ธันวาคมคล้ายเป็นบทส่งท้ายของหนังสือ ที่คนส่วนใหญ่ตั้งใจจรดปลายปากกาปิดต้นฉบับด้วยความสุขในช่วงหยุดยาว เดินทางหวนคืนสู่ภูมิลำเนา พักผ่อน เอนกายหวังคลายความเหนื่อยล้าจากงานที่สุมกองและความเร่งรัดในเมืองใหญ่ บ้างก็เลือกแพ็คกระเป๋าเตรียมพร้อมออกผจญภัยไปยังสถานที่ห่างไกล เพื่อต่อเติมแรงกายและแรงฝันให้ตัวเอง

เมื่อบางสิ่งกำลังงอกงามเติบโตขึ้น บางสิ่งย่อมแก่ชราร่วงโรยลงไป บางสิ่งที่ว่าไม่ใช่เพียงชีวิตปุถุชนคนธรรมดา แต่รวมถึงสถานที่ สิ่งประดิษฐ์ นวัตกรรม ที่เคยใช้ได้ดีในห้วงเวลาหนึ่ง เมื่อหยดน้ำของเวลากร่อยเซาะมันก็ถดถอยและไม่เหมาะเจาะเข้าไม้เข้ามือเราอีกต่อไป

แล้วในปีนี้ สังคมไทยเรามีอะไรเปลี่ยนแปลง อะไรบ้างที่หายไป อะไรที่ไม่เหมาะแล้วกับ ‘ปัจจุบัน’ และ ‘อนาคต’ ที่(เขา)วาดไว้

ทีมงาน The Momentum ชวนนักอ่านทุกท่านไปดูนานาสิ่งที่หายไปในปี 2018 เพื่อย้อนให้ตระหนัก เฉลิมฉลอง และคิดถึง ทุกๆ อย่างที่เคยมีและคงจะไม่มีอีกแล้ว

โรงภาพยนตร์ลิโด

เกือบ 50 ปี ที่โรงหนังลิโด(Lido) คัดสรรภาพยนตร์คุณภาพทั้งใน-นอกกระแสมาให้คอหนังไทยได้เสพ หมุนเข็มนาฬิกากลับไปในปี 2511 พิสิฐ ตันสัจจา เข้ามาเนรมิตให้พื้นที่บริเวณสยามแสควร์ที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้ กลายเป็นโรงหนังขนาด 1,000 ที่นั่ง โดยเปิดฉายอย่างเป็นทางการในวันที่ 27 มิถุนายน 2511 ด้วยเรื่อง ศึกเซบาสเตียน (Guns for San Sebastian)

ถ้าเทียบลิโดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เขาคงเป็นชายวัยกลางคนที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการใช้ชีวิตและริ้วรอยจากวันเวลาที่พาดผ่าน ในปี 2536 เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่โรงหนังลิโด ทำให้ต้องปิดปรับปรุงนานกว่า 1 ปี และปรับเปลี่ยนโฉมหน้าจากโรงหนังขนาดใหญ่ กลายมาเป็นโรงหนังขนาดมัลติเพล็กซ์จำนวน 3 โรง

ต่อมาในปี 2553 เหตุการณ์การชุมนุมบานปลายสู่ความรุนแรง โรงหนังสยามซึ่งเป็นพี่ชายคนโตในตระกูล Apex ต้องปิดตัวลง และต่อมาได้สร้างใหม่ กลายเป็นห้างสรรพสินค้าสยามสแควร์วันอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

‘มีพบพา มีจากลา มีน้ำตาและความสุขทุกข์’ เนื้อเพลง พบ พา ลา จาก – Desktop Error

31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ข้อตกลงระหว่างลิโดและเจ้าของที่ดินอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็เป็นอันชัดเจน ข้อสรุปที่ออกมาทำให้น้องชายคนรองในเครือโรงหนัง Apex อย่างลิโดกล่าวคำอำลาด้วยกลวิธีอย่างที่ทำมาเสมอ Tonight at Romance Theater และ Kids on The Slope เป็นคำกล่าวอำลาสุดท้ายของลิโดและพนักงานสูทเหลืองทุกคน ปิดม่านเวทีโรงหนังในตำนานของไทย

