อาชญากรรมและการลงทัณฑ์

เมื่อหลายปีก่อน หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่าความพยาบาทเป็นของหวานจากละครเรื่องล่า’  โดยเป็นคำพูดที่ครูชาวญี่ปุ่นที่สอนตัวละครมธุสรแต่งหน้าไปฆ่าล้างแค้นทรชนที่ข่มขืนลูกของเธอจนเป็นบ้า ว่าเป็นคติแบบญี่ปุ่นที่ต้องแก้แค้น และหลายคนเคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘revenge better served cold’ ซึ่งเป็นพังเพยฝรั่ง ความหมายว่าการล้างแค้นจะดีกว่าเมื่อมันถูกกระทำในภาวะที่ผู้ถูกล้างแค้นตายใจ หรือไม่รู้แล้วว่าถูกล้างแค้นด้วยเรื่องอะไร’ served cold คือการเก็บความแค้นไว้ชำระทีหลัง เพื่อหากลเม็ดเด็ดพรายให้ผู้ถูกล้างแค้นเจ็บปวดที่สุดจนถึงตาย  ไม่ใช่การล้างแค้นแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ที่พุ่งเข้าห้ำหั่นกันทันที

มนุษย์ หรือสัตว์บางชนิดมีสัญชาตญาณในการตอบโต้เอาคืนเมื่อถูกกระทำความรุนแรงหรือถูกกระทำให้เกิดความคุมแค้น ทั้งกระทำตอบโต้เองหรือพรรคพวกเพื่อนพ้องเป็นฝ่ายกระทำการล้างแค้น  ซึ่งในความมีอารยธรรมของมนุษย์ ทำให้มีการคิดค้นระบบยุติธรรม โดยใช้ตัวกลางคือศาล กระบวนการยุติธรรมมาเป็นผู้กำหนดบทลงโทษที่เหมาะสม แทนการใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้การชำระแค้นนั้นมีโอกาสกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวแล้วขยายความรุนแรงออกไปอย่างไม่จบสิ้น กระบวนการยุติธรรมถูกพัฒนา เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละยุคสมัย โดยในช่วงหลัง มีการนำเอาแนวคิดแบบมนุษยนิยมเข้ามากำกับ 

แนวคิดแบบมนุษยนิยมคือการเชื่อมั่นในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่หากคนทำผิดเข้ารับกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่ดี ก็จะมีโอกาสปรับตัวและเป็นประชากรที่มีคุณภาพต่อสังคม ได้ไถ่บาป และในความเป็นสัตว์สังคม มนุษย์ย่อมมีความเกี่ยวพันกับคนรอบตัวทั้งระดับสายเลือดและระดับสังคม การล้างแค้นที่รุนแรงถึงความตาย อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้ที่อาชญากรนั้นเกี่ยวข้องด้วย เช่นเราอาจรู้ว่า อาชญากรสักคนหนึ่งวางแผนก่อเหตุรุนแรงและทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยมีเหตุผลทางอารมณ์เพราะถูกกระทำมาอย่างยาวนาน แต่ขณะเดียวกัน อาชญากรคนนั้นก็มีลูกเล็ก หรือพ่อแม่แก่เฒ่าที่ต้องดูแล ซึ่งเมื่อเทียบสิ่งที่เขาโดนมากับสิ่งที่เขาก่อ เขาอาจเป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง

ประเด็นหนึ่งที่มุ่งหวังเรียกร้องให้การลงโทษใช้การขัดเกลาทางสังคมแทนการประหารให้สิ้นชีวิต คือเพื่อป้องกันการประหารผิดตัวและไม่สามารถชดใช้ชีวิตให้ผู้ถูกประหารได้แล้ว ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่นำเสนอภาพนี้แบบค่อนข้างสุดโต่ง คือเรื่อง The Life of David Gale (ฉาย ..2546) ตัวเดวิด เกล แสดงโดยเควิน สเปซี่ย์ เป็นผู้ที่ต่อต้านโทษประหาร และทุ่มชีวิตกับอุดมการณ์ของตัวเองจนกระทั่งวางแผนจัดฉากฆาตกรรมและโดนโทษประหาร ก่อนที่นักสืบหญิง (เคท วินสเลท) จะมาพบหลักฐานจากสิ่งที่เดวิด เกล ทิ้งไว้ว่า มันคือการจัดฉากให้ตัวเองถูกประหาร โดยคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันพร้อมจะตกเป็นเหยื่อเพื่อส่งเสียงตะโกนก้องไปยังสังคม  

