Top Gun: Maverick (2022) น่าจะเป็นหนึ่งในหนังที่ถูกจับตามองมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงแต่มันจะสร้างด้วยทุนสูงลิ่วที่ 152 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้รับเสียงปรบมือกราวใหญ่นานห้านาทีเต็มหลังเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์ หากแต่มันยังเติมเต็มตำนานที่ยังไม่จบของ พีต ‘มาเวอริก’ มิตเชลล์ นักบินหนุ่มเลือดร้อนที่ห่างหายจากการรับรู้ของคนดูร่วม 36 ปีเต็ม หลังจากปรากฏตัวครั้งแรกจาก Top Gun (1986) หนังทุนสร้าง 15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่กวาดรายได้เป็นกอบเป็นกำกลับมาที่ 357 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้งยังสร้างปรากฏการณ์มหาศาล แจ้งเกิดทั้งผู้กำกับ นักแสดงไปจนถึงแว่นกันแดด!

 กล่าวอย่างย่นย่อ Top Gun เล่าถึงมาเวอริก (ทอม ครูซ) นักบินหนุ่มผู้พกความมั่นใจและความระห่ำมาเต็มกระเป๋า แม้จะทำอะไรนอกลู่นอกทางไปบ้างแต่ก็นับว่าฝีไม้ลายมือโดดเด่นจนถูกส่งไปฝึกเพิ่มเติมกับบรรดานักบินหัวกะทิจากหน่วยอื่นๆ ในนามของหลักสูตร Top Gun และสามทศวรรษล่วงผ่าน หนุ่มน้อยนักบินมาเวอริกในวันนั้นกลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกสอนนักบินขับไล่หน้าใหม่ใน Top Gun: Maverick หนังภาคต่อที่กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี ผู้สร้างชื่อจาก TRON: Legacy (2010) และ Oblivion (2013 – นำแสดงโดยครูซ)

 ทั้งนี้ Top Gun ภาคแรกได้สร้างตำนานไว้มหาศาล มันคืองานกำกับหนังยาวเรื่องที่สองของ โทนี สก็อตต์ น้องชายแท้ๆ ของ ริดลีย์ สก็อตต์ คนทำหนังจาก Alien (1979), Prometheus (2012) ดัดแปลงมาจากบทความชื่อเดียวกันของ เอฮัด โยเนย์ ที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร California ปี 1983 เล่าเรื่องชีวิตนักบินขับไล่ในซานดิเอโก ก่อนจะผ่านการปลุกปั้นให้เป็นบทภาพยนตร์ขนาดยาวโดยนักเขียนบทมือใหม่แกะกล่องอย่าง จิม แคช และ แจ็ก เอปปส์ ผู้เคยมีประสบการณ์การเขียนบทหนังให้ซีรีส์ออกฉายทางโทรทัศน์อยู่สามเรื่อง

กล่าวรวมๆ คือทีมหอบังคับการหลักของ Top Gun คือแก๊งคนทำหนังหน้าใหม่ที่กระดูกยังไม่แปรเป็นเหล็ก หากด้านหนึ่งก็ทำให้พวกเขาเปี่ยมไปด้วยความสดใหม่และกล้าได้กล้าเสีย อย่างที่สก็อตต์วาดหวังว่า เรื่องราวของหนุ่มนักบินนั้นต้องออกมามีหน้าตาคล้าย Apocalypse Now (1979) หนังสงครามในตำนานของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ในแง่ของความดำมืดและหดหู่ ท่ามกลางสายตาคัดค้านของ ดอน ซิมป์สัน และเจอร์รี บรักไฮเมอร์ โปรดิวเซอร์จากค่ายพาราเมาต์ที่คอยกุมบังเหียนดูทิศทางลมให้

และความไม่ลงรอยกันนี้ก็ยังผลให้สก็อตต์โดนสตูดิโอไล่ออกจากโปรเจกต์ร่วมสามครั้ง

“มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมกำลังถ่ายฉากสโลว์โมชันด้วยฟิลเตอร์ครึ่งแผ่น (Graduated Filters) กับเทคนิคต่างๆ ที่ทำให้มันออกมาดูอาร์ตๆ หม่นหมองและลึกลับหน่อย” สก็อตต์เล่า “แล้วพาราเมาต์มาเห็นเรื่องพวกนี้จากหนังสือพิมพ์รายวันเข้า ตอนนั้นผมยังอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินอยู่เลย แต่พวกเขาวิตกกันมากจนห้ามไม่ให้ผมถ่ายฉากสโลว์โมชันอีก

