หากใครเข้ามาอ่านบทความชิ้นนี้ ณ เวลานี้ เชื่อว่าส่วนใหญ่คงเป็นคนที่ได้สัมผัสประสบการณ์หูเคลือบทอง เช่นเดียวกับเส้นเสียงที่แตกสลายกันไปแล้ว หลังพากันไปส่งเสียงร้องตาม (หรืออาจร้องแข่ง) ในคอนเสิร์ต Gracie Abrams: The Secret of Us Tour in Bangkok ทัวร์ครั้งแรกในไทยของศิลปินหญิงแห่งยุคอย่าง เกรซี เอบรามส์ (Gracie Abrams) ศิลปิน-นักแต่งเพลงหญิงวัย 25 ปี เจ้าของผลงานเพลง That’s So True, Close To You และ I Love You, I’m Sorry สุดไวรัล ติดชาร์ตทั่วโลก
The Momentum จึงอยากพาไปทำความรู้จักตัวตนและวิธีคิดต่อการทำเพลงและแฟนคลับของเธอมากขึ้น ผ่านคำตอบจากการให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวรอบสื่อมวลชนสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เพิ่งผ่านมา และชวนให้คุณได้รู้สึกอินยิ่งขึ้นในทุกครั้งที่ฟังเพลงของเธอ
เสียงขับขานจากห้องนอน สู่วันที่ถ่ายทอดถึงคนนับล้าน
ในโลกของเสียงดนตรีและแสงสีในวงการบันเทิงที่หมุนเร็ว ความไม่แน่นอนและแปรเปลี่ยนตลอดเวลา บางเพลงดังสุดโต่งตั้งแต่วันแรกที่ปล่อย ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไป บางเพลงใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะไต่ขึ้นชาร์ต จนศิลปินหลายคนค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสไตล์ไปตามกระแส หรือกระโดดไปจับทางดนตรีที่ผู้คนกำลังอิน เพื่อสร้างผลงานเพลงที่เรียกความนิยมได้ แต่สำหรับเกรซีกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ด้วยบทชีวิตที่ไม่เคยเรียบง่าย ความนุ่มนวลปนแข็งแกร่งในเสียงร้อง และภาษาอันเฉียบคมในเนื้อเพลง ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญและวัตถุดิบหลักในการทำทุกเพลงของเธอ ทำให้เมื่อถามถึงความแตกต่างระหว่างวันแรกที่เธอเดบิวต์ด้วยเพลง Mean It เมื่อปี 2019 จนถึงวันนี้ที่เธอขึ้นแท่นเป็นศิลปินเจ้าของคอนเสิร์ตที่ขายบัตรหมดแทบทุกประเทศที่จัดแสดง รวมถึงประเทศไทยซึ่งเป็นโชว์ปิดท้ายโซนเอเชีย คำตอบที่ได้รับกลับไม่ใช่การพูดถึงความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับเธอในช่วงปีที่ผ่านมา เช่น การได้โอกาสขึ้นเปิดโชว์ให้ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (Taylor Swift) ในคอนเสิร์ต The Era Tour หรือการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี (Grammy Awards) ปีล่าสุด แต่กลับเป็นการขอบคุณโอกาสที่ได้รับและความพยายามในการอยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด
“ฉันรู้สึกว่าทุกช่วงเวลาที่ฉันได้อยู่กับพวกคุณ ฉันพยายามที่จะอยู่ตรงนี้ อยู่ในห้องนี้ และซึมซับทุกอย่างไว้ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ ด้วยซ้ำ ที่พวกคุณรู้ว่าฉันมีตัวตนอยู่