ก่อนที่ล่าสุดจะกลายร่างเป็น ‘ลิโด คอนเน็กต์’ ที่สำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับเลิฟอีส เอนเตอร์เทนเมนท์ เข้ามาบริหารงานโดยจะแปลงพื้นที่นี้ใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการจัดแสดงศิลปวัฒนธรรมสำหรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่จะเปิดบริการวันที่ 1 พฤษภาคม 2562

 

สวนสัตว์ดุสิต

เริ่มเดิมทีในสมัยของรัชกาลที่ 5 สวนสัตว์ดุสิตถูกเรียกว่า ‘เขาดินวนา’ มีที่มาจากพระราชโองการให้ขุดสระน้ำขนาดใหญ่ ก่อนที่จะนำดินขึ้นมาถมเป็นเกาะกลางน้ำ เรียกว่า ‘เขาดิน’ และทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกพืชนานาชนิดบริเวณนั้นเป็นสวนเรียกว่า ‘วนา’ รวมกันเป็นพื้นที่เรียกว่า ‘เขาดินวนา’ เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนส่วนพระองค์และข้าราชบริภารฝ่ายใน

18 มีนาคม 2481 เทศบาลนครกรุงเทพได้รับพระราชทานที่ดินบริเวณเขาดินวนาจำนวน 118 ไร่ เพื่อนำไปปรับปรุงให้เป็นสวนสาธารณะ สำหรับให้ประชาชนพักผ่อนหย่อนใจ จึงได้เป็นที่มาของการเริ่มต้นย้ายสัตว์ต่างๆ อาทิ กวางดาว จระเข้ ลิง เพื่อเปิดให้เป็นสวนสัตว์สาธารณะให้ประชาชนได้เข้าชม ภายใต้ชื่อ ‘สวนสัตว์ดุสิต’ หรือ ‘เขาดิน’

ในอดีตสวนสัตว์ดุสิต ไม่เพียงเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับครอบครัวเท่านั้น สวนสัตว์ดุสิตเคยทำหน้าที่เป็นพื้นที่จัดงานต่างๆ อาทิ การแข่งขันว่ายน้ำ การแข่งขันชายงาม การประกวดกระทง ตลอดจนเป็นหลุมหลบภัยสำหรับประชาชนไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ถึงที่สุดแล้ว เมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สวนสัตว์ดุสิตก็จำต้องปิดตัวลงและย้ายเหล่าน้องๆ ทั้งหลายไปยังสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วประเทศ 6 แห่งชั่วคราว เพื่อรอให้การก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่บริเวณคลอง 6 อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานีแล้วเสร็จ

 

JJ Green

เป็นเรื่องที่ทำเอาซึมไปเหมือนกันสำหรับหนุ่ม-สาว ที่ชอบมาเดินเลือกซื้อของบริเวณสวนจตุจักร เมื่อจตุจักรกรีน หรือ JJ Green ประกาศปิดตัวลงเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมา เนื่องจากทางกรุงเทพมหานครฯ มีแผนเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างสวนสาธารณะขนาดใหญ่ เชื่อมต่อตั้งแต่ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ และสวนจตุจักร (พื้นที่เจเจกรีน) รวมกันเป็นพื้นที่กว่า 720 ไร่

อย่างที่รู้กันสำหรับนักช็อปว่า ถ้าหากมาเดินเลือกซื้อของบริเวณสวนจตุจักรในยามบ่ายคล้อยแล้วยังไม่อิ่มหนำกับข้าวของที่ได้มา ตกยามค่ำคืนจะมีตลาดนัดที่เดินถัดไปอีกเพียง 100 เมตร ชื่อว่า เจเจกรีน ตั้งอยู่ ซึ่งสินค้าในจตุจักรกรีนมีให้เลือกแทบจะครอบโลกและครอบดาวอังคารอีกที สำหรับเสื้อผ้ามีให้เลือกทั้งแบบ วินเทจ ร่วมสมัย เสื้อผ้ากีฬา ตลอดจนเสื้อนอนและชุดชั้นใน เครื่องประดับแปลกตาต่างๆ นานา อาทิ สร้อยสเตนเลส แหวนเงิน อีกทั้งเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน โปสเตอร์วงดนตรี ของกินเล่น ของกินไม่เล่น อุปกรณ์แต่งรถ รวมถึงดนตรีดีๆ ให้นั่งฟังฟรี แกล้มเบียร์กระป๋อง

