สำหรับผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษแล้ว ระบบการสะกดคำในภาษาอังกฤษนับว่าเป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวไม่น้อย นั่นก็เพราะรูปเขียนไม่ค่อยจะสอดคล้องกับวิธีออกเสียงจริง เขียนอย่างเดียวกันกลับออกเสียงหลายอย่างได้ (เช่น -ough ในคำว่า bough, dough, cough, rough, และ through) หรือเขียนคนละอย่างแต่กลับออกเสียงเหมือนกัน (เช่นส่วนที่เป็นตัวหนาในคำว่า share, nation, champagne, fuchsia, acacia กลับออกเสียง sh เหมือนกันหมด)

ฟังเสียงคำว่า dough
ฟังเสียงคำว่า cough 
ฟังเสียงคำว่า through

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวอักษรบางตัวที่เราเห็นอยู่จะจะ ยังดันไม่ออกเสียงเสียดื้อๆ หรือที่เราเรียกว่า silent letter อีก เช่น palm หรือ honest ยังความปวดใจและทดท้อมาสู่คนเรียนภาษาอังกฤษมานักต่อนัก จนหลายคนอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ถ้าไม่ออกเสียงแล้วจะใส่มาทำไม!

สัปดาห์นี้ เราจะไปไขปริศนาและดูกันว่า silent letters พวกนี้มาจากไหน

1. แต่ก่อนก็ออกเสียงอยู่หรอก

Silent letter ในคำหลายๆ คำในภาษาอังกฤษไม่ใช่สิ่งที่คนโบราณจงใจใส่มาสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าหรือเพื่อให้ปุถุชนคนรุ่นหลังจัดแข่ง Spelling Bee ได้แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าตัวอักษรเหล่านี้เคยออกเสียงในสมัยก่อนด้วย

ตัวอย่างคำประเภทนี้ก็เช่นคำว่า knight ที่แปลว่า อัศวิน (ปัจจุบันพ้องเสียงกับคำว่า night) คำนี้ในสมัยอังกฤษเก่าเคยออกเสียงครบทุกตัวอักษร ถ่ายเสียงได้ประมาณว่า คนีฆทฺ (ฆ ตัวนี้แทนเสียงขากๆ คล้ายเสียงท้ายในคำว่า ich ในภาษาเยอรมัน หรือคำว่า loch เวลาชาวสก็อตแลนด์ออกเสียง) แต่ต่อมาภายหลังคนดันไม่นิยมออกเสียง k หน้า n แล้ว เสียง k จึงหายไป

แต่เมื่อเสียงหายไป แต่รูปเขียนเปลี่ยนตามไม่ทัน จึงหลงเหลือตัว k โด่เป็นซากอารยธรรมคล้ายตอม่อโครงการโฮปเวลล์ไว้ให้ดูต่างหน้านั่นเอง

คำที่มี silent letter เพราะสาเหตุเดียวกันนี้คำอื่นๆ ก็เช่น คำที่เขียนขึ้นต้นด้วย kn แต่ตัว k ไม่ออกเสียงเช่น know, knife, knee คำที่ขึ้นต้นด้วย wr แต่ออกเสียงแค่ r เช่น write, wreak, wring รวมไปถึงคำที่สะกดขึ้นต้นด้วย gn แต่ตัว g ไม่ออกเสียง เช่น gnat และ gnaw

ฟังเสียงคำว่า gnat
 

2. ภาษาต้นทางไม่ได้ออกเสียงอยู่แล้ว

ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เที่ยว “หยิบยืม” คำจากภาษาอื่นไปทั่วมากเป็นมือวางอันดับต้นๆ แถมเวลายืมบางครั้งยังไม่ได้เอามาแต่รูปเขียน แต่ยังพยายามออกเสียงเหมือนเขาอีกต่างหาก

หลายครั้งในกรณีที่ภาษาต้นทางไม่ได้ออกเสียงรูปสะกดครบทุกตัวอักษร บ่อยครั้ง ภาษาอังกฤษก็เห็นช้างขี้ขี้ตามช้างและไม่ออกเสียงเช่นกัน ตัวอย่างเช่นคำว่า heir ที่แปลว่า ทายาท คำนี้แม้โดยกำเนิดจะเป็นคำละติน แต่ภาษาอังกฤษรับผ่านทางภาษาฝรั่งเศส ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการละเสียง h ทำให้ตัว h ในคำว่า heir ไม่ออกเสียงเหมือนในภาษาฝรั่งเศสนั่นเอง

เรามักจะเจอ silent letter ลักษณะนี้จากคำที่ยืมมาจากภาษาฝรั่งเศสเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น coup d’état (รัฐประหาร), bourgeois (ชนชั้นกลาง), debris (ซากปรักหักพัง), rendezvous (ที่นัดพบ), หรือคำที่ไพเราะที่สุดในภาษาอังกฤษ นั่นก็คือ buffet นั่นเอง