ทั้งแนวคิดมนุษยนิยมและแนวคิดชดใช้ด้วยชีวิต ยังเป็นแนวคิดที่ถกเถียงกันถึงทุกวันนี้ว่าอะไรดีกว่ากัน  บางคดีอาชญากรรมที่โหดเหี้ยม สะเทือนขวัญมาก ประชาชนในสังคมอาจเชื่อว่า ผู้ก่อเหตุมีสภาพจิตของความเป็นอาชญากรเต็มรูปแบบ ซึ่งกระบวนการขัดเกลาทางสังคมไม่สามารถใช้ได้นอกจากประหารให้ตายตกไปตามกัน เพราะออกมาก็มีโอกาสก่อเหตุซ้ำเรื่อยๆ เราต่างก็คงเคยทราบว่ามีหลายคดีที่ผู้ก่อเหตุออกจากคุกแล้วมาก่อเหตุซ้ำอีก เช่น กรณีนายหนุ่ย หรือติ๊งต่าง ซึ่งเป็น ประชากรตกขอบไม่เคยอยู่ในการสำรวจของสำมะโนประชากร ก่อเหตุฆ่าข่มขืนเด็กวัย 6 ขวบในปี ..2556  เมื่อสู่กระบวนการศาลก็พบความจริงน่าตื่นตะลึงว่า อาชญากรรายนี้สารภาพว่าเคยข่มขืนเด็กมาแล้วกว่า 10 ครั้งและฆ่าเหยื่อ 4 ครั้ง และก่อนจะเกิดคดีในปี 2556 ก็เพิ่งพ้นโทษจากคดีอื่นมา

  เป้าหมายของการลงโทษที่สำคัญที่สุด คือการเยียวยาจิตใจเหยื่อหรือครอบครัวผู้ตกเป็นเหยื่อ แต่วิธีใดเล่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะเมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว บาดแผลทางกายหรือใจก็ยังอยู่กับเหยื่อและครอบครัวตลอดไป แม้อาชญากรถูกประหารแต่ความทรงจำจะหวนกลับมาทำร้ายเหยื่อและผู้เกี่ยวข้องกับเหยื่อได้เป็นระยะ  เหยื่อและครอบครัวอาจเจ็บปวดเมื่อเห็นว่า อาชญากรได้รับการลดโทษจนสามารถออกมาใช้ชีวิตในสังคมได้อีก  แต่ความตายของอาชญากรคือการรับประกันความพึงพอใจของเหยื่อและครอบครัวได้เสมอไปจริงหรือ ? อย่างในประเทศไทย เราถูกสอนด้วยคติพุทธว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรก็อาจทำให้เหยื่อและครอบครัวเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจว่า เรา พอ’ หรือไม่กับการชดใช้ที่ได้รับแบบชีวิตแลกชีวิต โดยกระบวนการยุติธรรมที่ให้คนกลางมาจัดการ