ถ้าหากไม่นับพ่อค้าแม่ค้าแล้ว พูดถึงคนที่เศร้าที่สุดจากการที่เจเจกรีนปิดตัวลง เราคงเป็นหนึ่งคนในนั้น เราเติบโตมากับจตุจักร ตลาดรถไฟก่อนปิดตัว และมาเป็นเจเจกรีน เราเคยไปทั้งเช่าล็อคขายของเอง ช่วยเพื่อนขาย เป็นผู้ซื้อ และเคยแม้กระทั่งแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับพี่ๆ น้องๆ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น ’

สุดท้ายแล้ว เราคงได้แต่หวังว่าพ่อค้า-แม่ค้า และคนที่เคยพึ่งพิงอาศัยเจเจกรีนเป็นทั้งสถานที่ทำงาน สถานที่เดินเล่นแก้เหงากับแฟน หรือเป็นบ้าน ได้พบที่ใหม่สำหรับตัวเองและพบพานผู้คนดีๆเช่นที่เราเคยพบที่จตุจักรกรีนแห่งนี้

สนามม้านางเลิ้ง

ผืนหญ้าสีเขียว กล้องส่องทางไกล จ็อกกี๊ ม้าแข่ง และโพย คงเป็นสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับคอพนันม้าที่มักจะมารวมตัวกันบริเวณสนามม้านางเลิ้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ เพื่อโหมเพลิงในตัวให้ลุกไหม้ไปพร้อมกับยอดอาชาที่ควบแข่งในสนาม และใบโพยยับยู่ในมือ

สนามม้านางเลิ้ง หรือสนามราชตฤณมัยสมาคมสร้างขึ้นในปี 2459 รัชสมัยของสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ภายหลังที่มีการสร้างสนามราชกรีฑาสโมสร หรือสนามฝรั่ง ในปี 2444 โดยการแข่งขันม้าจะมีขึ้นในวันอาทิตย์เว้นอาทิตย์ สลับกันจัดกับสนามฝรั่ง ซึ่งจะแข่งขันทั้งหมดวันละ 10 เที่ยว ค่าตั๋วเข้าชมมีหลายราคาตั้งแต่ 50 บาท จนถึง 300 บาท

การลงทุนจะแบ่งเป็นตั๋ว Win และ Place ถ้าหากเราเลือกเล่นแบบ Win หมายถึงเราเก็งที่จะเลือกเล่นม้าเบอร์ใดเบอร์หนึ่ง แต่ถ้าหากเราเลือกเล่นแบบ Place ไม่ว่าม้าเบอร์ที่เราเลือกจะเข้าอันดับเท่าไรตั้งแต่ 1-3 เราก็ยังได้รับกำไรกลับมาอยู่ ผลตอบแทนของการลงทุนก็ย่อมผกผันกับความเสี่ยง

เสี่ยงมาก ย่อมได้มาก เสี่ยงน้อย ย่อมได้น้อย เพราะฉะนั้นเล่นได้ ต้องเล่นอีก และเล่นเสีย ต้องทบเพิ่ม(?!)

ถึงแม้ว่าสนามม้านางเลิ้งจะไม่ได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เสียเท่าไร เนื่องจากข้อบังคับที่ห้ามไม่ให้ผู้อายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าใช้บริการ รวมถึงทัศนะของสังคมไทยต่อเรื่องการพนัน แต่ความผูกพันกว่า 102 ปีระหว่างสนามม้านางเลิ้ง ม้าแข่ง จ็อกกี้ และผู้คนจำนวนหนึ่งก็ดูจะเป็นอะไรที่มากกว่ามาสนามม้าเพื่อกาโพย หาเงิน และกลับบ้าน เพราะสำหรับบางคน บางสถานที่ก็ทำให้พานพบกับผู้คนบางกลุ่ม ที่ทั้งทำให้อบอุ่นใจ สะท้านใจ สบายใจ และการพนันขันต่อก็เป็นเพียงแค่สะพานเชื่อมเพื่อหยอกล้อและกระชับมิตรภาพเท่านั้น