“ผมเลยตบตาเขาด้วยการถ่ายฟุตเทจปกติแล้วถ่ายฉากที่เหลือแบบโลว์โมชันต่อไป เพราะผมเห็นภาพในหัวชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าฉากพวกนี้มันควรออกมาเป็นแบบไหน แต่โชคร้าย ทีมงานดันส่งฟุตเทจไปผิดม้วน พวกนั้นดันส่งม้วนที่ถ่ายแบบสโลว์โมชันไป ผมเลยโดนไล่ออกจากโปรเจกต์ สิ้นสุดสัญญาลงนาทีนั้นเลย แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็ยังต้องแหง็กอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบิน กลับไปไม่ได้เพราะสภาพอากาศเลวร้ายมาก ผมเลยถ่ายหนังต่อไปเรื่อยๆ”

แม้จะดันทุรังถ่ายต่อไปได้เพราะต้องไปออกกองกันกลางน้ำกลางทะเลจนสตูดิโอตามมาห้ามไม่ไหว ต้องปล่อยให้สก็อตต์ถ่ายต่อไปเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นความวุ่นวายก็ยังไม่หยุดลง เมื่อภาพของ ชาร์ล็อตต์ (เคลลี แม็กกิลลิส) อาจารย์ฟิสิกส์สาวคนงามที่คว้าหัวใจมาเวอริกไปครองนั้น ที่ปรากฏในหัวของสก็อตต์ไม่ตรงกันกับในหัวของสตูดิโอ “นั่นแหละที่ทำให้ผมโดนเด้งรอบสอง ผมสร้างลุคให้เคลลีออกมาดูเซ็กซี่ยั่วเย้า แล้วสตูดิโอก็ดึงเอารองเท้าส้นสูงเก้านิ้วที่ผมให้เธอสวมออก ไล่ช่างแต่งหน้าที่ผมหามา จัดแจงทำให้เคลลีดู ‘ใจดี’ ขึ้นมาอีกโข

“ส่วนการไล่ออกครั้งที่สามเกิดขึ้นตอนที่ผมดึงโล่หมวกกันน็อกของนักบินเจ็ตส์ จะได้เห็นวิวทิวทัศน์อะไรต่อมิอะไร แถมที่แน่ๆ คือมันบังหน้านักแสดงเราน่ะ”

และไม่เพียงแต่ผู้กำกับกับคนเขียนบทจะ ‘มือใหม่’ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักแสดงนำวัย 24 ปีที่ดังระเบิดเป็นพลุอย่างทอม ครูซด้วย เขาเพิ่งเป็นที่จับตาจาก Risky Business (1983) กับภาพจำที่เขาสวมเสื้อเชิ้ตกับกางเกงในตัวเดียวเต้นเพลง Old Time Rock & Roll และ Legend (1985) หนังที่กำกับโดยสก็อตต์คนพี่ อันเป็นต้นธารให้สก็อตต์คนน้องได้รู้จักกับพ่อนักแสดงหนุ่มหน้าใส

“หลังจากผมถ่ายทำเรื่อง Legend จบ ผมก็ยังแกร่วๆ อยู่ในตัวเมืองเผื่อมีประชุมอะไรต่างๆ ” ครูซเล่า “แล้วก็ได้เจอดอน ซิมป์สัน, เจอร์รี บรักไฮเมอร์ กับโทนี สก็อตต์ ซึ่งผมเพิ่งจะร่วมงานกับ ริดลีย์ พี่ชายเขามาหมาดๆ ซึ่งริดลีย์นี่แหละเป็นคนโทรหาผม ผมลองคุยกับโทนีดู แล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจดี จากนั้นก็เข้าร่วมโปรเจกต์นี้มาตั้งแต่กระบวนการแก้ไขสคริปต์เลย”

