8 กรกฎาคม 2561 : สนามม้านางเลิ้ง

“อีกสามเดือนก็ไม่มีแล้วนะ สนามม้านางเลิ้ง” ลุงซึ่งยืนอยู่ข้างเราบนอัฒจันทร์ชั้นสองละสายตาที่มองไกลไปยังสนามแข่งม้าข้างหน้า มาขยับแว่นให้กระชับแล้วกวาดสายตามองโพยม้าแข่งที่อยู่ในมือ ในโพยนั้นมีร่องรอยของปากกาที่ขีดเน้น วงรอบชื่อม้าแข่งตัวที่ชอบแต่ละรอบเอาไว้ สักพักก็ส่งเสียงไปถึงปลายสายโทรศัพท์เพื่อส่งข่าวถึงตัวเต็งที่กำลังแซงอันดับขึ้นลงตามจำนวนตั๋วที่กดขายออกไปจากระบบ

เรากำลังยืนลุ้นม้ารายการเด็ดของวันนี้ ที่อีกสักพักหนึ่งก็คงจะปล่อยตัวออกจากซองที่อยู่อีกฟากหนึ่งของสนาม แล้ววิ่งกวดกันมาบนลู่โดยการบังคับของจ็อกกี้ที่รู้ทางกัน เพื่อพาม้าที่ตัวเองควบคุมให้ถึงหน้าเส้นอย่างเร็วที่สุด

“ต่อไปก็เหลือสนามหรั่ง แต่ผมคงไม่ไปละ” เขาหมายถึง ‘สนามฝรั่ง’ สนามราชกรีฑาสโมสร ตรงถนนอังรีดูนังต์ อีกหนึ่งสนามที่เป็นความสำราญของคนเล่นม้ามาตั้งแต่นานนม ซึ่งจะมีรายการแข่งขันสัปดาห์เว้นสัปดาห์ สลับกับสนามราชตฤณมัยสมาคม หรือสนามม้านางเลิ้ง หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ‘สนามไทย’ ที่วันนี้จะคึกคักยิ่งกว่าปกติ จนเหมือนว่าไม่ใช่ที่เดียวกันกับสนามม้านางเลิ้งในวันธรรมดาที่เงียบเหงาและร้างผู้คน

13 นาฬิกา บ่ายวันอาทิตย์

ลานจอดรถที่เคยเปิดให้คนทั่วไปเข้าไปจอดได้ในวันปกติ ตอนนี้แน่นเอี้ยดจนไม่มีที่ให้เหลือแทรก หน้าประตูทางเข้ามีโต๊ะวางโพยม้าแข่งประจำสัปดาห์ขาย ใกล้กันคือแผงให้เช่ากล้องส่องทางไกลในราคาอันละ 30 บาท สองอย่างนี้เป็นอาวุธสำคัญของคนเล่นม้า และเป็นสัญญาณบอกเราว่า วันนี้มีม้าแข่ง!

“ตั๋ว 100 บาท กับ 50 บาท ต่างกันยังไงคะ” ช่างภาพของเราร้องถามป้าซึ่งนั่งประจำตำแหน่งขายตั๋วช่อง 100 บาท “100 บาทก็ใกล้ 50 บาทก็เดินไปอีกหน่อย” ถูกของป้า เพราะที่เรายืนอยู่นี่ก็ทางเข้าแล้ว …คนฟังคำตอบคิดในใจ ส่งเงินหนึ่งร้อยบาทผ่านช่องจำหน่ายนั้นไป แล้วถือตั๋วเดินไปตามทางเข้าที่อับทึม ตามสภาพของอาคารเก่าที่มีอายุ 102 ปีในปีนี้