ไม้กางเขนบนเส้นทางบาป

แก่นหลักของนิยายเรื่องนี้คือการทำความเข้าใจกับสิ่งที่กล่าวมาว่าแล้วการชดใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมบทความชิ้นนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของนวนิยาย เรื่องเปิดด้วยการเล่าถึงซาโอริเด็กหญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไปแอบคบกับฟูมิยะ เด็กหนุ่มรุ่นพี่ และเปิดปมนั้นทิ้งค้างไว้ ก่อนจะเปิดฉากใหม่ เล่าถึงครอบครัวๆ หนึ่งคือครอบครัวของนากาฮาระกับซาโยโกะ มีลูกสาววัยแปดขวบชื่อมานามิ วันหนึ่ง เด็กหญิงถูกฆาตกรรมโดยพบศพถูกเทปกาวมัดมืดมัดเท้า และเอาลูกบอลอุดปากไว้ในห้องน้ำ จากการสืบสวนแกะรอยของตำรวจพบว่า มีขโมยบุกเข้ามาในบ้านในช่วงที่ซาโยโกะออกไปธุระข้างนอกชั่วครู่ และต่อมาขโมยคนนั้นคือฮิรูคาวะถูกจับได้ ซึ่งฮิรูคาวะเป็นคนที่ต้องทัณฑ์บนในคดีอื่นอยู่ด้วยซ้ำ เขาเพิ่งออกจากเรือนจำ ใช้ชีวิตแบบคนเร่ร่อน ชอบเสี่ยงดวงตามร้านปาจิงโกะ 

เมื่อบุกเข้าไปขโมยของก็พบว่ามีเด็กหญิงอยู่ในบ้าน ฮิรูคาวะอ้างว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาจะทำให้มานามิถึงตาย เพียงแค่ให้เงียบ และพยายามอ้างการสำนึกผิดต่างๆ นานา โดยฮิราอิ ทนายจำเลยพยายามสู้คดีให้ฮิรูคาวะ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องโดนโทษประหารชีวิตเนื่องจากเป็นการก่อคดีซ้ำซาก แต่ความตายของฮิรูคาวะไม่ได้ทำให้ครอบครัวนากาฮาระรู้สึกถึงการได้รับการชดใช้ ครอบครัวเขาแตกสลายไปแล้วเพราะจุดร่วมแห่งการมีชีวิตครอบครัวของพวกเขาสูญเสียไปแล้ว  ซาโยโกะขอหย่าขาดจากฮิรูคาวะหลังจากนั้น โดยที่เขาก็ไม่ได้ติดตามชีวิตของอดีตภรรยามากนัก 

หลายปีต่อมา นากาฮาระได้รับการติดต่อจากตำรวจว่า ซาโยโกะถูกฆ่าตาย โดยชายสูงอายุคนหนึ่งที่มีประวัติแทบจะคล้ายคลึงกับฮิรูคาวะ ความสงสัยในคดีนี้ทำให้เขาต้องพยายามแกะรอยว่าเกิดอะไรขึ้น และพบว่าช่วงที่ซาโยโกะหายไป เธอเบนเข็มชีวิตตัวเองไปเป็นนักเขียนนักรณรงค์ที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องระบบการลงทัณฑ์ที่ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต การสืบสาวคดีของซาโยโกะ ทำให้นากาฮาระเข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของซาโอริและฟูมิยะที่เรื่องเปิดไว้ข้างต้น ซึ่งต่อมา ทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตคนละทาง ฟูมิยะมีชีวิตที่เฟื่องฟูในฐานะแพทย์ มีภรรยาและลูก ขณะที่ซาโอริชีวิตดูเหมือนจะดิ่งลงฝั่งตรงข้าม ที่ทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จและกลายเป็นคนทำงานอาชีพกลางคืน การเข้าไปรับรู้เรื่องราวที่ถูกปกปิดของทั้งคู่  ทำให้นากาฮาระต้องตั้งคำถามกับระบบการลงโทษว่าจริงหรือที่การประหารให้ตายตกไปตามกันจะชดใช้ทุกอย่างได้

