ดูเหมือนปี 2023 จะเป็นปีแห่งการกลับมาของ จอช ฮาร์ตเนตต์ (Josh Hartnett) หลังเขาปรากฏตัวได้อย่างน่าจดจำในบท เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ นักฟิสิกส์เจ้าของรางวัลโนเบลจาก Oppenheimer (2023) ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) รวมถึงซีรีส์ฝันร้ายแห่งยุคสมัยอย่าง Black Mirror ซีซันที่หก ที่เพิ่งออกฉายทางเน็ตฟลิกซ์ช่วงกลางปีที่ผ่านมา

ยากจะเชื่อว่า หนึ่งในนักแสดงที่ถือเป็น ‘ลูกรัก’ ของอุตสาหกรรมฮอลลีวูดอย่างเขา วันหนึ่งจะตัดสินใจห่างหายไปจากจอภาพยนตร์ เพราะหากเราหมุนเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปยังปลายยุค 90s แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่เห็น จอช ฮาร์ตเนตต์ บนโปสเตอร์หนัง โฆษณา ไล่เรื่อยไปจนถึงนิตยสาร และหนังสือพิมพ์

แต่ทว่าในความรุ่งโรจน์นั้น ฮาร์ตเนตต์กลับค่อยๆ ห่างหายจากหน้าสื่อไปด้วยการรับงานน้อยลง หรือไม่ก็รับแสดงในหนังฟอร์มเล็กหาดูได้ยาก ตลอดจนเลือกรับเป็นบทบาทสมทบ จนชื่อแทบไม่ไปโผล่ที่โปสเตอร์หรือตัวอย่างหนัง

“ผมว่าตอนนี้นักแสดงถูกคาดหวังให้วางตัวอย่างถูกควรมากกว่าเมื่อก่อนด้วยละ” ฮาร์ตเนตต์เล่าถึงการกลับมาใน Oppenheimer และ Black Mirror “ไม่ก็รู้ตัวว่าต่อหน้าสาธารณะพวกเขาคือใคร ต้องทำตัวแบบไหน แต่ผมไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเก่งเลย ยิ่งกับการโปรโมตหนัง บอกได้เลยว่าไม่มีใครที่ไหนพูดหรอกว่าผมทำเรื่องนี้เก่ง ผมไม่ไหวกับเรื่องพวกภาพลักษณ์อะไรนี่เลย

“จำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมอยู่บนปกนิตยสารทุกหัว แล้วออกไปไหนมาไหนไม่ได้เลยสักนิด ไม่ชอบตัวตนของตัวเอง แล้วก็โดดเดี่ยว ไม่วางใจใครเอาเลย” เขาเล่า

“การเป็นคนดังมันคือการทำงานเต็มเวลา เพราะทุกครั้งที่คุณออกจากบ้าน โดยเฉพาะในยุคนั้นด้วยนะ คุณก็ถูกเดินตามแล้ว ผมเคยโดนปาปารัซซี่เกาะแจ เคยมีคนแปลกหน้าพุ่งเข้ามาหา เราเลยไม่เคยได้เป็นตัวของตัวเองเต็มที่สักที และไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรืออะไรต่อมิอะไรที่คนปกติเขามีกัน แน่นอนว่าก็มีนักแสดงหลายคนที่หาสมดุลให้ตัวเองได้ แต่มันยากไปสำหรับผม ผมเลยต้องออกมา”

อย่างไรก็ตาม Oppenheimer ไม่ใช่การโคจรมาเจอกันครั้งแรกระหว่างโนแลนกับฮาร์ตเนตต์ ก่อนหน้านี้ทั้งสองเคยเกือบได้ร่วมงานกันมาแล้วจากไตรภาค The Dark Knight (2005-2012) เวลานั้นฮาร์ตเนตต์ยังเป็นนักแสดงเบอร์ใหญ่ชื่อดังมากที่สุดคนหนึ่งของฮอลลีวูด และกำลังปวดประสาทเต็มทีกับการที่สตูดิโอพยายามผลักให้เขาไปแสดงในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทำเงิน 

