ถ้าใครพอคุ้นเคยกับวิชาเกาหลีศึกษาอยู่บ้าง น่าจะรู้ว่า Hongdae (ฮงแด) เป็นชื่อย่านช้อปปิ้งแห่งหนึ่งในเกาหลี ที่มีครบทั้งสินค้าแฟชั่นและร้านกาแฟชิคๆ ที่นักท่องเที่ยวต้องแวะไปเช็กอินกันเป็นประจำ
ส่วนคำว่า Gamjatang (คัมจาทัง) นั้นไม่ได้เป็นชื่อย่าน แต่เป็นชื่อของอาหารเกาหลีที่รวมเอาความอร่อยจากน้ำต้มซุปกระดูกหมูและนานาผัก เติมความเผ็ดร้อนด้วยพริกแกงโกชูจัง หรืออธิบายง่ายๆ ก็คือ เล้งแซ่บในแบบเกาหลีนั่นเอง
ชื่อ Hongdae Gamjatang ของร้านอาหารเกาหลีในเทอร์มินอล 21 ร้านนี้จึงเป็นตัวแทนของเมนูอาหารในร้าน ที่มีทั้งอาหารเกาหลีที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วหลายรายการ ขณะเดียวกันก็มีเมนูที่ลูกค้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน อย่างคัมจาทัง แต่ลูกค้าที่เป็นคนเกาหลีเห็นเมนูนี้แล้วต้องสั่งแทบทุกโต๊ะ เพราะไม่ใช่เมนูที่จะเจอได้ในร้านอาหารเกาหลีในไทยทุกร้าน
และที่สำคัญ ไม่ใช่ทุกร้านที่มีเมนูนี้จะทำออกมาได้รสชาติแบบเดียวกับต้นตำรับ ถึงขนาดที่ลูกค้าเกาหลีออกปากว่ารสชาติแบบเดียวกับที่บ้านเกิด
หัวใจของความอร่อยที่ถอดแบบมาจากแดนโสมขาวเริ่มต้นจากความชอบในเรื่องอาหารของ ไมเคิล จอง นักธุรกิจชาวเกาหลี ที่ย้ายมาอยู่เมืองไทย เมื่อตัดสินใจว่าจะเปิดร้านอาหารที่นี่ เขาจึงตั้งใจว่าจะต้องทำอาหารที่เน้นรสชาติของความเป็นต้นตำรับให้ได้ ให้สมกับเป็นร้านอาหารเกาหลีในเทอร์มินอล 21 เพียงร้านเดียวที่เป็นของคนเกาหลีจริงๆ เพราะอยากให้ลูกค้าเชื้อชาติเดียวกับเขาได้กินอะไรที่อร่อยเหมือนอยู่บ้าน ส่วนลูกค้าชาวไทยและลูกค้าชาติอื่นก็จะได้เข้าถึงรสชาติแบบเกาหลีแท้ๆ ด้วย
เมนูที่ลูกค้าเกาหลีสั่งกันแทบทุกโต๊ะ แน่นอนว่าต้องเป็นคัมจาทัง ที่นำกระดูกหมูส่วนสันหลังไปต้มเป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง จนเนื้อที่ติดกระดูกเปื่อยและได้ความกลมกล่อมมาเป็นส่วนผสมหลักของน้ำซุป ส่วนที่เพิ่มเติมจากนั้นคือต้นหอม แครอท เห็ดเข็มทอง มันฝรั่ง งาบด และพริกแกงเกาหลี ที่ทำซุปมีรสเผ็ดอ่อนๆ ซดได้กำลังอร่อย เลาะเนื้อติดกระดูกกินก็เพลิน สมฉายาเล้งแซ่บสไตล์เกาหลี
เคล็ดลับที่อยู่ในรสชาติของคัมจาทังยังไม่หมดเท่านี้ เพราะถ้ากระดูกหมูคือพระเอกของเมนู นางเอกของหม้อก็คือใบงาขี้ม้อน ซึ่งมีกลิ่นและรสเฉพาะตัวที่ออกฉุนนิดๆ แต่เวลาซดซุปแต่ละครั้งทำให้ได้กลิ่นหอมในทุกคำด้วย และถ้าอยากถอดแบบวิธีกินเมนูนี้แบบคนเกาหลีจริงๆ แนะนำให้สั่งโซจูรสดั้งเดิมมาประกอบ แล้วจะต้องอุทานเป็นภาษาเกาหลีว่า มาชิสซอโย!
อีกเมนูที่เน้นรสจัดเช่นกัน แต่อร่อยคนละแบบก็คือ Maeun Galbi Jjim (แมอุน คัลบี จิม) ซึ่งนำเอาซี่โครงหมูมาตุ๋นจนเนื้อนิ่ม ส่วนกระดูกอ่อนก็กรุบกำลังดี ปรุงรสออกเผ็ดนิดหน่อยถ้าวัดตามระดับความเผ็ดของคนไทย แต่ก็แฝงไว้ด้วยรสหวานนิดๆ จานนี้เรียกว่าเผ็ดนำ หวานตาม แค่สั่งข้าวสวยร้อนๆ มากินคู่ ก็อิ่มอร่อยได้อย่างลงตัวแล้ว
อย่างที่บอกไว้แต่แรกว่า นอกจากคัมจาทังแล้ว ร้านนี้ยังมีเมนูอื่นๆ ที่นักกินชาวไทยคุ้นชื่อกันดี อย่างเช่น Bibambap หรือข้าวยำเกาหลี ที่ถ้าคิดอะไรไม่ออก สั่งเมนูนี้มาอย่างเดียวก็ได้ครบทั้งเนื้อ ไข่ ผัก และข้าว จบครบในชามหินใบเดียว, Tteokbokki (ต็อกโปกี) เมนูแก้หนาวของคนเกาหลีที่เด็ดตรงความหนุบหนึบของแป้งความเหนียว ซึ่งเข้ากับรสเผ็ดของโกชูจัง และ Kimbap ข้าวห่อสาหร่ายที่ทางร้านนำเข้าสาหร่ายจากเกาหลีโดยเฉพาะ เพื่อให้ได้สาหร่ายที่กรอบและหอม เสริมรสชาติให้กับไส้ของข้าวที่ประกอบไปด้วยผักนานาชนิดโดดเด่นยิ่งขึ้น
ข้อดีอีกอย่างของร้านนี้ที่อยากพูดถึง แต่เป็นข้อดีที่อยู่นอกเมนู คือผู้จัดการร้านที่เป็นคนเกาหลี แต่พูดภาษาไทยได้และรู้เรื่องอาหารดี เพราะโตมากับการช่วยงานแม่ในร้านอาหารเกาหลีที่เปิดมานาน ดังนั้น ถ้าใครมาที่ร้านนี้ แล้วอยากรู้อะไรเกี่ยวกับอาหารเกาหลีเพิ่มเติมสามารถคุยกับผู้จัดการร้านได้ เพราะหนุ่มคนนี้นี่ล่ะที่เป็นคนแนะนำว่า ถ้าจะกินคัมจาทังให้อร่อยที่สุดก็ต้องกินคู่กับโซจู ถึงจะครบสูตรแบบคนเกาหลีจริงๆ
Fact Box
Hongdae Gamjatang ตั้งอยู่ที่เทอร์มินอล 21 ชั้น 4
เปิดเวลา 10.00 – 22.00 น.
โทร. 09-3029-7837
Facebook: www.facebook.com/Hongdae-Gamjatang-1980027765616637