เมื่อเดินผ่านเครื่องกั้นที่มีเจ้าหน้าที่คอยฉีกตั๋ว ผู้คนบ้างยืนบ้างเดินขวักไขว่ บางคนนั่งขมวดคิ้วจดจ่ออยู่กับโพยม้าในมือที่ชักจะยับย่นตามการเปิดหน้า พลิกแผ่นเก็งม้าอยู่บริเวณหน้าตู้รับแทง สำหรับคนที่เพิ่งมาครั้งแรกแล้ว ก็ออกจะตื่นใจหน่อย เมื่อได้มายืนอยู่ในสถานที่เทาๆ แห่งนี้

สีเทาของวงการม้าแข่ง ต้นเหตุของมันอาจไม่ได้มาจากบรรยากาศของการพนันที่เล่นกันอย่างเปิดเผย แต่มันค่อยๆ ถูกผลักเข้าสู่มุมมืด ด้วยไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างออกหน้าออกตา ทั้งที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูอยู่ในอดีต ต่างจากการชกมวยที่เรารู้ดีว่ามีราคาต่อรองเดิมพัน แต่ก็ได้รับโอกาสในการออกสื่อและมีเวทีถ่ายทอดสด

เมื่อไม่ได้รับการเผยแพร่สู่ภายนอก นานวัน การแข่งม้าจึงกลายเป็นอีกโลกหนึ่งของคนที่ไม่เคยเข้าไปสัมผัส ทั้งที่เราสามารถดูเพื่อความบันเทิงเริงใจก็ได้ เพราะไม่ได้มีกติกาข้อไหนที่บัญญัติว่า เมื่อเข้าไปแล้ว คุณต้องเล่น

ชีวิตในสนามม้านางเลิ้งเริ่มขึ้นตั้งแต่ก่อนเที่ยง เมื่อเข้าสู่ด้านในของอัฒจันทร์ คำตอบก็กระจ่างว่าตั๋วที่ราคาต่างกันต่อครึ่งนั้นต่างกันอย่างไร พื้นที่สำหรับตั๋ว 100 บาท คือโซนที่นั่งที่อยู่หน้าเส้นชัย และเห็นการแข่งขันได้ชัดเจนทั้งจากการมองสดผ่านสายตา หรือมองภาพผ่านจอถ่ายทอดสดขนาดยักษ์ ที่มีภาพย้อนการแข่งขันให้ดูหลังจากม้าวิ่งเข้าเส้นชัยด้วย ส่วน 50 บาทนั้นจะอยู่ไกลออกไปอีกหน่อย ไกลพอที่จะทำให้มองไม่ออกว่าม้าตัวไหนเข้าวิน ก็ต้องอาศัยการมองจากจอยักษ์และฟังเสียงจากโฆษกนั้นเอาเอง

เมื่อผ่านเข้ามาด้านในแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องเดินออกไปไหนอีกจนกว่าจะหมดเวลาแข่งขันซึ่งก็ราวหกโมงเย็น หรือดูการแข่งจนอิ่มหนำใจพอ เพราะด้านในมีอาหารการกินที่พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในหลายชั่วโมงต่อจากนี้ แถมยังมีบริการเดินเร่ขายถึงจุดที่นั่งทั่วทุกชั้นอัฒจันทร์ ที่ไม่ว่าจะน้ำดื่ม บุหรี่ ผลไม้ถุง ซาลาเปา ฯลฯ

ในโพยหรือรายการม้าแข่งนั้น ระบุตารางแข่งม้าเอาไว้อย่างละเอียด บอกชื่อม้าตัวเต็งในแต่ละรอบ รอบการแข่งเริ่มต้นที่ 12.20 น. แล้วแข่งต่อเนื่องกันไปจนครบสิบเที่ยว ระยะห่างของแต่ละรอบก็ขึ้นอยู่กับการแทงม้าด้วยว่าคนเล่นจะใช้เวลากันแค่ไหน