ทว่าฮาร์ตเนตต์ผู้กำลังเหนื่อยหน่ายกับชื่อเสียงตระหนักดีว่า การเอาตัวเองไปอยู่ในหนังซึ่งจะถล่มบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างหนังยอดมนุษย์นั้น มีแต่จะทำให้เขาหาความสงบในชีวิตยากกว่าเดิม “เรื่องคือว่า สตูดิโอวอร์เนอร์สบราเธอร์ส อยากให้ผมแสดงหนังซูเปอร์ฮีโร่สักเรื่อง และตอนนั้น คริสก็กำลังปั้นหนังฮีโร่ของตัวเองอยู่เหมือนกัน ผมเลยไปเจอเขา และคุยกับเขาเรื่องนี้ 

“ว่าไปแล้ว แบทแมนของเขาไม่ได้ดึงดูดอะไรผมในเวลานั้นเลย ผมมองหาอย่างอื่นอยู่ แล้วส่วนตัว ผมสนใจหนังที่น้องชายของคริสเป็นคนเขียนบทอย่าง The Prestige (2006) มากกว่า ผมชอบคริสในฐานะคนทำหนังนะ และอยากร่วมงานกับเขามากจริงๆ” เขาบอก “เรื่องดีคือ คนทำหนังเก่งๆ มักไม่ค่อยไปไหนไกลเท่าไร เลยหวังว่าในอนาคคตจะได้ร่วมงานกับเขาสักที แล้วดูสิ ตอนนี้เราก็ได้ร่วมงานจริงๆ ผมดีใจมากๆ เลยที่เขาเองก็ยังอยากร่วมงานกับผม”

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ฮาร์ตเนตต์จะเข็ดขยาดกับชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเป็นนักแสดงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่หนังเรื่องแรกๆ โดย Halloween H20: 20 Years Later (1998) คือหนังเรื่องแรกสุดของฮาร์ตเนตต์ที่ทำเงินไปทั้งสิ้น 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เขารับบทเป็น จอห์น ลูกชายของ เจมี ลี เคอร์ติส ที่ต้องตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดจากฆาตกรอำมหิตที่ออกตามล่าเธอ แต่ที่ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำคือ The Faculty (1998) หนังไซ-ไฟเขย่าขวัญ ว่าด้วยกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องรับมือกับการมาเยือนของมนุษย์ต่างดาวที่หวังล้างบางมนุษยชาติให้สิ้น!

เรื่องราวในเรื่องคือ เคซีย์ (แสดงโดย เอไลจาห์ วูด) หนุ่มมัธยมปลายจอมแหยของโรงเรียนพบว่าพฤติกรรมของคนรอบตัวเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะทุกคนต่างดูอำมหิตและไม่เป็นตัวของตัวเอง กระทั่งเมื่อเขาสืบค้นความจริงเจอว่า ทุกคนล้วนถูกมนุษย์ต่างดาวที่เป็นปรสิตเข้าสวมร่าง และสิ่งเดียวที่ปรสิตเหล่านี้แพ้ทาง คือผงยาเสพติดของ ซีค (แสดงโดย ฮาร์ตเนตต์ – ที่ถูกชื่นชมว่ายังอุตส่าห์ดูดีได้ในทรงผมแบบนั้น) นักเรียนหนุ่มอัจฉริยะหัวขบถที่ขายยาเหล่านี้ให้เพื่อนนักเรียนอยู่เป็นประจำ และขณะที่เพื่อนรอบตัวทุกคนค่อยๆ ถูกปริสิตเข้ายึดร่างนั้น พวกเขากับกลุ่มเพื่อนที่ยังเหลือรอดชีวิตไม่กี่คน ก็จำเป็นต้องเกาะกลุ่มกันเข้าไว้ และหา ‘ตัวแม่’ ของฝั่งปรสิตให้เจอเพื่อจะได้จัดการสังหารทิ้งตั้งแต่ต้นตอ

และแม้พล็อตหนังจะฟังดูเชยบรม (โดยเฉพาะหากมองจากสายตาของยุคนี้) แต่มันก็เป็นหนังที่รวมเอา ‘ดาวรุ่ง’ ไว้เยอะมากที่สุดเรื่องหนึ่ง และในเวลาต่อมา นักแสดงเหล่านั้นก็แจ้งเกิดในฮอลลีวูดกันถ้วนหน้า ทั้ง เอไลจาห์ วูด (Elijah Wood) ที่รับบทนำ, เคลีย ดูวัลล์ (Clea DuVall), จอร์ดานา บรูวสเตอร์ (Jordana Brewster), ซัลมา ฮาเย็ค (Salma Hayek) และเฟมเก เจนส์เซน (Famke Janssen) ส่วนตัวหนังก็ประสบความสำเร็จมหาศาล สามารถส่งฮาร์ตเนตต์วัย 21 ปี เข้าไปนั่งในใจคนดูหลายคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนัง นับเป็นการปักธงฮาร์ตเนตต์ในฐานะนักแสดงดาวรุ่งที่บ็อกซ์บัสเตอร์รักไปโดยปริยาย

