำลังฟักตัวออกมาจากร่างกายของเคน…

นี่คือหนังเรื่องแรกที่แจ้งเกิดเอเลียน หรือซีโนมอร์ฟ (Xenomorph) สิ่งมีชีวิตต่างดาวที่แพร่พันธุ์ด้วยการวางไข่และฟักตัวอ่อนในร่างของเหยื่อ รูปร่างและท่าทีคุกคามของมันนั้นเป็นผลงานการออกแบบอันลือชื่อของ ฮานส์ ร็อดด์ ไกเกอร์ (Hans Ruedi Giger) ศิลปินชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผู้จงใจออกแบบให้ซีโนมอร์ฟที่เรือนร่างมีลักษณะชวนให้นึกถึงการคุกคามทางเพศ ไม่มีดวงตา เพราะไกเกอร์เชื่อว่าจะยิ่งทำให้คนดูอกสั่นขวัญแขวน เนื่องจากไม่อาจเดาได้เลยว่าสิ่งมีชีวิตประหลาดนี้จ้องมาอยู่หรือไม่

ฉากจำอีกประการของหนังเรื่องนี้คือฉาก ‘แหวกอก’ ในตำนานที่ทำเอาคนดูหนังสมัยนั้นสยดสยองกลับบ้านเป็นแถบ โดยในภายหลัง ซีโนมอร์ฟก็ไปปรากฏตัวในหนังแฟรนไชส์เอเลียนอีกหลายภาค นับเป็นหนึ่งในตัวละครฮอตฮิตของฮอลลีวูดที่หยิบมาเล่าได้อยู่เรื่อยๆ

Blade Runner (1982) คือหนังไซ-ไฟอีกเรื่องของสก็อตต์ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นหนังที่เล่าเรื่องเชิงปรัชญาได้เฉียบขาดที่สุดเรื่องหนึ่ง และแม้จะทำเงินไปได้ไม่มากมายนัก แต่เมื่อเวลาล่วงผ่าน หลายคนก็หวนกลับไปพินิจพิเคราะห์ในฐานะ ‘หนังที่มาก่อนกาล’ อีกเรื่อง ว่าด้วยโลกอนาคตที่มนุษย์อยู่ร่วมกันกับมนุษย์ดัดแปลง (Replicants) หากแต่เมื่อบริษัททุนใหญ่ผลิตมนุษย์เทียมรุ่นล่าสุดที่ประสิทธิภาพล้ำเลิศ มีเรือนร่างและระบบความทรงจำเหมือนมนุษย์ทุกประการ ทำให้รัฐบาลมองว่า หากปล่อยมนุษย์เทียมรุ่นนี้ไว้ จะสร้างอันตรายให้แก่มนุษย์ในที่สุด ก่อกำเนิดเป็นหน่วย เบลด รันเนอร์ ออกล่าและกำจัดมนุษย์เทียมเหล่านี้ ริชาร์ด (แสดงโดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด) เป็นเบลด รันเนอร์มือวางอันดับหนึ่งที่ถูกมอบหมายให้ออกตามล่ามนุษย์เทียมที่เฉลียวฉลาดและอันตรายที่สุด กระนั้น ยิ่งเมื่อเขาออกล่ามนุษย์เทียมกลุ่มนี้ไปเรื่อยๆ เขายิ่งรู้สึกสับสนต่อนิยามของ ‘ความเป็นมนุษย์’ ที่เขาและรัฐพึงมี

หนังดัดแปลงมาจากนิยายดิสโทเปีย Do Androids Dream of Electric Sheep? (1968) โดย ฟิลลิป เค ดิค (Philip K. Dick) และบทหนังก็เป็นที่ต้องตาต้องใจของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) หากแต่สกอร์เซซีก็ไม่เคยได้หาข้อตกลงร่วมกับสตูดิโอได้เสียที บทหนัง Blade Runner จึงแกร่วรอคนมาหยิบไปสร้างเป็นหนัง

ภายหลัง หนังมีภาคต่อในชื่อ Blade Runner 2049 (2017) กำกับโดย เดอนีส์ วีลเนิฟ (Denis Villeneuve) หากแต่เล่าเรื่องผ่านสายตาของมนุษย์เทียมที่ทำหน้าที่เป็น เบลด รันเนอร์ ต้องประสบวิกฤตตัวตนอย่างรุนแรง

