ในช่วงเดือนกันยายนของปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับปลายฤดูร้อนของซีกโลกเหนือ The Momentum มีโอกาสบินลัดฟ้าไปไกลถึงรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับ California Milk Advisory Board (CMAB) เพื่อค้นหาคำตอบถึงสาเหตุที่ว่า ทำไม ‘ชีส’ (Cheese) ที่ดีต้องมาจากรัฐแห่งนี้

คำตอบได้รับกลับมานั้นเป็นเพราะ ความเอาใจใส่ของเหล่าเกษตรกร ตลอดจนสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม การนำเทคโนโลยีเข้ามาทำการปศุสัตว์ รวมถึง ‘ความเป็นอเมริกา’ ที่เปิดโอกาสให้ได้ทดลองความคิดสร้างสรรค์ลงไปในผลิตภัณฑ์นม ทำให้ ‘ชีส’ ที่นี่หลากหลายของรสชาติมากกว่าทวีปอื่นๆ ทั่วโลก

ไม่นานมานี้ The Momentum มีโอกาสกลับไปร่วมโต๊ะกับ Real California Milk อีกครั้งในกิจกรรมทานอาหารเย็น เพื่อเปิดตัว ‘Vintage Cheese’ ที่ทางบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ถือสิทธินำเข้าเพียงเจ้าเดียวในตลาดประเทศไทย

คำถามต่อมาคือ แล้วทำไมต้องเป็น Vintage Cheese

นั่นเป็นเพราะ Vintage Cheese ถือเป็นผู้ผลิตชีส (Cheese Maker) แบบทำมือในถังเปิด ที่ใช้น้ำนมภายในรัฐแคลิฟอร์เนีย ทำให้สามารถตรวจสอบคุณภาพได้ตลอดทุกขั้นตอนของการผลิต เพื่อให้มั่นใจว่าชีสที่ได้นั้นมีคุณภาพ โดยผู้ผลิตชีสรายนี้จะให้ความสำคัญกับสูตรชีสแบบดั้งเดิมด้วยกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์แบบช้า (Slow-Pasteurization Process) และผสานเข้ากับวิธีการสมัยใหม่เพื่อให้ได้ชีสที่หลากหลายรสชาติ

ดินเนอร์พิเศษนี้ถูกจัดขึ้นที่ร้านระดับมิชลินสตาร์อย่าง Cadence by Dan Bark ที่ซอยปรีดี พนมยงค์ 25 บรรยากาศภายในร้านเป็นไปอย่างอบอุ่น คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่คุ้นเคย และกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยออกมาปะทะจมูกจากก้นครัว

หลังจากนั้นไม่นานนัก แดน บาร์ก (Dan Bark) เชฟสัญชาติเกาหลี ก็ออกมาต้อนรับพวกเราด้วยความเป็นกันเอง โดยเขายังบอกกับเราว่า เมนูที่จะเสิร์ฟเราได้ทานนั้นใช้ ‘Vintage Cheese’ เป็นองค์ประกอบหลักในการรังสรรค์อาหารทั้ง 7 เมนู

เมนูแรกเป็น ‘Real California Vintage Cheese Platter’ หรือ ‘ชีสบอร์ด’ ที่เลือกสรรชีสทั้ง 6 รสชาติ ได้แก่ ฮาลาเปญโญ เชดดาร์ (Jalapeno Cheddar), การ์ลิก แจ็ก (Garlic Jack), ครีมมี่ แจ็ก (Creamy Jack), คาแบร์เน เชดดาร์ (Cabernet Cheddar), เปปเปอร์ แจ็ก (Pepper Jack) และสโมก แจ็ก (Smoked Jack) ที่ถูกเสิร์ฟขนาดเท่าลูกเต๋าพอดีคำ พร้อมกับผลไม้รสเปรี้ยวหวานอย่างองุ่น เสริมกับไวน์แดงที่ดื่มเคียงคู่กันไป ช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยให้ทำงาน

หากให้อธิบายรสชาติของชีสแต่ละตัว คงต้องบอกว่า 

– ‘ฮาลาเปญโญ เชดดาร์’ เป็นชีสที่ให้เนื้อสัมผัสที่นุ่มละมุน กลมกล่อม ตัดกับความเผ็ดร้อนเล็กน้อยของพริกฮาลาเปญโญ

– ‘การ์ลิก แจ็ก’ เป็นชีสที่มีความนุ่มละมุนผสานเข้ากับกลิ่นกระเทียมที่เข้มข้น มีรสชาติเค็มและเผ็ดเล็กน้อยตามที่ควรจะเป็น

– ‘ครีมมี่ แจ็ก’ เป็นชีสที่ให้รสชาติชีสแบบตะโกนมากที่สุด มีความ ‘ครีม’ สมชื่อ และให้รสชาติหวานละมุน

– ‘คาแบร์เน เชดดาร์’ เป็นชีสที่มีส่วนผสมของไวน์คาแบร์เน จึงทำให้ตัวชีสมีกลิ่นของผลไม้เล็กน้อย แต่ยังคงไว้ซึ่งรสชาติที่เข้มข้นของชีสได้เป็นอย่างดี

