ช่วงปี 1999 คุณทำอะไรอยู่?

หลายคนเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนยังเป็นเด็ก และหลายคนยังไม่เกิด แต่สำหรับ ยูกับมี (แสดงโดย ธิติยา จิระพรศิลป์) ฝาแฝดหญิงพบว่าชีวิตของพวกเธอกำลังเข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในปิดเทอมฤดูร้อน เมื่อพ่อมีปัญหาหนี้สินและทะเลาะกับแม่อย่างรุนแรงเสียจนแม่ต้องหอบพาพวกเธอไปพักใจกับยายที่นครพนม ยูจึงใช้เวลาว่างไปหัดเรียนพิณซึ่งทำให้เธอได้เจอ หมาก (แสดงโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) เด็กหนุ่มลูกครึ่งที่เรียนรั้วโรงเรียนเดียวกันที่กรุงเทพฯ แต่ตัดสินใจลาออกและหวังมุ่งมั่นกับการเป็นนักพิณหาเลี้ยงตัวเอง 

ความสัมพันธ์ของทั้งสองก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้สายตาจับจ้องของมีที่รู้สึกราวกับเธอกำลังสูญเสียความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดของชีวิตไป ท่ามกลางบรรยากาศหวาดวิตกเมื่อโลกกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ศตวรรษใหม่แห่งความไม่แน่นอน

เธอกับฉันกับฉัน (2023) คืองานกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ คนทำหนังฝาแฝดที่เคยทำสารคดี WISH US LUCK ขอให้เราโชคดี (2012) เล่าเรื่องการเดินทางจากลอนดอนถึงกรุงเทพฯ ด้วยเส้นทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียน 

ความที่ ‘เธอกับฉันกับฉัน‘ สำรวจเรื่องราวผ่านสายตาของเด็กสาวในวัยที่กำลังจะเติบโตไปเป็นหญิงสาว มันจึงจับจ้องไปยังตัวละครและสิ่งที่พวกเธอเห็นด้วยสายตาอ่อนโยน ละมุนละม่อม ขณะเดียวกันก็อ่อนไหวและช่างสงสัย ตั้งแต่ความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่ ประจำเดือนครั้งแรก ไปจนถึงรายละเอียดเล็กจ้อยบนใบหน้าของหนุ่มลูกครึ่ง 

อาจจะกล่าวได้ว่า แม้หน้าหนังดูจะพูดเรื่องการเป็น ‘รักสามเส้า’ ของเด็กหนุ่มและแฝดสาว แต่เอาเข้าจริง น้ำเสียงหลักของหนังกลับเป็นการสำรวจความสัมพันธ์ของฝาแฝดมากกว่า เมื่อมีพบว่านับตั้งแต่หมากก้าวเข้ามาในชีวิต ยูก็เริ่มเหลือเวลาให้เธอน้อยลง มิหนำซ้ำสิ่งที่เป็นเสมือนพิธีกรรมของทั้งสองอย่างการหักไอติมรสส้มแบ่งให้กันกินก็ดูจะไร้ความหมายในสายตาของยู

ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวดูจะเป็นสิ่งที่หนังใช้เป็นโครงเรื่องหลัก เมื่อฝาแฝดต้องตามแม่มาอยู่ต่างจังหวัด พวกเธอก็พบว่าเรื่องราวของพ่อหายลับไปจากการรับรู้อย่างช้าๆ ทั้งนครพนมยังเป็นพื้นที่ซึ่งพวกเธอ ‘เป็นอื่น’ เพราะพูดอีสานได้ไม่คล่องปาก อาจจะเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่หมากผู้เป็นลูกครึ่งรู้สึกเช่นกัน

ความรู้สึกโดดเดี่ยวจึงตรึงอยู่ในเนื้อตัวของตัวละครตั้งแต่แรกเริ่ม โลกก่อนที่อินเทอร์เน็ตจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตทำให้พวกเธอไม่รู้ว่าพ่อกินอยู่อย่างไร นานครั้งจึงโทรศัพท์ไปหาเพื่อจะได้รับคำตอบอันเปล่าดายว่า ‘สบายดี’ ปราศจากเรื่องราวอื่นใดแฝงในนั้น

ปี 1999 และช่วงรอยต่อก่อนย่างเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ถือเป็นช่วงก่อนหน้าการมาถึงของอินเทอร์เน็ตแบบเต็มตัว กระนั้นโลกก็ตื่นตาตื่นใจกับเทคโนโลยีสดใหม่เล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ ทามาก๊อต ที่โฆษณากันว่าเป็นการ ‘เลี้ยงสัตว์’ จำลองในหน้าจอเล็กจิ๋ว, โทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นตัวปลดระวางโทรศัพท์บ้านและโทรศัพท์สาธารณะ หรือเทคนิคคอมพิวเตอร์สุดอลังการใน The Matrix (1999) ซึ่งราวกับโชว์ให้เห็นว่าศักยภาพของคอมพิวเตอร์ในการสร้างฉากจำลองแต่ละฉากนั้นทรงพลังมากเพียงใด (และอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีในเรื่องก็น่ากลัวเพียงใดด้วย!)