Gladiator (2000) คือหนังพีเรียดที่สก็อตต์หวนมากำกับอีกครั้ง และประสบความสำเร็จระเบิดระเบ้อด้วยการทำรายได้ไปถึง 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าชิงออสการ์อีก 12 สาขาและเอากลับบ้านมาได้ 5 สาขา รวมสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและนำแสดงชายยอดเยี่ยม (รัสเซลล์ โครว) เล่าถึงกรุงโรมภายใต้การปกครองของ กอมโมดุส (แสดงโดย ฟีนิกซ์ ซึ่งนับเป็นหนังเรื่องแรกที่เขาได้ร่วมงานกับสก็อตต์ และส่งเขาเข้าชิงออสการ์สาขาสมทบชายด้วย) ลูกชายจักรพรรดิผู้อำมหิต เขาริษยาความสำเร็จของ แม็กซิมุส (แสดงโดย โครว) แม่ทัพผู้สร้างจักรวรรดิโรมจนเกรียงไกร เพื่อจะทำลายแม็กซิมุสทิ้ง เขาจึงใส่ร้ายจนแม็กซิมุสต้องโทษร้ายแรง กลายเป็นทาสและเข้าร่วมการต่อสู้กลาดิเอเตอร์ อันเป็นสังเวียนของเหล่านักสู้ในคุกเพื่อความบันเทิงของชนชั้นนำ

พล็อตหนังได้รับอิทธิพลมาจากหนังฌ็อง Sword-and-Sandal อันเป็นหนังที่ว่าด้วยตำนานลึกลับในอดีตที่เกิดขึ้นในยุคกรีก-โรมัน หรือยุคกลางที่ขยับมาเล่าในท่าทีของหนังบล็อกบัสเตอร์ สก็อตต์ตัดสินใจกำกับหนังเรื่องนี้ภายหลังจากเขาเห็นงานภาพ Gladiator ของ ฌ็อง-ลีออง เฌอโรม (Jean-LéonGérôme) ศิลปินชาวฝรั่งเศส (ผู้เคยวาดภาพสีน้ำมันเมื่อครั้งที่ พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดี เข้าเฝ้าจักรพรรดิโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศสในปี 1861) ขณะที่โครวนั้น แม้จะอ่านบทแล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าบทนี้จะเหมาะสำหรับเขาจริงหรือไม่ 

“แต่พอรู้ว่าผมจะได้ทำงานกับริดลีย์เท่านั้นแหละ ผมก็ตอบตกลงเลย” เขาบอก “แต่ก็นะ ตอนนั้นผมเพิ่งถ่ายทำเรื่อง The Insider (1999) จบไป ทำน้ำหนักจนตัวใหญ่เบ้อเริ่ม หัวโล้นเหน่ง เพราะต้องสวมวิกทั้งเรื่่อง เลยโกนให้ทำงานง่ายๆ เพราะงั้นก่อนถ่ายทำนี่ผมดูไม่มีอะไรเหมือนคนยุคโรมันเอาเสียเลย”

และที่น่าสนใจคือสก็อตต์ในตอนนี้ เขาได้เตรียมถ่ายทำ Gladiator 2 (2024) เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ต่อมาคือหนังไซ-ไฟทุนสร้าง 108 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่ประสบความสำเร็จสุดขีดของสก็อตต์อย่าง The Martian (2015) มิหนำซ้ำ มันยังเป็นต้นธารการกำเนิดมีมแซว แมตต์ ดามอน (Matt Damon) นักแสดงนำของเรื่องว่า ‘ไม่ว่าหมอนี่จะไปอยู่ในหนังเรื่องไหน เรื่องนั้นต้องว่าด้วยการเสียสละหรือทุ่มเงินเป็นพันเหรียญสหรัฐฯ เพื่อพาเขาให้กลับมาอย่างปลอดภัยทุกทีสิน่ะ’ และถึงขั้นมีคนทำสถิติชะตากรรมรันทดของดามอนในหนังเรื่องอื่นๆ ว่าตัวละครต้องแลกไปเท่าไร เพื่อช่วยให้เขากลับมาจากสถานการณ์อันตราย ตั้งแต่ Saving Private Ryan (1998), Syriana (2005), Green Zone (2010) จนมาถึง The Martian ที่สิริรวมแล้วน่าจะตกเป็นเงินราวๆ 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพราะ The Martian ว่าด้วย มาร์ค (แสดงโดย ดามอน) นักบินอวกาศที่เพื่อนร่วมงานอวกาศของเขาเข้าใจว่าเขาตายไปแล้ว จึงออกเดินทางกลับไปยังโลก ขณะที่มาร์คนั้นแม้จะรอดชีวิต แต่ก็ต้องหาทางดำรงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม และต้องทำทุกทางเพื่อส่งสัญญาณบอกให้คนทางโลกรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ โดยที่อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องหาทางกลับไปรับเขากลับมาให้ได้ในระยะทางหลายล้านไมล์

ทั้งนี้ ประมาณการกันว่า ต้นทุนที่แพงที่สุดในการช่วยเหลือตัวละครของดามอนคือ Interstellar (2014) ซึ่งตกอยู่ที่ราวๆ ห้าพันล้านเหรียญสหรัฐฯ

Tags: , , , , , , , ,