ปีเดียวกันนั้น ฮาร์ตเนตต์ยังไปปรากฏตัวใน The Virgin Suicides (1999) หนังยาวเรื่องแรกของ โซเฟีย คอปโปลา (โซเฟีย คอปโปลา) ดัดแปลงจากวรรณกรรมชื่อเดียวกันของ เจฟฟรีย์ ยูจินนีดีส (Jeffrey Eugenides) เล่าเรื่องผ่านสายตาของเด็กชายที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของครอบครัวห้าสาวพี่น้องชนชั้นกลางในดีทรอยต์ ความสัมพันธ์ที่พวกเธอมีต่อพี่น้องของตัวเอง ความสัมพันธ์พ่อแม่และคนรอบตัว รวมทั้ง ทริป (ฮาร์ตเนตต์) หนุ่มรูปหล่อที่เข้ามาติดพัน ลักซ์ (คริสเท็น ดันส์ต) หนึ่งในพี่น้องที่มีลักษณะหัวขบถที่สุด และนับเป็นหนึ่งในตัวเร่งสำคัญที่ทำให้ลักซ์และพี่น้องของเธอผลักชะตาชีวิตตัวเองไปสู่โศกนาฏกรรม

“ผมมาเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยวิธีการแบบคนในวงการฮอลลีวูดทั่วไปนี่แหละ คือออดิชันมา” ฮาร์ตเนตต์ให้สัมภาษณ์ “ทีมงานแคสต์ผมและผมก็ไม่ได้เจอใครเลยจนไปเข้ากองถ่าย แล้วสมัยนั้นผมค่อนข้างทำตัวจริงจัง ชอบคิดไปว่าตัวเองเอาเรื่องเอาราวกว่าใครเขา (หัวเราะ) เลยอยากไปอ่านตัววรรณกรรมก่อนไปถ่ายจริง เตรียมตัวให้ดีๆ แต่พอไปถึงกองถ่ายก็พบว่า ทุกอย่างที่นั่นกันเองและเป็นมิตรที่สุดเลย ถ้าจำไม่ผิดเหมือนผมอายุครบ 20 ปี ตอนถ่ายทำหนังด้วยนะ”

ตัวละครทริปถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ความเป็นชายยุคใหม่ของคนอเมริกันยุค 70s กล่าวคือขณะที่เรื่องราวเล่าผ่านเลนส์ของกลุ่มเด็กชายข้างบ้าน ผู้เฝ้ามองกลุ่มเด็กสาววัยกำลังโตผู้อ่อนโยน ทริปเป็นตัวละครเดียวที่ผิดแผกไปจากคนอื่น และเขาก็เป็นเสมือน ‘เป้าหมาย’ ที่เด็กชายอยากไปให้ถึง ไม่ว่าจะเป็นการเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เจ้าเสน่ห์และขบถ ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกับเหล้า ยา และผู้หญิง ตลอดจนการได้เข้าไปในบ้านของห้าพี่น้อง ซึ่งคนอย่างพวกเขาไม่มีวันได้ทำเช่นนั้น

อย่างไรก็ดี ความจริงจังและตั้งอกตั้งใจก็ดูจะติดตัวและเป็นสัญลักษณ์ของฮาร์ตเนตต์ไปโดยปริยาย และคนเดียวที่ดูจะไม่พอใจคือ ไมเคิล เบย์ (Michael Bay) พระบิดาแห่งหนังระเบิดภูเขาเผากระท่อม เมื่อเขากำกับ Pearl Harbor (2001) และพบว่า ฮาร์ตเนตต์ที่เบย์ถือเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนนั้นแทบไม่ยิ้มเอาเสียเลย จนเมื่อเขาจับภาพฮาร์ตเนตต์ยิ้มระหว่างถ่ายทำได้ เบย์ถึงขั้นออกปากว่า “ใครก็ได้เอาไอ้รอยยิ้มนั่นไปให้ ILM (สตูดิโอผู้รังสรรค์งาน CGI ให้ฮอลลีวูด) หน่อยสิ แล้วให้เขาทำซ้ำออกมาแปะใส่หนังที”