“มันบ้ามากสำหรับฉัน และเมื่อฉันนึกถึงการเดินทางนี้ รวมถึงโอกาสที่ฉันได้รับ ทั้งการปล่อยเพลง ออกทัวร์ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้ เพราะพวกคุณทั้งหมด ที่ทำให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันรักมากที่สุด ดังนั้นฉันก็เลยพยายามที่จะอยู่กับปัจจุบันให้ได้มากที่สุด”
ด้วยขนาดผู้ฟังและชื่อเสียงที่เพิ่มขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงไม่แปลกที่เกรซีจะได้เจอแฟนคลับที่พร้อมใจส่งเสียงร้อง เสียงเชียร์ให้เธอในทุกครั้งที่ขึ้นแสดง จนเกิดคำถามต่อมาว่า “มีเหตุการณ์จากการทัวร์คอนเสิร์ตที่น่าจดจำมากที่สุดหรือไม่”
“มันก็ตลกดีนะ เวลาที่ฉันย้อนนึกถึงตอนที่ฉันปล่อยเพลงต่างๆ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เริ่มจากโพสต์คลิป (ร้องเพลง) สั้นๆ ลงอินสตาแกรม และส่งข้อความกลับไปกลับมาถึงคนที่ค้นพบเพลงของฉัน และเอาเพลงของฉันไปเป็นส่วนหนึ่งและปรับใช้ในชีวิตจริงของพวกเขา
“จากที่เคยอยู่แค่ในห้องนอนของตัวเอง สู่การที่ได้มาอยู่จุดนี้ในวันนี้ หลังจากเพิ่งจะเล่นคอนเสิร์ตในสนามกีฬาขนาดใหญ่เป็นครั้งแรก และถึงแม้ว่าขนาดสถานที่เล่นเพลงจะใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับฉันยังคงรู้สึกใกล้ชิดกับทุกคนเหมือนเดิม”
จากนั้นเธอให้คำตอบที่ตัวเธอเองก็เชื่อว่า ‘มันฟังดูเลี่ยน’ แต่กลับทำให้เรามองความสัมพันธ์ระหว่างศิลปินระดับโลกกับแฟนคลับตัวเล็กๆ ซึ่งปกติดูห่างเหินกันมากพอสมควร ต่างออกไปจากเดิม
“ทุกๆ โอกาสที่ได้เจอกับแฟนคลับ ซึ่งตามหลักก็เป็น ‘คนแปลกหน้า’ แต่ฉันกลับรู้สึกว่า (แฟนคลับ) เป็นเหมือน ‘เพื่อน’ ทันที ฉันไม่สามารถเจาะจงเพียงเหตุการณ์เดียวได้หรอก แต่ทุกๆ ครั้งที่ได้เจอกับแฟนๆ มันมีความหมายกับฉันมากจริงๆ
“สำหรับฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่โลกมันทั้งซับซ้อนและมืดมนอยู่บ่อยครั้ง นับเป็นความโชคดีมากที่ฉันได้เจอพวกคุณทุกคน และพวกคุณเป็นเหมือนแสงสว่างในความมืด
“อาจจะดูน้ำเน่า เวลาพูดออกมาก็จริงนะ แต่มันเป็นความจริงล้วนๆ และฉันเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัวตลอด ไม่ว่าจะตอนทำงานหรือชีวิตนอกเวลางาน”
เพลงจากความไม่ตั้งใจที่เกิดในช่วงเวลาดีๆ
หากใครเป็นแฟนเพลงของเกรซีจะรู้ดีว่า ผลงานของเธอไม่ใช่แค่การนำเสียงร้องรวมเข้ากับเสียงดนตรี เพื่อสร้างเป็นเพลงที่มีความยาวไม่กี่นาที แต่เป็นเหมือนการบีบอัดบทชีวิตอันยาวนานของเธอผ่านเนื้อเพลงแสนคมคาย จนคนฟังอย่างเราสามารถรู้สึกร่วมกับมันได้ทุกครั้งที่ฟัง