การกระโจนร่วมหัวลงท้ายกับโปรเจกต์นี้ของนักแสดงหนุ่มวัย 24 ยังผลให้เขาต้องออกเดินทางมาฝึกบินร่วมกันกับนักบินคนอื่นๆ บรักไฮเมอร์เล่าถึงตอนที่ได้เจอทอม ครูซเป็นครั้งแรกว่า “ตอนนั้นเขาเพิ่งถ่ายหนังเรื่อง Legend จบไป ยังผมยาวและมัดเป็นหางม้าอยู่เลย เขาบึ่งมอเตอร์ไซค์มาที่ซานดีเอโก พวกนักบินในฐานทัพมองหน้าเขาแล้วบอกว่า ‘เราจะมอบเที่ยวบินที่เสียวสันหลังที่สุดให้ไอ้หนุ่มฮิปปี้นี่ดู’ โดยไม่รู้เลยว่าจริงๆ แล้ว ทอมเขาชอบความระทึกแบบนี้แหละ เพราะงั้นพวกนักบินเลยหิ้วทอมขึ้นเครื่องบิน พาบินตีลังกา หมุนเป็นเกลียวสารพัด

 “นั่นน่ะทำเอาทอมหัวหมุนแล้วอ้วกทะลักออกมาเลย แต่เขาชอบมันมาก ทอมบอกว่า ‘นี่เป็นเรื่องที่เจ๋งที่สุดเลยครับ!’ พอลงจากเครื่องบิน เขาเดินดิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์ ตอนนั้นเราไม่มีโทรศัพท์มือถือ จะมีก็เครื่องเดียวซึ่งอยู่บนรถ แล้วทอมก็โทรศัพท์มาหาผม บอกว่า ผมรับบทนี้แหละ เอาเลย!”

อันที่จริง หากมองจากปัจจุบันที่เราได้เห็นครูซไต่ตึกเบิร์จคาลิฟาที่ความสูงห้าร้อยเมตร กระโดดจากเครื่องบิน ปีนผาด้วยมือเปล่า ฯลฯ ในสารพัดหนังจากยุคหลังๆ ของเขา ก็คงพออนุมานได้ว่า ครูซชอบใจเรื่องราวพวกนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว “ผมขลุกอยู่กับพวกนักบินอยู่เก้าเดือน และชอบบินเครื่อง F-14 มากๆ” ครูซในวัย 24 กล่าว “ที่จริง ผมก็ไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของอาวุธสงครามอะไรหรอกนะ แต่ชอบบินบนเครื่องบินมากๆ ที่ซึ่งนักบินขึ้นไปเสี่ยงชีวิตตัวเองทุกครั้ง”

“ลองคุณได้ขึ้นบินเครื่อง F-14 สักครั้ง ก็จะพบว่ามันเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลย มันทำคุณพรึงเพริดสุดขีด นักบินเหล่านี้ขึ้นบินทุกวันซึ่งผมเข้าใจได้เลยว่าทำไมเขาถึงได้ชอบบินนัก การขึ้นบินนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเปี่ยมไปด้วยห้วงอารมณ์ แต่พอหลังจากที่ผมได้ร่วมแสดงใน Top Gun ผมก็ไม่อยากทำหนังที่ว่าด้วยคนกระหายสงครามอีกแล้ว แต่อยากเข้าใจคนเหล่านี้มากกว่า อะไรทำให้พวกเขาต้องออกบิน ตัวละครของผมมันเป็นแบบไหน มาเวอริกอยากบินใช่หรือเปล่า”

นั่นจึงเป็นที่มาของเจ้าหนุ่มมาเวอริกจากการแสดงของครูซ ซึ่งในเวลาต่อมาถูกจับไปแปลงโฉมจากหนุ่มผมยาวหน้าตาชวนฝันเป็นนายทหารอเมริกัน (ที่ชวนฝันอีกเหมือนกัน) บรักไฮเมอร์บอกว่า “ทอมมาหาพวกเราที่ออฟฟิศ โทนียื่นหนังสือรวมภาพถ่ายของ บรูซ เวเบอร์ (ช่างภาพชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงจากการถ่ายแบบให้แบรนด์ยักษ์หลายแบรนด์) ที่เพียบไปด้วยรูปหนุ่มหล่อ เราพลิกดูรูปกันทีละหน้าๆ โทนีบอกว่า ‘ผมอยากให้คุณดูเหมือนคนพวกนี้แหละ ทอม’ นั่นคือชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตขาว หน้าตาหล่อเหลาหมดจด อะไรแบบนั้น”