ในเวลานั้น ประเทศไทยเพิ่งฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง อันเป็นหนึ่งในวิกฤตที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ได้เพียง 2 ปี และหลายคนยังต้องกัดฟันสู้จนยิบตาเพื่อจะได้กลับมามีงานทำอีกหน และดูเหมือนว่าพ่อของยูกับมีน่าจะเป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้น 

หนังแนะนำตัวละคร ‘พ่อ’ ว่าเป็นชายที่ใจดีและดูสนิทสนมกับลูก ขณะที่แม่ดูเหินห่างและเข้มงวดมากกว่า ทั้งคู่ต้องหาทางรับมือคนทวงหนี้ที่บุกมาถึงประตูบ้าน ก่อนที่การถกเถียงจะลามกลายเป็นการทะเลาะครั้งใหญ่ที่ลากให้เห็นปัญหาอื่นที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรมในบ้าน (เช่น เรื่องที่ว่าพ่อของแฝดอาจมีชู้รัก) ครอบครัวของพวกเธอเลยเป็นหนึ่งในครอบครัวชนชั้นกลางที่ต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมแห่งความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

หนังยังสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูกแฝด เธอเข้มงวดและอาจจะไปถึงขั้นเย็นชา หนังถ่ายให้เห็นฉากลูกสาวให้พ่อเล่นเกมปิดตาทายชื่อพวกเธอ และมีแม่ที่ทำกับข้าวและคอยฟังอยู่ห่างๆ โดยเธอจำแนกลูกแฝดได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หากแต่ก็เป็นการทายที่เธอรู้อยู่แก่ใจเพียงลำพัง ทั้งเมื่อเธอหอบเอาลูกไปอยู่นครพนม หนังก็แทบไม่ได้ให้พื้นที่เล่าการเผชิญหน้าระหว่างเธอกับลูกๆ เท่าไรนัก 

‘แม่’ มักปรากฏตัวในลักษณะหันหลังพูดกับลูก หรือไม่ก็เอ็ดเด็กๆ ด้วยท่าทีดุดัน เทียบกับตัวละครยายแล้วเธอจึงดูห่างเหินกว่ามาก หากก็น่าสนใจที่ดูเป็นความห่างเหินซึ่งตัวหนังตั้งใจทิ้งระยะไว้เพื่อให้แม่ดูแปลกหน้าและเป็นอื่น ทั้งในสายตายูกับมี และในสายตาคนดู

มิหนำซ้ำ โลกก็ดูไม่มีอะไรแน่นอนอีกต่อไป เมื่อความผันผวนครั้งใหญ่มาเยือนในนามของ Y2K หรือ Millennium Bug อันหมายถึงปัญหาที่เกิดจากระบบการบันทึกข้อมูลจำนวนปีของหน่วย ค.ศ. ที่อาจส่งผลให้ระบบสาธารณูปโภค ธนาคาร ตลอดจนสายการบินทำงานผิดพลาด ตลอดทั้งเรื่อง ตัวละครยูกับมีแวดล้อมด้วยข่าวจากโทรทัศน์ ที่เป็นเสมือนข้อมูลสื่อสารกระแสหลักเพียงอย่างเดียวในเวลานั้น คอยรายงานความน่าสะพรึงกลัวของโลกอนาคตที่กำลังจะมาเยือนพวกเธอในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า รวมทั้งมันยังเป็นขวบปีที่ นอสตราดามุส นักพยากรณ์ชาวฝรั่งเศสชื่อก้องโลกทำนายไว้ว่าจะเป็นปีที่โลกถึงกาลดับสูญ 

เช่นเดียวกับคนอีกครึ่งค่อนโลก ฝาแฝดจินตนาการถึงโลกที่แตกดับไม่ออก แต่ความหวาดหวั่นและไม่มั่นคงนั้นเป็นของจริง จนเราอาจจะกล่าวได้ว่า ตัวละครและผู้คนในห้วงเวลานั้นต่างเติบโตมาพร้อมความสับสน งุนงงและทฤษฎีสมคบคิดมากมายมหาศาล พร้อมกันกับการคืบคลานมาถึงของโลกอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี

 อย่างไรก็ตาม ด้วยจังหวะเนิบช้าและอ่อนโยน หนังก็ตัดสลับเข้าสู่จุดที่รุนแรงในช่วงท้ายเรื่องเพื่อขับเน้นประเด็นความสัมพันธ์ของฝาแฝด ซึ่งก็น่าตั้งคำถามว่าอะไรทำให้หนังเลือกเล่าเรื่องและคลี่คลายปมด้วยท่าทีเช่นนี้ 

เมื่อหนังใช้ปมครอบครัวขับเน้นไปจนถึงช่วงท้ายเรื่อง กลับยิ่งดูแยกขาดจากองก์แรกและองก์ที่สองของหนัง ราวกับตัวหนังพยายามรีบร้อนสรุปประเด็นทุกอย่างที่อยากสื่อสารให้ครบภายในเวลา 30 นาทีสุดท้ายก่อนท้ายเครดิตจะขึ้น ส่งผลให้ความไหลลื่นที่หนังประคองมาได้อย่างดีตลอดทั้งเรื่องเสียหลักไปอย่างน่าเสียดาย

  ทั้งนี้ ธิติยา จิระพรศิลป์ ผู้รับบทเป็นทั้งยูและมีคือคนที่แบกหนังได้อย่างน่าชื่นชม การปรากฏตัวของเธอไม่เพียงชวนมองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นนักแสดงที่เข้าอกเข้าใจตัวละครของเธออย่างชัดเจน อันจะเห็นได้จากการใช้น้ำเสียง ลักษณะการพูด หรือแม้กระทั่งวิธีการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ อย่างการยิ้ม การทอดสายตามอง ชนิดที่แม้ตัวละครจะทำผมหรือแต่งตัวเหมือนกัน ผู้ชมก็ยังแยกเธอออกได้อย่างไม่ยากเย็น และด้วยความสามารถเช่นนี้เอง จึงไม่เกินเลยนักหากเราจะกล่าวว่า เธอคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่ทำให้หนังออกมามีมิติเช่นนี้

 

Tags: , , , , ,