ทว่าบางครั้งเพลงที่ดีสุดอาจจะไม่ได้มาจากการใช้เวลามหาศาลจมอยู่กับการทบทวนชีวิต เพื่อแต่งเนื้อเพลงที่บาดลึกกินใจ แต่กลับมาจากช่วงเวลาที่ไม่ตั้งใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกท่วมท้น ซึ่งมันเป็นคำตอบของเธอ เมื่อถามถึงที่มาในการแต่งเพลง That’s So True โดยเฉพาะท่อนบริดจ์ (Bridge) ที่เล่าถึงชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่พยายามประคองตัวเอง ออกจากความเจ็บปวดในความสัมพันธ์อันเลวร้าย ที่แม้จะผ่านมาได้ แต่ความรู้สึกและความทรงจำยังคงติดอยู่ พร้อมประชดอีกฝ่ายที่เดินจากไปว่า ถึงเขาจะทำใจได้ก่อน แต่เธอก็พร้อมจะก่อกวนและหลอกหลอนจิตใจเขาต่อไป
“ออเดรย์และฉันเมานิดๆ ตอนที่เราแต่งเพลงนี้ (หัวเราะ) เราเมานิดๆ แล้วก็แต่งเพลงนั้นกันที่ Electric Lady Studio ในนิวยอร์ก พวกเราก็สนุกกันมากๆ ตอนนั้น
“เราหัวเราะจนร้องไห้ในระหว่างที่แต่งเพลงนี้เลย มันเป็นเพลงที่มีความประชดประชันนิดๆ ปนอารมณ์โกรธหน่อยๆ แต่ก็หัวเราะกับตัวเองไปด้วยตลอดเวลาเลย นั่นแหละเรื่องราวของเพลงนี้”
เธอบรรยายเบื้องหลังที่มาของเพลงสุดฮิตด้วยอารมณ์ขันปนกับสีหน้าเขินอายเล็กน้อย พร้อมชวนเราไปทำความรู้จักเพื่อนสนิทอย่าง ออเดรย์ โฮเบิร์ต (Audrey Hobert) นักแต่งเพลงฝีมือดีที่ฝาก 7 ผลงานการแต่งเพลงไว้ในอัลบั้มนี้ และผู้กำกับมิวสิกวิดีโอเพลง Risk และ I Love You, I’m Sorry รวมถึงเป็นผู้ร่วมออกเดินทางหาเนื้อร้องสุดบาดลึกกับนักร้องสาว
เกรซีไม่ได้บอกเราว่า การแต่งเพลงในสภาวะดังกล่าวเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ควร แต่เธอทำให้ผู้เขียนเข้าใจว่า บางครั้งเนื้อเพลงที่เจ็บที่สุดสำหรับผู้ฟัง อาจมาจากช่วงเวลาที่ดีที่สุดและความตั้งใจที่น้อยที่สุดของผู้แต่งก็ได้
“ตอนกำลังดื่มอยู่กับคนที่ดีที่สุด เพลงมันก็ไหลมาเอง แล้วเราก็ลุยกับมันต่อไปเลย”
ดูเหมือนว่าความไม่ตั้งใจครั้งนั้นจะเป็นผลอยู่ไม่น้อย เพราะ That’s So True ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จนสามารถเป็นเพลงแรกของเธอที่ติดชาร์ตบน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จ
ความประหลาดใจและเพลงที่อยากมอบให้การมาไทยครั้งแรก
อย่างไรก็ตามความสำเร็จดังกล่าวสร้างความกังวลให้เธอไม่น้อย เพราะเมื่อถามกว่า “มีเพลงใดที่คุณรู้สึกประหลาดใจเวลาได้ยินแฟนเพลงร้องตามหรือไม่” คำตอบแรกของเธอกลับพุ่งไปที่เพลงนี้ทันที
“ฉันมักจะเซอร์ไพรส์เสมอเวลาขึ้นแสดง และฉันคิดว่า ช่วงหลังๆ ตั้งแต่ฉันปล่อยอัลบั้มนี้ออกมา โดยเฉพาะเพลง That’s So True ออกมา ซึ่งมันเหมือนมีชีวิตเป็นของมันเอง มันเป็นเพลงที่ดังกว่าทุกเพลงที่ฉันเคยปล่อยมาก่อน
“ฉันเลยรู้สึกกังวลเล็กๆ ว่า คนดูอาจจะร้องแค่เพลงนั้นเพลงเดียว แต่เปล่าเลย”