ดังที่กล่าวไปเมื่อย่อหน้าแรกๆ ว่า ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ระดับกลางๆ ไม่ดีเด่นแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลวร้าย และที่ถูกพูดถึงอย่างมากคือบรรดาฉากจำทั้งหลายทั้งปวง ทั้งฉากที่มาเวอริกบึ่งมอร์เตอร์ไซค์ท่ามกลางแสงอุ่นของอาทิตย์ยามเย็น ขนานคู่ไปกับเครื่องบินที่กำลังเทียบขึ้นน่านฟ้า ฉากขับเครื่องบินอันแสนระทึก ไปจนถึงฉากแข่งวอลเลย์บอลที่ไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนังนักนอกจากโชว์เรือนร่างกำยำและผิวสีแทนของนักแสดงหนุ่มๆ หากแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันกลายเป็นหนึ่งในฉากที่ตราตรึงและเข้าไปนั่งอยู่ในใจคนดูเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงบรรยากาศความ ‘แมนๆ’ ระหว่างเพื่อนชายที่แฝงฝังอยู่ในแทบทุกฉาก ก็ยังผลให้ Top Gun ถูกยกไปพูดถึงในสื่อกระแสหลักต่างๆ รวมทั้ง Sleep with Me (1994) หนังคอเมดี-ดรามาที่มีตัวละครหนึ่ง (รับบทโดย เควนติน ทารันติโน) พูดถึงบรรยากาศความ ‘แมนๆ’ ที่ปรากฏใน Top Gun ด้วย

นอกจากที่ตัวหนังจะประสบความสำเร็จถล่มทลาย มันยังส่งอิทธิพลโดยตรงต่อกองทัพนาวีสหรัฐฯ ที่บอกว่า หลังจากหนังออกฉายได้ไม่นาน มีคนหนุ่มแห่มาสมัครเป็นนักบินเพิ่มขึ้นราว 500 เปอร์เซ็นต์ (!!!) เสื้อแจ็กเกตจั๊มเอว (Bomber jacket) กับแว่นกันแดดเรย์แบนที่ตัวละครมาเวอริกสวมแทบทั้งเรื่องกอดเอายอดขายที่พุ่งทะลุเพดานกว่าเดิมไป 40 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่นักแสดงนำอย่างครูซนั้นกลายเป็นนักแสดงชายแถวหน้าของฮอลลีวูดแทบจะในทันที

“เรื่องคือว่า พอคุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนังสักเรื่อง ใช้เวลาสิบเดือนโม่หนังขึ้นมา ผลมันจะออกมาเป็นอย่างไรนั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าคุณผ่านอะไรมาบ้างระหว่างการทำงาน” เขาบอก “เวลาผมเลือกรับบท ผมไม่ได้เลือกว่ามันจะออกมาดังหรือเปล่า แต่ดูว่าผมจะได้อะไรจากมันบ้าง มีสิ่งไหนให้เรียนรู้ในฐานะนักแสดง และนี่แหละที่ท้าทายผมเหลือเกิน หนังที่ผมเลือกแสดงแต่ละเรื่องมันมีความเฉพาะตัวมาก รวมๆ แล้ว คือประสบการณ์ที่ผมได้รับมานั้นมันสุดยอดเลยจริงๆ”

ไม่แน่ใจว่า Top Gun: Maverick จะสร้างตำนานได้แบบเดียวกับภาคก่อนหรือไม่ แต่หากวัดจากกระแสตอบรับอันอบอุ่นจากเหล่านักวิจารณ์แล้ว ทิศทางของมาเวอริกกับเหล่านักบินหนุ่มคงยังรุ่งโรจน์และสร้างตำนานของตัวเองในที่สุด

Tags: ,