ดุสิตธานี

กว่า 50 ปี ที่โรงแรมดุสิตธานี้ตั้งตระหง่านอวดดีไซน์อันมีเอกลักษณ์ และสูงเด่นเป็นแลนมาร์ค บริเวณแยกศาลาแดง อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมแปลกตา ที่มียอดสีทองชี้ขึ้นไปยังฟากฟ้าแห่งนี้ ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสถานที่รับแขกบ้างแขกเมือง อาทิ พระบรมวงศานุวงฯ รัชทายาท ผู้นำประเทศ นักร้องนักแสดง และบุคคลสำคัญต่างๆ ของโลก มาอย่างนับไม่ถ้วน

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2509 ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย มีโอกาสเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และได้รู้จักกับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญการออกแบบตึกสูงและโรงแรมชื่อดังอย่าง โยโซะ ชิบาตะ (Yozo Shibata) หัวหน้าสถาปนิกของบริษัทออกแบบ KKS เพราะต้องตาในลายเซ็น และความสามารถ ท่านผู้หญิงชนัตถ์จึงมอบความไว้วางใจให้บริษัท KKS ออกแบบโรงแรมดุสิตธานี ภายใต้โจทย์ ‘เสน่ห์ความเป็นไทย’

ชื่อของโรงแรม ‘ดุสิตธานี’ อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นชื่อที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์ได้รับเสียงกระซิบมาตามลม แวบขึ้นมาขณะที่ท่านกำลังกราบสักการะพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานอภัยเนื่องจากการก่อสร้างจำต้องรื้ออาคารเก่าบ้านศาลาแดง ของอดีตราชเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในรัชกาลที่ 6 ซึ่งยังเป็นชื่อเดียวกับเมืองประชาธิปไตยจำลอง ที่รัชกาลที่ 6 เคยสร้างขึ้นในบริเวณวังพญาไท รวมถึงยังมีความหมายถึงสวรรค์ชั้น 4 ตามคติความเชื่อของสังคมไทย

คติอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารโรงแรมดุสิตธานียึดไว้ประจำใจคือ ‘ปฏิบัติต่อทุกคนราวกับเป็นคนในครอบครัว’ ในช่วงวิกฤตน้ำท่วมปี 54 คุณชนินทธ์ โทณวนิก บุตรชายคนโตของท่านผู้หญิงได้เปิดโรงแรมต้อนรับครอบครัวของพนักงานดุสิตธานี ให้มาใช้ดุสิตธานีเป็นที่พักพิงในยามยาก ในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียที่กระทบการท่องเที่ยวไทยอย่างหนัก ก็ไม่มีการปลดพนักงานสักคนเกิดขึ้น อีกทั้งในต้นปีหน้าที่โรงแรมจะปิดตัว ก็มีการเตรียมโครงการไว้เป็นทา่งเลือกให้พนักงาน ขณะรอให้โรงแรมก่อสร้างแล้วเสร็จ

5 มกราคม 2562 จะเป็นวันสุดท้ายที่ดุสิตธานีเปิดให้บริการ ก่อนที่คณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากรจะเข้ามาเพื่อหาทางเก็บรักษาสถาปัตยกรรมภายในโรงแรมดุสิตธานีไว้ให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เครือโรงแรมดุสิตธานีจะรื้อถอนอาคารทั้งหมด และปรับปรุงพื้นที่บริเวณนี้ให้สอดรับกับความทันสมัย และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี

ค่าธรรมเนียมธุรกรรมออนไลน์

นับว่าเป็นก้าวใหญ่สำหรับทั้งวงการธนาคารและสังคมไทย เมื่อธนาคารยักษ์ใหญ่ต่างพร้อมใจกันประกาศยกเลิกค่าธรรมเนียมสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์ ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อผลักดันให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมไร้เงินสด (Cashless Society)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า การยกเลิกค่าธรรมเนียมอาจจะทำให้ธนาคารต่างๆ สูญเสียกำไรสุทธิไปกว่า 9,000 ล้านบาท แต่ก็ทำให้ธนาคารสามารถลดค่าใช้จ่ายบางส่วน เช่น ลดจำนวนตู้ ATM ลง ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบมาแล้ว เพราะอันที่จริงธนาคารยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายรายการ เช่น ค่าบริการที่ปรึกษา ค่าธรรมเนียมเช็ค หรือดอกเบี้ยเงินกู้ อีกทั้งยังเป็นการดึงดูดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่และกระชับความสัมพันธ์กับกลุ่มหน้าเก่า ให้ตัดสินใช้บริการธนาคาร มากกว่าผู้เล่นกลุ่ม Non-Bank