หลังจากนั้นเธอก็เล่าถึงบรรยากาศและความคิดเวลาที่เธอเล่นเพลงเศร้าให้พวกเราฟัง “ทุกคนร้องกันเสียงดังมาก แม้แต่เพลงที่เบาๆ เศร้าๆ ที่ฉันไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับมากขนาดนั้น อย่างเพลง Camden ที่ฉันปล่อยเมื่อหลายปีก่อน ก็เป็นอีกเพลงที่ทำให้ฉันแปลกใจมากที่ทุกคนร้องตามได้ หรืออย่างเพลง Mess It Up ก็ด้วย”
ด้วยกระแสตอบรับและปฏิกิริยาของแฟนเพลงนี่เอง ทำให้เธอมั่นใจอย่างยิ่งว่า ควรใส่เพลงเหล่านั้นเข้าไปในรายชื่อเพลงที่จะขึ้นเล่นบนคอนเสิร์ต
“เพลงนั้นตอนแรกไม่ได้อยู่ในรายชื่อเพลงเลย แต่พอได้ยินจากแฟนๆ ว่า พวกเขาอยากให้มี ฉันก็ใส่มันเข้าไป ฉันก็เลยแบบ โอเค ฉันใส่ให้ และแค่คิดถึงตอนอยู่ตรงนั้นกับพวกเขาก็ทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันชอบทุกเพลง และทุกโอกาสที่ได้ร้องร่วมกัน ฉันรักมันมากๆ”
จากคำตอบข้างต้นทำให้เข้าใจว่า เกรซีมีความสุขและสนุกกับทุกเพลงที่ได้ร้องบนเวที แต่เพลง Feel Like กลับเป็นหนึ่งในเพลงที่เธอสามารถถ่ายทอดประสบการณ์การมาเยือนประเทศไทยเป็นครั้งแรกได้ดีที่สุด
“เพลง Feels Like เป็นเพลงที่ฉันรู้สึกผูกพันมาก เพลงนั้นมีความหวานอยู่ในตัวเอง แล้วฉันก็คิดว่าความต้องการอย่างแรงกล้าของฉันที่อยากจะมาที่นี่จริงๆ สักครั้ง มันคล้ายกับความหวานและความอ่อนโยนนั้น
“ดังนั้นมันจึงมีความหมายมากๆ สำหรับฉัน ไม่รู้สิ เพลงนั้นผุดขึ้นมาในหัวเอง และก็เพลง Close To You ด้วย เพราะตอนนี้เราก็อยู่ใกล้กันสักที ใกล้มาก ใกล้มากเลย ใกล้สุดๆ (หัวเราะ)”
สำรวจโลกแห่งจินตนาการ ผ่านการมองอัลบั้มตัวเองเป็นสิ่งอื่น
เชื่อว่าแทบจะทุกแฟนดอมมักมีธรรมเนียมและวิถีปฏิบัติร่วมกันระหว่างคนในกลุ่ม เช่น เหล่าสวิฟตี (Swifties) หรือแฟนคลับของสวิฟต์ ที่มักจะแลกกำไลมิตรภาพแฮนด์เมดกันตามงานคอนเสิร์ต
เช่นกันกับกลุ่มเกรซแลนเดอร์ (Gracelander) กลุ่มแฟนคลับของเกรซีที่หยิบนำความชอบของนักร้องสาวอย่างการทำขนม มาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติร่วมกันในกลุ่ม ด้วยการอบขนมเค้กเพื่อฉลองการปล่อยอัลบั้มหรือซิงเกิลใหม่ๆ ของเธอ
ทว่าเมื่อให้นักร้องสาวลองจินตนาการว่า “หากอัลบั้ม The Secret of Us เป็นเค้ก หน้าตาของมันจะเป็นอย่างไร” คำตอบที่ได้รับในช่วงแรกกลับไม่ใช่เค้กชนิดใดเป็นพิเศษ แต่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของมันที่ชวนให้พวกเราหลายคนในงานวันนั้นหัวเราะไปตามๆ กัน
“ฉันว่าอัลบั้มนี้มันเหมือนกับการกินครีมแต่งหน้าเค้กจากกล่องเพียวๆ เลย แบบใช้ช้อนตักกินเลย พอฉันคิดถึงมัน มันก็ให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