ฟังเสียงคำว่า bourgeois
ฟังเสียงคำว่า rendezvous

3. ยืมมาแล้วออกเสียงไม่เข้าปาก

บางครั้ง คำที่ภาษาอังกฤษไปลักพาตัวมาเป็นของตัวเองก็ดันมีเสียงหรือเสียงควบกล้ำที่ไม่มีในภาษาอังกฤษ ผลก็คือคำเหล่านี้ออกเสียงไม่ตรงกับรูปเขียนซึ่งอาจยังสะท้อนวิธีการสะกดคำหรือออกเสียงคำนั้นในภาษาต้นทาง (คล้ายๆ กับที่คนไทยหลายคนออกคำว่า view ว่า วิว แต่เสียง v จะไม่ใช่เสียงเดียวกับ ว หรือออกเสียงเรียกแอปพลิเคชั่น Line ว่า “ลาย” แม้จะเขียนถ่ายเสียงว่า ไลน์ แบบ น ข้างท้ายก็ตาม)

การออกเสียงไม่ตรงรูปเขียนนี้บ่อยครั้งก็ออกมาในรูป silent letter เช่นคำว่า psychology (จิตวิทยา) แม้คำนี้ต้นกำเนิดเป็นคำกรีกและเขียนขึ้นต้นด้วยตัว ψ (psi) ที่ออกเสียง p และ s ควบกัน แต่ด้วยภาษาอังกฤษไม่มีเสียงควบ ps จึงไม่ออกเสียง p นั่นเอง

ตัวอย่างอื่นก็เช่น pneumonia (โรคปอดบวม) pterodactyl (เทโรแด็กทิล สัตว์เลื้อยคลานบินได้ในยุคไดโนเสาร์) mnemonics (เครื่องมือหรือคำท่องช่วยจำ) เป็นต้น

ฟังเสียงคำว่า pneumonia

4. มีคนสู่รู้

แต่เดิมในสมัยที่หนังสือยังต้องอาศัยคนคัดลอก การสะกดคำในภาษาอังกฤษยังสะเปะสะปะมาก ไม่มีมาตรฐานกลาง ทำให้คำหนึ่งๆ มีวิธีสะกดหลายแบบมาก แม้แต่ในตัวบทเดียวกันยังอาจสะกดมากกว่าหนึ่งแบบ เช่น คำว่า pity มีรูปสะกดที่ปรากฏทั้ง pity, pitty และ pittye นักพิสูจน์อักษรมาเห็นแล้วคงความดันขึ้นจนเส้นเลือดในสมองแตกตาย

แต่หลังจากมีการผลิตแท่นพิมพ์แล้ว คนก็เริ่มหันมาพยายามปฏิรูปการสะกดให้มีมาตรฐาน ปัญหาก็คือจะเอามาตรฐานมาจากไหน

ด้วยความที่ยุคนั้น ภาษาละตินนับเป็นภาษาของผู้มีการศึกษาและใช้ในวงวิชาการ อีกทั้งยังมีกระแสหวนกลับไปนิยมยุคคลาสสิก นักคิดหลายคนจึงบอกว่า รูปที่จะเป็นมาตรฐานควรสะท้อนที่มาที่ไปของคำ ถ้าคำไหนยืมมาจากภาษาละติน รูปเขียนก็ควรสะท้อนให้เห็นคำต้นทางด้วย ส่งผลให้คำหลายคำถูกจับไปขึ้นเขียงผ่าตัดแปลงโฉมเสียใหม่

ตัวอย่างเช่นคำว่า debt (หนี้) อันที่จริงแล้วคนแต่ก่อนก็ออกเสียงคำนี้โดยไม่มีเสียงตัว b อยู่แล้ว แถมยังสะกดคำนี้ว่า det, dett, dette, หรือ deytt เสียด้วยซ้ำ แต่เหล่านักวิชาการหัวใสบอกว่า คำนี้แท้จริงแล้วมาจากคำว่า debitum ในภาษาละติน ดังนั้น เราควรจะเติมตัว b ใส่เข้าไปด้วยแม้จะไม่มีใครออกเสียงก็ตาม

ในทำนองเดียวกัน คำว่า salmon ที่หมายถึงปลาเนื้อส้มที่เรากินกันก็ไม่ออกเสียง l ตั้งแต่ไหนแต่ไหน แต่ก่อนสะกดว่า samoun ด้วยซ้ำ แต่นักวิชาการบอกว่าคำนี้มาจาก salmo ในภาษาละติน ดังนั้นจึงต้องเติมตัว l เข้ามา ทำให้ salmon สะกดแบบมีตัว l จนถึงทุกวันนี้

คำอื่นๆ ที่โดนปู้ยี่ปู้ยำในลักษณะเดียวกันก็อย่างเช่น receipt ที่แปลว่า ใบเสร็จ (เติมตัว p จากเดิมสะกดว่า receite เพราะมาจาก recepta) subtle ที่แปลว่า แยบคาย (เติมตัว b จากเดิมสะกดว่า sotil เพราะมาจาก subtilis) และ indict ที่หมายถึง ฟ้องร้อง (เติมตัว c จากเดิมสะกดว่า indite เพราะมาจาก in- รวมกับ dictare ในภาษาละติน)

