“ถ้ามี (แฟน) ขอคนที่ตรงข้ามพ่อเลยดีกว่า เห็นแม่แล้วสงสาร”

คำตอบของ ลียา-ลลียา เองตระกูล ลูกสาวของ ธัญญ่า-ธัญญาเรศ เองตระกูล ถูกถามถึงสเป็กแฟนในอนาคต ในรายการ 3 แซ่บ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2568 ชวนให้เราตั้งคำถามว่า

ทำไมบางคนเลือกคู่รักที่คล้ายพ่อแม่

ทำไมบางคนกลับเลือกคนที่ตรงข้าม

แล้วทำไมบางคนถึงไม่อยากแต่งงานเลย

คำถามเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่มีรากมาจากบทเรียนความรักครั้งแรกที่เราได้เรียนรู้จากบ้าน เพราะครอบครัวเปรียบเสมือนโรงเรียนเพศแห่งแรก (Gender Socialization) ที่เราซึมซับบทบาทเพศ ความสัมพันธ์ และแบบอย่างชีวิตคู่มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่ว่าจะในรูปแบบแรงบันดาลใจหรือความเจ็บปวด ล้วนส่งผลต่อการเลือกคู่รักและการสร้างครอบครัวในอนาคตทั้งสิ้น

Modeling vs. De-identification เมื่อบ้านกำหนดเส้นทางความรัก

งานวิจัย Parental Modeling and Deidentification in Romantic Relationships ระบุว่า เด็กมักเรียนรู้วิธีสร้างความสัมพันธ์จากพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูหลัก โดยการเลียนแบบ (Modeling) จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเห็นต้นแบบที่ดีและอยากสืบต่อแบบนั้น เช่น หากเด็กเติบโตมากับผู้ปกครองที่อบอุ่น ดูแลครอบครัวอย่างใส่ใจ เด็กมักมองหาคู่รักที่มีคุณสมบัติคล้ายกัน หรือหากเห็นผู้ปกครองทุ่มเทและเสียสละ เด็กอาจเฝ้าตามหาคู่รักที่มีความทุ่มเทและเอาใจใส่ในความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน

ในทางกลับกัน หากครอบครัวเต็มไปด้วยความรุนแรง พ่อเจ้าชู้ หรือแม่ไม่ดูแล เด็กจะต้องการแตกต่างจากพ่อแม่ (De-identification) บางคนอาจเติบโตขึ้นมาพร้อมคำสัญญากับตัวเองว่าจะ ‘ไม่เลือกคู่แบบนั้น’ และบางครั้งอาจเลยไปถึงขั้นปฏิเสธการแต่งงานและการสร้างครอบครัวไปเลย

สอดคล้องกับงานวิจัยในต่างประเทศ เรื่อง Influence of family of origin and adult romantic partners on romantic attachment security ที่พบว่า บรรยากาศอบอุ่นหรือเจ็บปวดในครอบครัวต้นแบบ มีผลต่อรูปแบบความสัมพันธ์ในวัยผู้ใหญ่โดยตรง

ทำไม ‘พ่อ’ ถึงมีอิทธิพลต่อความรักของลูกสาว

เมื่อเด็กเติบโตขึ้นมาในบ้านที่เห็นการนอกใจหรือการไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิต สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ก็คือ ความรักไม่ได้มั่นคงเสมอไปและบทบาทของผู้ชายกับผู้หญิงก็ไม่ได้แน่นอนตายตัว เด็กบางคนอาจเลือกที่จะเลียนแบบสิ่งที่เห็น แต่หลายคนกลับเลือกจะปฏิเสธแบบแผนเหล่านั้น ลูกสาวจำนวนไม่น้อยจึงตั้งใจจะหาคู่รักที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม เพื่อไม่ให้ตนเองต้องเจ็บปวดแบบที่เห็นในบ้าน

งานวิจัยทางมานุษยวิทยาอย่าง Gender Roles and Social Dynamics: An Anthropological Perspective on Thai Traditional Family Structures ชี้ว่า โครงสร้างครอบครัวไทยแบบดั้งเดิมและบทบาทเพศในบ้าน มีอิทธิพลต่อค่านิยมและการมองคู่รักของเด็ก การเห็นความไม่เท่าเทียมหรือความไม่ซื่อสัตย์ ทำให้เด็กเกิดแรงขับเคลื่อนทั้งในการเรียนรู้ที่จะสร้างความสัมพันธ์เท่าเทียมหรือหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่เคยเห็น

ด้วยเหตุนี้เองพ่อและโครงสร้างครอบครัว จึงไม่ใช่เพียงส่วนหนึ่งของชีวิตในวัยเด็ก แต่ยังเป็นตัวกำหนดกรอบความคิดเกี่ยวกับความรักและการเลือกคู่ครองของลูกสาว ทั้งในเรื่องการเลือกคู่ การมองบทบาทเพศ และการสร้างครอบครัวในอนาคต