4 นาทีของเราไม่เท่ากัน

“ตัวนี้น่ะ เป็นม้าของ….” ลุงซึ่งยืนอยู่หน้าสุดของอัฒจันทร์เอ่ยชื่อผู้หลักผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่เป็นเจ้าของม้าหลายตัว “ท่านไม่ได้เล่นหรอก แต่ท่านชอบม้า ม้าของท่านแต่ละตัวสวยๆ ทั้งนั้น” เขาเล่าต่ออย่างออกรส และเล่าถึงที่มาของม้าตัวเต็งให้ฟังว่ามาจากฟาร์มไหนหรือมีใครเป็นเจ้าของ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโคราช

“คนเยอะนะคะ” เราเปรยจากสิ่งที่เห็น

“ไม่เยอะ” ลุงลากเสียงยาวค้านคำของเรา เขาบอกว่าที่เห็นอยู่นี้น้อยกว่าเมื่อก่อนมาก แล้วเล่าว่าสมัยก่อนคนเต็มอัฒจันทร์ ทุกวันที่มีการแข่งม้า ที่สนามแห่งนี้ทำเงินสะพัดหลักร้อยล้าน ผิดกับเดี๋ยวนี้ที่ลดลงมาเหลือหลักสิบล้าน และจำนวนคนก็เหลืออยู่แค่หลักพันจากที่เคยมีสองสามหมื่น

ลู่วิ่งของม้าซึ่งเป็นสนามหญ้าสีเขียวกำลังถูกปรับแต่งให้เรียบร้อยอีกครั้งโดยเจ้าหน้าที่สนาม เพราะหากมีจุดใดที่เป็นหลุมหรือขรุขระ อาจทำให้ม้าล้มและเป็นอันตรายต่อจ๊อกกี้ได้ อุบัติเหตุเหล่านี้เคยเกิดขึ้นและทำลายอนาคตของจ๊อกกี้ประจำสนามมาแล้ว ดังนั้น ก่อนปล่อยตัวม้าจึงต้องแน่ใจว่าสนามนั้นปลอดภัยจริงๆ

“ผมมาทุกอาทิตย์เวลามีแข่ง ขับรถมาจากโคราชแป๊บเดียว รู้จักหมดแหละ ทั้งม้าทั้งจ๊อกกี้” ประสบการณ์หลายสิบปีที่ดำเนินอยู่ในสนามม้าแห่งนี้ ถ่ายทอดสู่เราอย่างไม่มีพิธีรีตองและไม่ต้องตั้งคำถาม เขาว่าหากจะเล่นม้าต้องศึกษาให้ดี เพราะการจะแพ้ชนะมีปัจจัยที่มาทั้งจากม้าและผู้ควบคุม ข้อมูลเหล่านี้ คนที่อยู่ในสนามเป็นประจำย่อมรู้ชั้นเชิงกันดี หรือไม่แล้วก็ยังมีข้อมูลให้ดูอยู่ในเว็บไซต์ ทั้งที่มาของม้า สถิติการแข่งขันที่ผ่านมา ฯลฯ ซึ่ง Siam Horse Club เป็นชุมชนของคนเล่นม้าที่มีเว็บบอร์ดให้เข้าไปพูดคุยกัน

ม้าบางตัวที่เจนสนามและมีผลงานดีก็จะมีผู้เล่นเยอะหน่อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่แน่เท่ากับการได้เห็นม้าตัวเป็นๆ ในสนามด้วยตาตัวเอง กล้องส่องทางไกลถูกยกจ่อขึ้นในระดับสายตาเพื่อวิเคราะห์ม้าและจ๊อกกี้ที่กำลังเตรียมพร้อมในรอบถัดไป