ฟังเสียงคำว่า indict
 

ความสู่รู้ของนักวิชาการเหล่านี้ทำให้คำบางคำที่อันที่จริงแล้วไม่ได้มาจากภาษาละตินพลอยโดนหางเลขไปด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือคำว่า island ที่หมายถึง เกาะ คำนี้แท้จริงแล้วมาจาก ieg (เกาะ) มารวมถึง land (แผ่นดิน) ซึ่งเป็นคำภาษาตระกูล Germanic คู่ สมัยสะกดว่า yland แต่นักวิชาการมาเห็นเข้าใจว่าน่าจะต้องมาจากคำว่า insula ในภาษาละตินที่แปลว่า เกาะ (เจอในคำเช่น insulate และ peninsula) ก็เลยบรรจงเติมตัว s ใส่เข้าไป นำความปวดหัวมาสู่ผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างชาติจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง

5. สะดวกแบบนี้

บางครั้ง สิ่งที่กลายมาเป็นมาตรฐานก็เกิดจากความสะดวกหรือบรรทัดฐานของคนไม่กี่คน (ชวนให้นึกถึงคำว่า แซว/แซ็ว ที่ราชบัณฑิตเพิ่งออกมาชี้แจงแก้ไขเมื่อไม่นานมานี้)

สำหรับคำในภาษาอังกฤษหลายคำเขียนขึ้นต้นด้วย gh แม้ตัว h จะไม่ออกเสียง เช่น ghost (ผี), เรื่องราวมีอยู่ว่า ในปี 1486 วิลเลียม แค็กซ์ตัน (William Caxton) นำแท่นพิมพ์เข้ามายังประเทศอังกฤษ ขณะนั้นยังไม่มีช่างเรียงพิมพ์ที่เชี่ยวชาญในอังกฤษ จึงจำเป็นต้องจ้างลูกน้องชาวเฟลมิชมาช่วยทำหน้าที่นี้

ลูกน้องชาวเฟลมิชเหล่านี้ก็ไม่ได้รู้ภาษาอังกฤษมาก แถมสมัยนั้นคู่มือการสะกดก็ยังไม่มี พอเจอคำไหนที่เทียบเคียงกับคำในภาษาแม่ตัวเอง ก็เลยเลือกสะกดตามสะดวกไปแบบนั้น

ด้วยคำที่ขึ้นต้นด้วยเสียง g หลายคำในภาษาเฟลมิชสะกดด้วย gh ช่างเรียงพิมพ์ก็เลยสะกดคำว่า gost เป็น ghost ลามไปจนถึงคำอย่าง goat, goose และ girl ก็สะกดเป็น ghoot, ghoos, และ gherle ด้วย

ในขณะที่ตัว h ในกลุ่มคำหลังไม่ได้รับความนิยมและอันตรธานไปในที่สุด แต่ตัว h ในว่า ghost กลายมาเป็นวิธีสะกดมาตรฐาน อีกทั้งยังเติมลงในคำอย่าง ghastly (น่าสะพรึง), ghoul (ปีศาจในตำนานของชาวอาหรับ), หรือ gherkin (แตงกวาดอง) อีกด้วย

 

บรรณานุกรม

  • http://www.etymonline.com/
  • Algeo, John, and Thomas Pyles. The Origins and Development of the English Language. 5th ed. Thomson Wadsworth: Massachusetts, 2005.
  • Ayto, John. Word Origin: The Hidden Histories of English Words from A to Z. 2nd ed. A&C Black: London, 2008.
  • Crystal, David. Spell It Out: The Singular Story of English Spelling. Profile Books: London, 2012.
  • Crystal, David. The Stories of English. Penguin Books: London, 2005.
  • Freeborn, Dennis. From Old English to Standard English: A Course Book in Language Variation across Time. Palgrave Macmillan: London, 2006.
  • Hill, L. A., and J. M. Ure. English Sounds and Spellings. OUP: London, 1962.
  • Hoad. T. F. (Ed.). Oxford Concise Dictionary of English Etymology. OUP: Oxford, 2003.
  • Jones, Daniel. Cambridge English Pronouncing Dictionary. Cambridge University Press: Cambridge, 2003.
  • Miles, Elaine. English Words and Their Spelling: A History of Phonological Conflicts. Whurr Publishers: London, 2005.
  • Seaton, Anne. Understanding Spelling: Making Sense of the Rules, Exceptions, and Word Formation. Learners Publishing: Singapore, 2004.
  • Skeat, Walter. A Concise Etymological Dictionary of The English Language. Forgotten Book: NY, 2012.
  • Stockwell, Robert, and Donka Minkova. English Words: History and Structure. Cambridge University Press: Cambridge, 2001.

Fact Box

ภาษาอังกฤษยังมีคำที่มี silent letter แปลกๆ อีกมาก ตัวอย่างเช่น bdelygmia (เด็ลลิกเมีย), chthonic (ธอนิก), phthalate (แธลิท), forecastle (โฟกเซิล), boatswain (โบซึน) และ halfpenny (เฮพนี)

Tags: , , ,