บทบาทเพศในครอบครัว บทเรียนที่ส่งต่อโดยไม่รู้ตัว

ครอบครัวไม่เพียงแต่สอนเรื่องความรักและความผูกพัน แต่ยังสอนเรื่องบทบาททางเพศ (Gender Roles) ให้เด็กๆ โดยไม่รู้ตัว ลักษณะพฤติกรรมของพ่อแม่และการจัดสรรงานในบ้าน จะกลายเป็นตัวอย่างที่เด็กซึมซับ และส่งผลต่อการเลือกคู่ครองในอนาคต

บทบาททางเพศในครอบครัวไทยแบบดั้งเดิม มักถูกกำหนดโดยปัจจัยทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโครงสร้างอำนาจในสังคม เช่น หากในบ้าน พ่อไม่เคยทำงานบ้านเลย ขณะที่แม่ต้องจัดการทุกอย่าง เด็กๆ อาจเริ่มเชื่อว่า งานบ้านเป็นหน้าที่ของผู้หญิง หรือหากแม่ต้องหยุดงานเพื่อเลี้ยงลูก ขณะที่พ่อยังออกไปทำงานนอกบ้านตามปกติ เด็กอาจเรียนรู้ว่า ผู้หญิงต้องเป็นผู้ดูแล ผู้ชายคือคนหารายได้

สิ่งหล่านี้อาจดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่แท้จริงแล้วคือ การตอกย้ำโครงสร้างอำนาจทางเพศที่สังคมวางไว้ และหลายครั้งยังถูกนำไปเป็นเกณฑ์ในการเลือกคู่รัก ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนอาจเลือกคู่รักโดยตั้งเงื่อนไขว่า ผู้หญิงต้องทำงานบ้านเป็น ผู้หญิงบางคนอาจมองหาผู้ชายที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้

อย่างไรก็ตาม เด็กรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยเริ่มตั้งคำถามและต่อต้านแบบแผนนี้ การเห็นแม่เหนื่อยล้าเพราะต้องทำงานบ้านเพียงคนเดียว อาจทำให้ลูกชายตัดสินใจว่า ต้องแบ่งงานบ้านกับคู่ครอง หรือการเห็นพ่อมีอำนาจเหนือแม่ อาจทำให้ลูกสาวเลือกคนรักที่สัมพันธ์แบบเท่าเทียม

ครอบครัวกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม

สิ่งที่เราเห็นและเรียนรู้จากครอบครัว ไม่ได้มีแค่การกำหนดวิธีที่แต่ละคนเลือกคู่รักหรือสร้างชีวิตครอบครัว แต่ยังสะท้อนและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในภาพรวมด้วย

การที่บางคนตัดสินใจอยู่แบบ Single หรือเลือกชีวิตคู่ที่ไม่มีลูก (Double Income, No Kids: DINK) ก็ทำให้สังคมต้องกลับมาตั้งคำถามกับค่านิยมเดิมๆ ที่เคยผูกคุณค่าชีวิตไว้กับการแต่งงานและการมีลูกเพียงเท่านั้น

ดังนั้น ‘ครอบครัว’ ไม่ได้เป็นเพียงบทเรียนเฉพาะตัวของลูกในบ้าน แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้โครงสร้างเพศในสังคมเปลี่ยนไป และเปิดพื้นที่ให้เรามองความรัก ความสัมพันธ์ และครอบครัวในมิติที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากสิ่งที่เด็กเรียนรู้จากครอบครัวแล้ว ‘สื่อ’ และ ‘วัฒนธรรมรอบตัว’ ก็มีอิทธิพลไม่แพ้กันต่อการสร้างภาพจำเรื่องความรักและบทบาทเพศ หากภาพจำเหล่านี้กดทับหรือไม่ยุติธรรม เด็กบางคนก็อาจเลือกปฏิเสธ และสร้างความสัมพันธ์ในแบบที่สอดคล้องกับค่านิยมใหม่ เช่น ความเท่าเทียม การดูแลกัน 2 ฝ่าย และการลดทอนภาระทางเพศที่ไม่จำเป็น

จะเห็นได้ว่าครอบครัวต้นแบบ สื่อ และวัฒนธรรมรอบข้าง ไม่เพียงส่งผลต่อการตัดสินใจของแต่ละบุคคล แต่ยังสะท้อนและผลักดันความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางเพศในสังคมอีกด้วย

อ้างอิง

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC2689376/

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC5637550/

https://so19.tci-thaijo.org/index.php/JEIM/article/view/991

https://www.child-encyclopedia.com/gender-early-socialization/according-experts/parents-socialization-gender-children

https://www.ocean.co.th/articles/dual-income-no-kids

https://openoregon.pressbooks.pub/socgender/chapter/6-5-gender-socialization-inside-family-and-childhood/

https://gender.study/psychology-of-gender/family-school-media-gender-socialization/

Tags: , , , , , , ,