แม้เธอเปลี่ยนคำตอบเป็นขนมรสเปรี้ยวอมหวานอย่าง เลมอนโลฟเค้ก (Lemon Loaf Cake) ในช่วงหลัง เพราะต้องการให้คำตอบดูจริงจังมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดเธอยังคงเชื่อว่า ของหวานที่สะท้อนความเป็นอัลบั้มนี้มากที่สุดคือ การจ้วงช้อนลงถ้วยครีมรสหวานหน้าตานุ่มฟูและยัดมันเข้าปากไปเลยอยู่ดี
“ฉันยังคิดว่ากินจากกล่องคือ คำตอบจริงๆ ของฉันนะ เหมือนนั่งอยู่มุมห้องกับช้อนคันหนึ่ง แล้วก็ตักกินจากกล่องเลย ไม่ต้องอบ ไม่ต้องใช้เตาอะไรเลย ไม่ต้องเป็นเค้กจริงๆ ก็ได้”
เมื่อลองคิดภาพตามคำพูดของเธอ มันก็ดูไม่เกินจริงเสียทีเดียว เพราะภาพลักษณ์ภายนอกตอนกินอาจจะดูไม่น่ารักมากนัก แต่ในทุกคำก็แทรกซึมไปด้วยรสหวานและท่าทางขี้เล่น เช่นเดียวกับอัลบั้มนี้ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ดูเหมือนจะรุนแรง แต่หากลองฟังก็จะพบว่า มันทั้งจริงใจและขี้เล่นปนจิกกัดไปในเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อถามว่า “หาก The Secret of Us เป็นภาพยนตร์ จะเป็นภาพยนตร์แนวอะไรและมีเส้นเรื่องประมาณไหน” คำตอบที่ได้รับก็ยิ่งตอกย้ำว่า ทั้งอัลบั้มนี้สามารถตีความได้หลายรูปแบบ
“ฉันคิดว่าแนวหนังน่าจะเป็นโรแมนติก-คอเมดีแน่นอน เพราะหลายๆ เพลงในอัลบั้มนี้มีมุมมองที่เพ้อเจ้อเบาๆ เกี่ยวกับอะไรเล็กๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่ภายในระยะเวลาสั้นๆ
“ฉันรู้สึกเหมือนจะเสียสติเล็กน้อยตอนที่เราเขียนเพลงในอัลบั้มนี้ ดังนั้นฉันเลยยกให้มันเป็นหนังโรแมนติก-คอเมดีนะ”
ทั้งนี้โรแมนติก-คอเมดีอาจจะดูหวานเกินไป เมื่อเทียบกับดีกรีความจิกกัดของอัลบั้มนี้ มันจึงไม่แปลกนักเมื่อเธอกล่าวถึงอีกหนึ่งประเภทของภาพยนตร์ ที่สะท้อนภาพลักษณ์ของอัลบั้มนี้ได้ไม่แพ้กัน
“อันที่จริงมันเหมือนหนังผีอยู่นิดหน่อยนะ ฉันน่าจะเอามันไปใส่ประเภทหนังผีนิดหนึ่ง (หัวเราะ) ประมาณว่าคนที่เราแอบชอบคือ ผีที่ตามหลอกหลอนตลอดเวลา”
คำตอบของเธอไม่เพียงแต่สร้างเสียงหัวเราะ และทำให้เราเห็นถึงจินตนาการของเธอที่มีต่ออัลบั้มนี้ แต่มันยังทำให้เห็นว่า The Secret of Us แอบซ่อนมิติที่หลากหลายซึ่งเราอาจจะมองข้ามไป ทั้งในแง่ของรสชาติที่ผสมผสานระหว่างความหวานบาดคอแบบครีมแต่งหน้าเค้ก กับความเปรี้ยวเข็ดฟันแบบเค้กเลมอน หรือในแง่ของอารมณ์ที่เหมือนหนังรักโรแมนติก-คอเมดีที่ทำให้ใจว้าวุ่นและเพ้อฝัน ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกลุ้นระทึกและน่าขนลุกเหมือนหนังผี ที่ไม่ว่าผู้ฟังจะรู้สึกหรือคิดภาพเหมือนหรือต่างกับเกรซีอย่างไร แต่เชื่อว่าทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความงดงามท่ามกลางความซับซ้อนและความหลากหลายที่เกิดขึ้นในอัลบั้มนี้เป็นแน่
ปัจจุบันที่อยากเก็บไว้และคำแนะนำจากใจถึงเกรซีในอดีต