และก็ Pearl Harbor (2001) เรื่องนี้เอง ที่กลายเป็นหนังที่ส่งให้ฮาร์ตเนตต์กลายเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าเต็มตัว เมื่อมันกวาดรายได้ไปอย่างบ้าคลั่งที่ 450 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สร้างปรากฏการณ์ให้คนแห่ไปดูเรื่องรักสามเส้าระหว่างสองชายหนุ่มกับหนึ่งหญิงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ราฟ (แสดงโดย เบน แอฟเฟล็ค) และแดนนี (แสดงโดย ฮาร์ตเนตต์) เพื่อนรักที่สมัครเข้าร่วมเป็นนักบินประจำกองทัพสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลก ระหว่างนั้นทั้งคู่เจอกับ เอเวอลีน (แสดงโดย เคต เบคคินเซล) นางพยาบาลประจำกองทัพที่อ่าวเพิร์ลซึ่งพวกเขาประจำการ และเป็นราฟที่ได้ใจเธอมาครอง 

ทว่าโศกนาฏกรรมก็เกิดขึ้น เมื่อราฟออกรบในสมรภูมิเพียงลำพัง และมีข่าวว่าเขาถูกศัตรูยิงเครื่องบินตก จนกองทัพเข้าใจว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งแดนนีและเอเวอลีนตกอยู่ในสภาวะเสียใจสุดขีด และพร้อมกันนี้ ทั้งคู่ก็ค่อยๆ สานสัมพันธ์กันอย่างเงียบเชียบ เพื่อจะพบว่าไม่นานหลังจากนั้น ราฟซึ่งยังมีชีวิตอยู่ดีก็หวนกลับมายังอ่าวเพิร์ล เรื่องราวของทั้งสามคนจึงเครียดเขม็ง คู่ขนานกันไปกับสถานการณ์การเมืองเมื่อญี่ปุ่นบุกโจมตีอ่าวเพิร์ลในปลายปีนั้น

Pearl Harbor ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ หากแต่มันยังสร้างภาพจำให้แก่นักแสดงหลายคน รวมทั้งเพลงประกอบ There You’ll Be โดย เฟธ ฮิลล์ (Faith Hill) และสกอร์ภาพยนตร์ที่หลายคนน่าจะคุ้นหูอย่าง Tennessee ของ ฮานส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ทว่าอีกหลายปีหลังภาพยนตร์ออกฉาย นักแสดงจะออกมาพูดถึงสิ่งที่ไม่ชวนสบอารมณ์ซึ่งเกิดขึ้นในกองถ่าย โดยเฉพาะกับ เคต เบคคินเซล (Kate Beckinsale) ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า เบย์สั่งให้เธอไปออกกำลังกายเพื่อให้ร่างดูเล็กลง 

“บอกเลยว่านี่ไม่ทำให้ฉันรู้สึกดีสักนิด” เธอว่า “แต่ก็นะ เบน แอฟเฟล็ค ซึ่งเคยแสดงหนังกับเบย์มาแล้วใน Armageddon (1998) บอกฉันว่า ‘ผมก็โดนเหมือนกัน เบย์ให้ผมไปทำฟันใหม่’ ซึ่งฟังแล้วฉันรู้สึกว่า ก็ยังดีวะ อย่างน้อยฉันก็ยังมีฟันจริงๆ อยู่” (แถมหลังจากนั้น ทั้งแอฟเฟล็คและเบคคินเซลยังถูกโหวตให้เข้าชิง ‘คู่รักยอดแย่ในโลกภาพยนตร์’ จากเวทีราซซีอีกต่างหาก)

สำหรับฮาร์ตเนตต์ เขาบอกแค่ว่า “ผมไม่อยากถูกแปะป้ายว่าเป็นนักแสดงที่ห่วยแตกที่สุดในโลก และพยายามหาคำตอบอยู่เสมอว่า ผมควรทำอะไรบ้างในฐานะนักแสดง เพราะผมแสดงหนังมาแค่ไม่กี่เรื่องก็ไปไกลทั่วโลกแล้ว มันก็กดดันอยู่ไม่น้อยเลย”