Student Weekly

นับตั้งแต่การคิดค้นเครื่องพิมพ์ดีดในศตวรรษที่ 15 วันเวลาล่วงเลยมากว่า 500 ปี สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือ และผลิตภัณฑ์น้ำหมึกทั้งหลายก็เฟื่องฟูและสร้างอารยธรรมมากมาย แต่ก็กำลังค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยอินเทอร์เน็ต ที่ใครอยากรู้อะไรก็ไปถามอากู๋ผู้รอบรู้ อย่าง Google

ย้อนไปในวันเวลาที่เราเป็นเด็กมัธยม นุ่งกางเกงขาสั้น และตัดผมสั้นเกรียนติดหนังหัว เราย่อมต้องคุ้นเคยกับนิตยสารภาษาอังกฤษที่มีชื่อว่า Student Weekly ซึ่งเป็นแบบเรียนภาคบังคับกลายๆ ให้กับนักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทุกคนที่สนใจ อยากพัฒนาตัวเองในด้านทักษะภาษาอังกฤษ

Student Weekly หรือ S Weekly เป็นนิตยสารที่มุ่งหวังให้ผู้อ่านพัฒนาความสามารถด้านภาษาอังกฤษ เนื้อหาข้างในมีตั้งแต่เรื่องบันเทิง ปริศนาอักษรไขว้ ข่าวเด่นน่าสนใจต่างๆ ตลอดจนเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อย ด้วยเรื่องราวที่อ่านสบายตาและมักมีดาราวัยรุ่นมาขึ้นปก จึงดึงดูดให้ผู้ที่สนใจภาษาอังกฤษและอาจารย์มัธยม เลือกใช้ Student Weekly เป็นสื่อกลางในการสอน

โลกที่หมุนเข้าสู่ยุคไซเบอร์ ‘ไม่ได้ทำให้เยาวชนอ่านหนังสือน้อยลง เพียงแต่อ่านจากสื่อที่แตกต่างออกไป’ เป็นคำกล่าวที่สะท้อนความเชื่อของ แกรี บอยล์ บรรณาธิการของ Student Weekly ที่ตัดสินใจพาทีมเปลี่ยนแพลตฟอร์มการนำเสนอจากรูปแบบนิตยสาร เข้าสู่โลกออนไลน์อย่างเต็มตัว

สำหรับแฟนคลับ Student Weekly ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ สามารถติดตามเกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษได้จากหน้าเว็บไซต์สำนักข่าว Bangkok Post โดยทางทีมงานยังคงคอนเซ็ปต์ภาษาอังกฤษเพื่อการเรียนรู้ อีกทั้งได้เพิ่มความน่าสนใจของเนื้อหา และยังคงมีเกมตอบปัญหาสนุกๆ ให้เราได้เล่นผสมเรียนไว้เหมือนเดิมอีกด้วย

ลิงก์หน้าเว็บ Student Weekly: https://www.bangkokpost.com/learning/learning-entertainment

ชุมชนป้อมมหากาฬ

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อของ ‘ตรอกพระยาเพชรฯ’ เป็นเส้นทางที่ผู้คนแวะเวียนสัญจรอยู่เป็นประจำ เพราะมีโรงลิเกขนาดใหญ่ ภายในชุมชนยังมีการทำกรงนกเขาชวา การทำเศียรพ่อแก่ การทำเครื่องดนตรีไทย ทั้งยังเป็นชุมชนที่อยู่คู่พื้นที่บริเวณนี้มานาน บ้านเรือนมีลักษณะเป็นรูปแบบไทยเดิม ทำด้วยไม้อายุมาก และมีการยกใต้ถุนสูง