หากอ่านมาถึงจุดนี้ เชื่อว่าหลายคนคงได้รู้จักเกรซีมากขึ้น และอาจสังเกตได้ว่าผู้หญิงคนนี้ให้ความสำคัญกับผู้คนรอบตัวเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเพื่อนร่วมงานก็ดี หรือแฟนคลับก็ดี ทำให้คำตอบของเธอ เมื่อถามว่า “หากคุณสามารถเก็บรักษาช่วงเวลาหนึ่งจากชีวิต ณ ตอนนี้ของคุณไว้ในไทม์แคปซูล คุณจะใส่อะไรลงไปและเพราะอะไร” จึงเป็นเหมือนการตอกย้ำตัวตนของเธอให้ชัดเจนขึ้นอีกครั้ง
“ฉันคิดว่ามิตรภาพของฉันตอนนี้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นมาเลย เช่น คนที่อยู่ในชีวิตของฉัน คนที่ฉันใช้เวลาด้วย ไม่ว่าจะในเวลาทำงานหรือนอกเวลางาน
“ฉันไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดกับผู้คนในชีวิตเท่านี้มาก่อนเลย ฉันอยากจะเก็บความรู้สึกนั้นไว้ในไทม์แคปซูล ฉันรักผู้คนที่ฉันได้รู้จักมากๆ รู้สึกโชคดีมากจริงๆ”
ทั้งนี้แม้เส้นทางสายดนตรีของเกรซีจะไม่ได้ยาวนานมากนัก แต่ด้วยความนิยมและการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เธอได้พบเจอผู้คนที่หลากหลายที่เข้าไปเป็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิตของเธอ เช่นเดียวกับการได้สัมผัสความสำเร็จในอาชีพที่ศิลปินหน้าใหม่น้อยคนนักจะได้โอกาสเช่นนี้ จึงทำให้เกิดคำถามที่ว่า “ถ้าวันนี้คุณได้นั่งข้าง เกรซี เอบรามส์ ในวัยเด็ก คนที่แอบฝันถึงการได้เป็นศิลปิน คำแนะนำหนึ่งข้อที่คุณจะบอกกับเธอคืออะไร”
เกรซีตอบทันควันว่า “ฉันคงจะวิ่งหนีไปเลยละ (หัวเราะ)”
ก่อนจะเริ่มตกผลึกความคิดและให้คำตอบที่ชวนให้เรามองการกระทำในอดีตเป็นเหมือนเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ซึ่งไม่มีผิด ไม่มีถูก เพียงแต่เราต้องไม่ใจร้ายกับตัวเองมากจนเกินไป และมองว่าทุกอย่าง ณ ตอนนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากพอแล้ว
“ก็คงบอกว่าให้อ่านหนังสือให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และจับโทรศัพท์ให้น้อยลงหน่อย และก็บอกว่า ทุกอย่างจะโอเคเองนะ แค่ใจเย็นๆ ไว้”
จากนั้นเธอก็พาเราไปทำความเข้าใจว่า ทำไมเธอถึงอยากบอกตัวเองว่า “ทุกอย่างจะโอเคเองนะ แค่ใจเย็นๆ ไว้” ผ่านตัวตนของเธอในวัยเด็ก
“ตอนเด็กๆ ฉันเคยเป็นคนขี้กังวลมากเลย ฉันก็ใช้ชีวิตอยู่กับความคิดในหัวตัวเองเยอะมาก นั่นแหละเหตุผลว่า ทำไมฉันถึงได้เขียนเพลงเยอะขนาดนี้
“ซึ่งมันก็โอเคที่จะเป็นแบบนั้นนะ ฉันใช้เวลาในชีวิตเยอะมากกับการพยายามที่จะไม่วิตกกังวล และอยากจะเป็นคนที่ไม่เก็บตัว แต่จริงๆ แล้ว มันโอเคมากๆ เลยนะ ที่จะเป็นตัวของตัวเองแบบนั้น ฉันอยากบอกกับตัวเองแบบนั้นแหละ” เกรซีกล่าวทิ้งท้าย พร้อมกล่าวขอบคุณทุกคนในงานวันนั้น
Tags: Gracie Abrams, The Secret of Us, Universal Music, เกรซี เอบรามส์, Universal Music Thailand