ปี 2001 ยังเป็นปีที่บ้าระห่ำของฮาร์ตเนตต์ เมื่อเขามีหนังสั้นออกฉายสามเรื่อง และหนังยาวอีกห้าเรื่อง โดยหนังที่เข้าฉายปลายปีคือ Black Hawk Down (2001) หนังสงครามของ ริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือสารคดีชื่อเดียวกันของผู้สื่อข่าว มาร์ค โบวเดน (Mark Bowden) เล่าถึงเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กของสหรัฐฯ ถูกกองกำลังโซมาเลียยิงตกในยุทธการที่โมกาดิชูปี 1993 นายทหารที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์นั้น จึงต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดท่ามกลางฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันกับที่ทหารจากกองทัพก็พยายามทำทุกทางเพื่อช่วยเพื่อนออกมาจากสมรภูมิให้ได้เช่นกัน

เวลานั้นเป็นช่วงที่ฮาร์ตเนตต์เริ่มวิ่งหนีหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ และมองหาหนังที่ไม่ ‘ป็อปคอร์น’ มากนัก (โดยเฉพาะหากเทียบกับเรื่องก่อนๆ ของเขา) จึงไม่มีอะไรเหมาะไปกว่าการมารับบทเป็น สิบโท แม็ตต์ เอเวอร์สแมนน์ นายทหารที่รับหน้าที่บุกเข้าไปยังใจกลางสมรภูมิ เพื่อช่วยเหลือเพื่อนที่ยังรอดชีวิตกลับมาให้ได้ และตลอดทั้งเรื่องคือการไล่ตามภารกิจฝ่าดงกระสุนของเอเวอร์สแมนน์ กับการที่ตัวละครตั้งคำถามถึงความเป็น ความตายและความจำเป็นของสหรัฐฯ ในสงครามของดินแดนอื่น 

ฮาร์ตเนตต์เป็นนักแสดงอเมริกันเพียงไม่กี่คนในหนัง เพราะความที่กองถ่ายหอบไปถ่ายทำกันถึงโมร็อกโก ทั้งยังเล่าเรื่องราวของนายทหารและผู้คนมากหน้าหลายตากว่าสิบชีวิต ริดลีย์ สก็อตต์จึงตั้งใจจะประหยัดงบประมาณด้วยการไปจ้างนักแสดงชาวอังกฤษ ซึ่งค่าตัวถูกกว่านักแสดงอเมริกันมาก ให้มารับบทเป็นนายทหารสหรัฐฯ เราจึงได้เห็นนักแสดง (ที่ตอนนั้นอาจยังไม่ดังนัก) หน้าตาชวนคุ้นอย่าง ยวน แม็กเกรเกอร์ (Ewan McGregor ), ยวน เบร็มเมอร์ (Ewen Bremner) ผู้เคยกอดคอร่วมงานกันมาแล้วใน Trainspotting (1996), ทอม ฮาร์ดี (Tom Hardy) ซึ่งตอนนี้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวูดไปแล้ว, ออร์แแลนโด บลูม (Orlando Bloom) ที่ปีเดียวกันนั้น เขาปรากฏตัวในมหากาพย์ The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring, (2001), อีริก บานา (Eric Bana) ที่เวียนว่ายในหนังสัญชาติออสเตรเลียมาพักใหญ่ Black Hawk Down ถือเป็นหนังสัญชาติสหรัฐฯ เรื่องแรกของเขา และนิโคไล คอสเตอร์-วัลดาอู (Nikolaj Coster-Waldau) ที่สิบปีให้หลัง เขาปรากฏตัวอย่างน่าจดจำในบท เจมี แลนนิสเตอร์ แห่งซีรีส์ Game of Thrones

และแม้ 2023 จะดูเป็นอีกปีที่น่าจดจำของฮาร์ตเนตต์ ทว่าดูเหมือนเขาจะยังไม่เร่งร้อนในการกลับมารับแสดงในหนังฟอร์มใหญ่อีกหน โปรเจกต์ที่น่าจับตาลำดับถัดไปของเขา คือ The Long Home ผลงานกำกับของ เจมส์ ฟรันโก (James Franco) ว่าด้วยผู้รับเหมาก่อสร้างที่ถูกว่าจ้างให้ไปสร้างบาร์ในรัฐเทนเนสซี โดยชายที่สังหารพ่อของเขามาก่อน

 

Tags: , , , , , , , ,