“มือใหม่นี่ยาก ถ้าจะเริ่มเล่น ก็ให้เริ่มที่ Place 3 จะพอมีโอกาส ถ้ามีของเราเข้าวิน 1 ใน 3 สามอันดับ เราก็ได้ ตัวไหนเป็นตัวเต็งก็ดูบนกระดาน ตัวไหนคนเล่นเยอะก็ตามน้ำเขาไปก่อน” บนกระดานที่ตั้งอยู่ในสนาม จะมีไฟสีแดง น้ำเงิน เขียว ฟ้า ปรากฏขึ้นที่หมายเลขของม้าแข่งตัวเต็งตามลำดับ ไฟเหล่านี้จะเปลี่ยนอันดับไปเรื่อยๆ ตามราคาและจำนวนตั๋วพนันแบบ Win และ Place ที่ถูกกดซื้อไป Win คือ แทงม้าตำแหน่งที่ 1 เท่านั้นถึงจะได้รางวัล ส่วน Place คือแทง 3 ตำแหน่ง หากม้าเข้าที่ 1-3 ก็ยังได้รางวัล แต่ก็เป็นตัวเงินที่น้อยกว่าการแทงแบบ Win

“อีกสี่นาทีจะปล่อยม้าแล้วนะครับ รีบหน่อยๆ ห้าสิบเก้า ห้าสิบแปด…” ระหว่างที่รอให้นักเล่นตัดสินใจ โฆษกในสนามจะคอยประกาศและนับเวลาถอยหลัง เพื่อกระตุ้นให้รีบซื้อตั๋วแทงม้า ซึ่งมีจุดให้ซื้ออยู่ทั้งด้านหน้าและด้านหลังอัฒจันทร์ แต่สี่นาทีของเขานั้นยาวนานกว่านาฬิกาบนข้อมือเรา ช่วงว่างระหว่างวินาทีของเขาในบางครั้งก็กินเวลาไปมากกว่าหนึ่งนาที ดังนั้นสี่นาทีที่เขาว่า จึงเป็นเวลาที่ยาวนานเกินพอสำหรับการตัดสินใจซื้อตั๋วแทงม้า โฆษกยังประกาศชวนให้คนไปซื้อตั๋วอยู่ไม่วาง เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนในสนามได้มากพอ  

…เวลาเดินไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็ยังไม่รีบ

เสียงเชียร์ที่กำลังจะหายไปจากสนามไทย

ม้าสีหมอกดูพ่วงพีตัวนั้นมีชื่อว่าพยับหมอก ความสวยสง่าของมันทำให้เราแอบเชียร์แม้ว่าจะไม่ได้มีตั๋วแทงม้าอยู่ในมือ พยับหมอกเป็นตัวเต็งหนึ่งในสี่ที่มี คุณปู่ ดราก้อนโฟร์  วงเดือน ม้าในสายตาที่มาแบ่งเสียงเชียร์ออกไป บางครั้งก็สลับตำแหน่งให้ม้าตัวอื่นขึ้นมาเป็นตัวเต็งบ้าง ตัวเลขเหล่านี้จะไม่นิ่งจนกว่าจะถึงเวลาปล่อยม้าออกจากซอง วินาทีที่รอคอยกำลังร่นเข้ามาแล้วทุกที

“ม้าออกแล้ว ม้าออกแล้ว ม้าออกแล้ว” เสียงกู่ตะโกนดังขึ้นทั่วทิศในทันทีที่ม้าถูกปล่อยตัวออกจากซอง คนที่มีกล้องส่องทางไกลยกกล้องขึ้นมาประทับอีกครั้ง แล้วจับทิศทางไปตามการวิ่งของม้าที่ทะยานกันออกมาจากซอง ตลอด 1,200 เมตรของระยะทาง มีเสียงเชียร์ของคนดูที่นั่งกันไม่ติดที่ หรือเอาจริงๆ ก็คือนาทีนี้ไม่มีใครนั่งแล้วมากกว่า