ย้อนกลับไปที่ชื่อของนวนิยาย ชื่อที่แปลจากภาษาญี่ปุ่นคือไม้กางเขนกลวงไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ของการลงทัณฑ์ เราอาจเห็นจินตนาการเห็นภาพผู้แบกไม้กางเขนคือผู้ที่ต้องทนแบกรับสิ่งแสนหนัก แต่ขณะเดียวกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นคือการแบกรับความหนักหน่วงของความผิดแห่งตนจริงๆ มันอาจเป็นเพียงไม้กางเขนกลวงวางเปล่าที่น้ำหนักเบา เพื่อหลอกตาให้สังคมรู้ว่าฉันยอมชดใช้ความผิดนี้แล้วเท่านั้น แต่ผู้ที่แบกมันไว้ไม่ได้มีความทุกข์ ความกดดันทรมานจากน้ำหนักที่ทิ้งตัวลงมาจากไม้กางเขนก็ได้ไม่ได้มีความทุกข์อะไรเพราะแค่อาศัยการเล่นละครตบตากระบวนการยุติธรรมว่าไม่ได้ตั้งใจ’ ‘สำนึกผิดจากหัวใจก็ได้รับการลดหย่อนโทษ และแค่ยอมรับการตีตราที่ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเจ้าตัว ก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติไม้กางเขนก็เป็นแค่อุปมาที่ไม่มีใครมองเห็นจริงๆ เสียด้วยซ้ำ

ผู้ที่ไม่ยอมรับไม้กางเขนกลวงอย่างซาโยโกะ จึงต้องลุกมาสู้เพื่อให้การลงทัณฑ์นั้นกลายเป็นความแสนสาหัสของผู้ที่ต้องแบกรับอย่างแท้จริงให้เหมือนไม้กางเขนไม้ตันหนัก และต้องถูกทิ่มแทงทรมานเช่นเดียวกับพระเยซู

บทชดใช้บาป

การค้นพบว่าซาโยโกะไปเป็นนักรณรงค์เรื่องระบบยุติธรรม ทำให้นากาฮาระรู้ว่า อดีตภรรยาทุ่มเทกับการเก็บข้อมูลถึงขนาดเข้าพบฮิราอิ ทนายจำเลยในคดีที่ลูกสาวของเขาโดนฆ่า เพื่อขอสัมภาษณ์บันทึกความเห็น สำหรับฮิราอิ การประหารให้ตายตกไปตามกันไม่ใช่วิธีคิดแบบมนุษย์นิยมที่ควรต้องให้โอกาสอาชญากรกลับใจมาแก้ตัว แต่เขามองว่าสุดท้ายความตายมันก็คือความว่างเปล่าเพราะเป็นแค่การจบปัญหาง่ายๆแม้กระทั่งตัวฮิรูคาวะที่ฆ่าลูกของนากาฮาระ ก็ไม่ยื่นอุทธรณ์คดี เพราะไม่สนใจในสิ่งที่ตัวเองทำมาแล้วแค่ขอให้เรื่องนี้มันจบๆ ไป เขาไม่ได้คิดสำนึกผิดที่จะชดใช้ เพียงแต่เห็นว่ามันยุ่งยาก ประกอบกับเจ้าตัวเองก็เป็นคนอายุมากแล้ว ออกจากคุกไปก็ไม่รู้จะทำอะไร  

ฮิราอิมองว่า การลงโทษด้วยความตายไม่ใช่ทางออกของทุกปัญหา แต่ละคดีไม่ได้ต้องการการเยียวยาหรือการรับผิดชอบในลักษณะเดียวกัน ซึ่งบางครั้งเหยื่อหรือครอบครัวเองก็ยังไม่รู้ชัดว่าตัวเองต้องการการเยียวยาแบบไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเฉพาะหน้าที่ความแค้นเข้ามาควบคุมอารมณ์ไว้ทั้งหมด เมื่อเวลาทิ้งช่วงไป อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอาจต้องการการชดใช้ในอีกแบบหนึ่ง อาจไม่ใช่การตัดปัญหาด้วยความตายแต่ต้องการให้อาชญากรรับผิดชอบชั่วชีวิต