– ‘เปปเปอร์ แจ็ก’ เป็นชีสที่มีรสชาติคล้ายกับครีมมี่ แจ็ก แต่ซับซ้อนมากกว่า เนื่องด้วยมีส่วนผสมของพริกฮาลาเปญโญ จึงทำให้ชีสมีรสชาติเผ็ดและเค็มอ่อนๆ 

– ‘สโมก แจ็ก’ เป็นชีสที่มีกลิ่นรมควันที่ลอยเด่นออกมาทันทีที่สัมผัส ขณะที่รสชาติคล้ายกับครีมมี่ แจ็กที่มีความนุ่มละมุน

ต่อกันด้วยเมนูที่สองอย่าง ‘Jalapeno Cheddar Biscuit’ บิสกิตขนาดเกือบเท่ากับลูกกอล์ฟที่เสิร์ฟมาพร้อมกับ ‘ฮาลาเปญโญ เชดดาร์’ ที่ถูกทำออกมาคล้ายกับเนยสดไว้กินคู่กัน

ไม่รอช้า อาหารจานที่สามที่เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยก็ถูกเสิร์ฟออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน นั่นคือ ‘ซุปมะเขือเทศเย็น’ (Gazpacho) ที่ถูกทำออกมาเป็นซอร์เบท (Sorbet) และมีเนื้อปูยักษ์อลาสก้าเป็นโปรตีนหลัก ซึ่งรสชาติของอาหารจานนี้จะให้ความรู้สึกสดชื่น เย็นๆ และกลมกล่อมจากรสชาติของ ‘การ์ลิก แจ็ก’ ที่อยู่ในปาก

อาหารเรียกน้ำย่อยจานที่สองที่เสิร์ฟตามมาคือ ‘ฟัวกรา’ (Foie gras) หรือตับห่านที่ราดด้วยซอสที่ทำมาจาก ‘ครีมมี่ แจ็ก’ ราดอยู่ด้านบน พร้อมกับเนื้อปลาช่อนทะเล (Cobia) โดยรวมจานนี้ให้รสชาติที่หวานละมุน ถือเป็นเมนูตัวปิดที่ดีก่อนจะไปลิ้มรสกับอาหารจานหลัก

มาถึงคราวของอาหารจานที่ห้าที่เป็นอาหารจานหลัก โดยเมนูแรกที่เชฟแดนเลือกเสิร์ฟให้เราคือ ‘รีซอตโต้’ ข้าวสไตล์อิตาเลียนที่มีความเข้มข้นและสัมผัสที่นุ่มจากการผสมระหว่างน้ำซุปและชีส โดยความพิเศษของจานนี้ เชฟแดนได้เลือก ‘คาแบร์เน เชดดาร์’ มาเป็นส่วนผสมหลัก ทำให้ได้สีและกลิ่นของไวน์ติดมากับรีซอตโต้ อีกทั้งยังได้เนื้อสัมผัสที่หนึบลิ้นจากเห็ดไมตาเกะ (Maitake) ที่เสิร์ฟมาคู่กัน

อาหารจานหลักจานสุดท้ายที่เชฟชาวเกาหลีคนนี้เลือกนำเสนอนั่นคือ ‘สเต็กปลากะพง’ ที่เนื้อสัมผัสมีความนุ่มพอดี ประกอบกับหนังปลาที่กรอบเล็กน้อยช่วยเสริมสัมผัสได้เป็นอย่างดี เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวโพดบดผสมกับ ‘เปปเปอร์ แจ็ก’ ทานคู่กับเนื้อสเต๊ก

.และแล้วดินเนอร์สุดพิเศษก็ถูกปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่าง ‘พายฟักทอง’ ที่มีส่วนผสมของ ‘สโมก แจ็ก’ ทำให้ได้รสชาติที่หวาน ละมุน มีความครีมมี่ และติดกลิ่นรมควันตามสไตล์ของชีสชนิดนี้เล็กน้อย เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมรสวานิลลาช่วยเพิ่มความเย็นให้กับเมนูจานสุดท้ายได้อย่างลงตัว

โดยรวมของมื้อดินเนอร์ในครั้งนี้ เชฟแดนได้ดึงศักยภาพของ ‘Vintage Cheese ออกมาอย่างเต็มที่ โดยแสดงให้เห็นว่าชีสสามารถนำไปใช้ในเมนูอาหารได้หลากหลาย และผสานเข้ากับฝีมือระดับมิชลินสตาร์ ทำให้อาหารในแต่ละจานที่เสิร์ฟในวันนี้มีรสชาติอร่อยและลงตัว

ทั้งนี้ หากผู้อ่านที่สนใจอยากลิ้มรสประสบการณ์ของ Vintage Cheese ที่ส่งตรงมาจากรัฐแคลิฟอร์เนียที่การันตีได้ถึงคุณภาพ สามารถหาซื้อได้แล้วตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ ทั้ง Tops, Gourmet Market, Big C Supercenter, Lotus และ Go Wholesale



Tags: , , , , , ,