“คุณปู่ คุณปู่ คุณปู่ คุณปู่…” เสียงเชียร์ม้าหนึ่งในสี่ตัวเต็งดังประสานกันอยู่รอบทิศ ภาพบนจอที่ถ่ายทอดสดการแข่งขันทำให้เราเห็นจังหวะการควบที่เร้าใจ ความเร็วที่ห่างกันไม่ถึงช่วงตัว เกมพร้อมจะพลิกได้ตลอดหากฝีเท้าจะแผ่วหรือมีอะไรผิดพลาดไป พยับหมอกที่เราเชียร์อยู่นั้นหลุดกลุ่มนำออกไปจนไม่เหลือให้ลุ้นสามอันดับแล้ว เราจึงส่งใจไปยังม้ารองซึ่งตามดรากอนโฟร์มาติดๆ ม้าตัวนั้นคือคุณปู่ที่คนเอาใจเชียร์กันค่อนสนาม เสียงที่กระหึ่มอัฒจันทร์อยู่นั้นกินเวลาเพียงหนึ่งนาทีต้นๆ ดรากอนโฟร์ก็ส่งตัวเองเข้าเส้นชัย โดยมีคุณปู่ตามมาติดๆ

“ม้าของ…. เข้าวิน” ลุงเอ่ยชื่อ ‘ท่าน’ ซึ่งเป็นเจ้าของม้าบอกเล่ามาถึงเรา หน้าตาเขายิ้มแป้นด้วยความสนุก แม้จะออกตัวกับเราว่าวันนี้เขาไม่ได้แทงตั๋วตัวไหนทั้งนั้น เสียงคนดูด้านหลังเรายังเซ็งแซ่วิพากษ์วิจารณ์การแข่งขันเมื่อครู่ บางคนคุยฟุ้งด้วยความดีใจเมื่อม้าที่ตัวเองแทงไว้ทำเงิน คนที่พลาดบ้างก็หัวเสียต่างกันไปมากน้อย ส่วนในสนาม จ๊อกกี้กำลังควบม้าเหยาะๆ เข้ารับรางวัลซึ่งจัดเป็นพิธีมอบเล็กๆ ตรงเส้นชัย ขณะที่ม้าตัวอื่นกำลังเดินเข้าคอกพักซึ่งอยู่ด้านหลังอัฒจันทร์

เพียงสักพัก ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่วงจรเดิม ก่อนที่ม้าแข่งชุดใหม่จะเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อจะรอปล่อยออกจากซองอีกครั้ง

“อีกหน่อยสนามนี้ปิดแล้ว ลุงก็ยังไปเล่นที่สนามฝรั่งได้นี่” เราพูดกับลุงถึงเรื่องนี้อีกครั้งเบาๆ

“ไม่ล่ะ มันไม่เหมือนกัน ไม่ผูกพัน” ลุงยิ้มน้อยๆ แล้วกวาดตาดูที่โพยอีกครั้ง เอี้ยวตัวไปตะโกนคุยกับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างบนอัฒจันทร์ พร้อมกับกดโทรศัพท์หาใครสักคนเพื่อคุยถึงม้าตัวเต็งในรอบถัดไปที่ปลายสาย

Fact Box

  • การแข่งม้าในประเทศไทยเริ่มมีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปและทอดพระเนตรการแข่งม้าในต่างประเทศ จึงจัดการแข่งขันครั้งแรกในประเทศไทยที่ท้องสนามหลวง ก่อนจะก่อตั้งสนามราชกรีฑาสโมสร ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งช่วงแรกมีฝรั่งเป็นกรรมการ และเป็นที่นิยมเรียกกันว่า ‘สนามฝรั่ง’
  • สนามราชตฤณมัยสมาคม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ในพระราชูปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นิยมเรียกกันว่า ‘สนามไทย’ ส่วนสนามม้านางเลิ้งนั้นก็เป็นการเรียกตามตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอยู่ในย่านนางเลิ้ง และมีกำหนดจะส่งมอบพื้นที่คืนสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในเดือนตุลาคมนี้
  • หลังการปิดตัวของสนามม้านางเลิ้ง จะยังเหลือสนามม้าแข่งที่เป็นความบันเทิงของคนเล่นม้าในกรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียว คือสนามราชกรีฑาสโมสร หลังจากที่เคยจัดแข่งม้าสลับกันไปทุกสัปดาห์ในวันอาทิตย์
Tags: ,