ปลายทางของความแค้นเป็นอย่างไร ภาพยนตร์ทางฝั่งเอเชียหลายๆ เรื่องพูดถึงการล้างแค้น ผู้กำกับหนังที่ขึ้นชื่อมากเรื่องการเล่าเรื่องการล้างแค้นคือพักชานวุค ซึ่งเขาได้ทำหนังไตรภาคความแค้นขึ้นมา 3 เรื่องที่มีปลายทางความแค้นไม่เหมือนกัน เรื่องแรกคือ Sympathy for Mr Vengeance เรื่องที่สอง คือ Old Boy และเรื่องที่สามคือ Sympathy for Lady Vengeance แต่สำหรับ ไม้กางเขนบนเส้นทางบาปการชำระแค้นก็เป็นไปตามที่ฮิราอิพูดคือทุกคนไม่ได้ต้องการการชำระแค้นด้วยการฆ่าให้ตายตกไปตามกันอย่างเดียวในความเชื่อสายพุทธศาสนา เรามีความเชื่อเรื่องกรรม ที่ทำหน้าที่ของมันเอง การสืบเสาะเรื่องคนฆ่าซายาโกะของนากาฮาระโยงไปถึงเหตุการณ์ในอดีตคือเรื่องของซาโอริและฟูมิยะ ทำให้เขาเห็นกลไกการจัดการของกรรมที่ชีวิตของซาโอริตกต่ำลงหลังทำ กรรมหนักร่วมกับฟูมิยะ จนซาโอริเองไม่รู้สึกว่าตัวเองเหลือคุณค่าในชีวิต ดำดิ่งลงสู่เหวแห่งหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากความผิดบาปที่โหมไหม้ในรู้สึก

ขณะเดียวกันฟูมิยะเองแม้จะมีชีวิตที่ดี เป็นหมอ มีครอบครัว แต่กรรมหนักในครั้งนั้นมันก็คือโหมไหม้ในรู้สึกของเขาไปตลอดชีวิตเช่นกัน เขาเฝ้าเพียรชดใช้ไถ่บาปด้วยวิธีของเขาเอง แม้ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะไม่มีโอกาสรับรู้ได้ว่า ได้ทิ้งอิทธิพลอันรุนแรงต่อชีวิตของคนทั้งสองไว้เพียงใด แต่ทั้งสองคือคนที่ต้องแบกไม้กางเขนตันหนักและบาดแผลฉกรรจ์อันเกิดจากมโนสำนึกของตัวเองอยู่ชั่วชีวิต 

ท้ายที่สุดแล้ว ฮิงาชิโนะ เคโงะ ก็ชี้ทางไว้กลายๆ ถึงบทสรุปของอาชญากรรมและการลงทัณฑ์ไว้ว่า ไม่มีโทษใดที่หนักเทียบเท่ากับโทษที่เกิดจากมโนธรรมของคนกระทำบาปผิดนั้นลงโทษตัวเอง เพราะมันคือการจองจำคนๆ นั้นไว้กับความรู้สึกอันเลวร้ายอย่างยาวนาน ไม่สามารถอยู่อย่างมีความสุขได้ในทุกลมหายใจ และเมื่อเขาไม่มีความสุขกับสิ่งแสนหนักที่ต้องแบก เขามีทางเลือกที่จะพยายามถ่ายถอนมันด้วยสองวิธีคือการทำให้ชีวิตตัวเองพินาศเพื่อชดใช้ หรือสร้างสรรค์สิ่งดีๆ มาถ่ายถอนให้น้ำหนักไม้กางเขนมันบางเบาลงไปบ้าง และวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวร’ จะเป็นผู้ตัดสินเองว่าควรจะปลดปล่อยเขาออกจากความแค้นได้หรือยัง  

นิยายเรื่องนี้คือนิยายที่สะท้อนแนวความคิดเรื่องมนุษยนิยม ที่เชื่อในเรื่อง จริยธรรมสากลเชื่อในเรื่องจิตสำนึกของตัวมนุษย์เอง เมื่อเกิดปัญหา เปิดโอกาสให้คนนั้นได้เรียนรู้ถึงผลกระทบจากสิ่งที่เขาทำ เขาจะใช้ปัญญาเพื่อการแก้ไขมันให้ดีที่สุด เพื่อชดเชยความผิดพลาดได้ แต่เบื้องต้นคงต้องขึ้นกับกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่ดีก่อน 

Tags: , ,