ในปี 2502 กรุงเทพฯ เริ่มมีแผนที่จะบูรณะพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ให้ย้อนกลับไปเหมือนสมัยรัชกาลที่ 5 โดยจะสร้างสวนสาธารณะขนาดย่อมขึ้นแทนที่ชุมชนป้อมมหากาฬ ต่อมาในปี 2535 ภาครัฐเริ่มเสนอเงินทดแทนแลกกับการที่คนในชุมชนย้ายออกไปอาศัยที่อื่น แต่สำหรับบางคน ชุมชนป้อมมหากาฬเป็นมากกว่าแค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นวิถีชีวิต ครอบครัว และบ้างหวังให้เป็นที่เหยียดกายนอนแห่งสุดท้าย

สำหรับคนกลุ่มนึง อดีตคือสิ่งที่เขาหวงแหน แต่อีกกลุ่มจับจ้องไปยังอนาคต และพร้อมลืมเลือนอดีตเพื่อเดินหน้า ข้อสรุปจึงไม่พ้นการบังคับให้ย้ายออกจากชุมชนทั้งหมดในปีนี้ เซ็ตซีโร่ทุกรอยขีดบนผืนผ้าใบ

อีกไม่นาน ชุมชนป้อมมหากาฬก็จะหายล้างไปจากความทรงจำของผู้คน ซึ่งแม้สำหรับคนนอก การลืมเลือนอาจจะง่ายดาย แต่สำหรับคนใน มันคงเป็นความทรงจำที่ชุมชนจำต้องกล้ำกลืนลืม

เสือดำ

รุ่งสางของเช้าวันที่ 6 กุมภาพันธ์ เสียงปืนดังกระหึ่มตัดกับลมที่กรรโชกยอดไม้ใหญ่ ปลุกเจ้าหน้าที่กรมอุทยานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตกให้เร่งรัดสาวเท้าติดตามเสียงปืนที่ลอยมา ภาพที่พวกเขาเห็นหนึ่งในนั้นคือ เศษซากที่ถูกชำแหละของเสือดำ หม้อใบหนึ่งที่ข้างในมีหางของเสือดำนอนอยู่ พร้อมอาวุธปืนและผู้ต้องสงสัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)

ความโกรธพวยพุ่งจากทีมเจ้าหน้าที่ พวกเขาต่างตระหนักดีถึงความหวังอันริบหรี่ในการปกป้องเสือดำในฐานะสัตว์ป่าคุ้มครอง ที่เจ้าหน้าที่กรมอุทยานพบเห็นเสือดำสามี-ภรรยา อยู่เป็นประจำ เพราะพวกมันมักจะออกมานอนอาบแดดทักทายพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง

ร่องรอยกระสุนกว่า 5 นัดที่เจาะผ่านกะโหลก ลำตัว และใบหูข้างขวา บอกเล่าความโหดร้ายของนักล่าที่กระหน่ำยิงอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหานายเปรมชัยและพวกอีก 3 คน ก่อนจะมีการเข้าตรวจค้นบ้านพักของเจ้าสัวใหญ่รายนี้ และพบอาวุธปืนไรเฟิล ลูกซอง ปืนพก รวมเป็น 43 กระบอก และงาช้างอีกจำนวน 4 กิ่ง

นายใหญ่อิตาเลียนไทยและพวกอีก 3 คน ถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 6 ข้อหา ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบพยานของศาลจังหวัดทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

ไม่ว่าบทสรุปของคดีนี้จะออกมาอย่างไร แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหวนให้สังคมเรานึกถึงเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตกที่ทุ่งใหญ่นเศวรในปี 2516 จนนำไปสู่การขยับเขยื้อนอย่างต่อเนื่องในแง่ประชาสังคม ทั้งสื่อสารมวลชน ศิลปิน ตลอดจนในโลกโซเชียล

ส่วนตัวเราเองต้องขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับครอบครัวเสือดำ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสังคมไทยจะไม่ขี้หลงลืม เหมือนครั้งแล้วแล้ว และช่วยกันติดตามเพื่อไม่ให้ต้องมีเสือตายฟรี

Tags: , , , , , , , , , , ,