Happiness, 안녕하세요 레드벨벳입니다!

(สวัสดีค่ะ พวกเราเรดเวลเวตค่ะ)

นับตั้งแต่การเดบิวต์ของ Red Velvet ในวันที่ 1 สิงหาคม 2014 ของ ไอรีน (IRENE) ซึลกิ (SEULGI) เวนดี้ (WENDY) และจอย (JOY) สมาชิกทั้ง 4 คน และเดบิวต์ด้วยเพลง Happiness ก่อนที่เวลาต่อมา เยริ (YERI) ได้รับการประกาศให้เข้าร่วมวงอย่างเป็นทางการในเพลง Ice Cream Cake 

ทำให้นับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2015 Red Velvet จึงมีสมาชิกรวมทั้งหมด 5 คน ซึ่งการที่เยริเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวง เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่เติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ Red Velvet ยิ่งขึ้นไปอีกขั้น

ที่ผ่านมาวงการเคป็อป (K-Pop) มีการเดบิวต์วงรุ่นน้องใหม่ในทุกปี ดังนั้นแล้วการเดินทางเข้าสู่ปีที่ 10 จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับไอดอลรุ่นพี่ ที่ต้องต่อสู้ท่ามกลางอุตสาหกรรมบันเทิงในประเทศเกาหลีมีการแข่งขันสูงมากขึ้น 

แต่กลับไม่ใช่สำหรับ Red Velvet ที่วันนี้พวกเธอได้พิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า กาลเวลาไม่สามารถทำลายความนิยมของพวกเธอได้ เพราะเหล่า ‘ลัฟวี่’ (ชื่อเรียกของแฟนคลับ) ยังคงให้การต้อนรับและสนับสนุนอยู่เสมอมา

ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นตั้งแต่ปล่อยเพลง Happiness ในปี 2014 จนถึง Cosmic ในปี 2024 พวกเธอยังคงความเป็น Red Velvet ที่มีคอนเซปต์เฉพาะตัวที่ยังชัดเจนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่เปิดโอกาสให้สมาชิกได้โชว์เสียงร้อง รวมถึงโชว์เพอร์ฟอร์แมนซ์ที่น่าสนใจ อีกทั้งในแง่ของการเป็นวง Red Velvet ยังมีความโดดเด่นเรื่องงานออกแบบที่ควบคู่มากับการออกอัลบั้มในทุกครั้งไป

ดังนั้น เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบเดบิวต์ 10 ปี พวกเธอได้ปล่อยอัลบั้มชุดใหม่อย่าง Cosmic พร้อมปล่อยเพลง Sweet Dreams ในวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา อีกทั้งได้ประกาศ ‘HAPPINESS : My Dear, ReVe1uv’ แฟนคอนเสิร์ตที่จะได้พบปะกับเหล่าแฟนคลับชาวไทย

การกลับมาในรอบ 6 ปีของ Red Velvet

การกลับมาจัดคอนเสิร์ตเดี่ยวในไทยในรอบ 6 ปีครั้งนี้ เพื่อจะได้พบกับแฟนคลับที่มากขึ้น งานจึงจัดขึ้นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี แบ่งเป็น 2 รอบการแสดง ในวันที่ 17-18 สิงหาคม ซึ่งเหล่าลัฟวี่ก็ให้การตอบรับเป็นอย่างดีจนบัตรขายหมดทุกที่นั่ง ปรากฏเป็นภาพผู้ชมกว่า 1.7 หมื่นคนร่วมงานแฟนคอนเสิร์ตครั้งนี้ 

ถือเป็นการลบคำสบประมาทที่เคยถูกผู้คนตั้งคำถามว่า ช่วงเวลาของ Red Velvet นั้นกำลังจะสิ้นสุดลง

ในแฟนคอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่ได้พิเศษเพียงแค่การกลับมาในรอบ 6 ปีของวง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีของ Red Velvet อีกด้วย จึงทำให้งานครั้งนี้เป็นส่วนผสมระหว่างแฟนมีตติงกับคอนเสิร์ต เพื่อที่จะให้กลายเป็น ‘แฟนคอนเสิร์ต’

ย้อนกลับไปเมื่อพฤษภาคม 2023 SM True ประกาศคอนเสิร์ต ‘Red Velvet 4th Concert : R to V in BANGKOK’ ที่สร้างความตื่นเต้นให้กับเหล่าแฟนคลับ เพราะการเจอกันครั้งนั้นถือเป็นการเจอกันในรอบกว่า 4 ปี 8 เดือนที่หายไป ‘ความคิดถึง’ ของลัฟวี่นั้นทำให้บัตรคอนเสิร์ตถูกขายจนหมดทุกที่นั่งภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สร้างความตื่นเต้นในหมู่แฟนคลับเป็นอย่างมาก 

ทว่าความคิดถึงได้แปรเปลี่ยนเป็น ‘ความเศร้าใจ’ ในเวลาต่อมา เมื่อคอนเสิร์ตประกาศเลื่อนเพราะปัญหาสุขภาพของสมาชิกภายในวง และจากความเศร้าใจได้แปรเปลี่ยนเป็น ‘ความผิดหวัง’ อีกครั้ง เมื่อคอนเสิร์ตประกาศยกเลิกและให้ดำเนินการขอเงินคืนค่าบัตรการแสดงให้แฟนๆ เพราะหลายคนมีหวังว่าจะได้เจอกับสาวๆ ที่หายหน้าจากแฟนชาวไทยไปเกือบกว่า 5 ปึ

ดังนั้น ‘การกลับมา’ ของ Red Velvet กับแฟนคอนเสิร์ต ‘HAPPINESS : My Dear, ReVe1uv’ จึงกลายเป็นสิ่งที่ลัฟวี่เฝ้ารอคอยและเป็นความหวังเป็นอย่างมาก 

พาดำดิ่งเรื่องราวไปกับ HAPPINESS : My Dear, ReVe1uv 

ม่านการแสดงเริ่มด้วยฉากสุดคุ้นตาจากเพลงเดบิวต์ของสาวๆ เปิดตัวด้วย ไอรีน จอย เวนดี้ และซึลกิ ในเพลง Happiness ที่แจกความสดใสให้กับเหล่าลัฟวี่อย่างเต็มเปี่ยม เป็นการย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นการเดบิวต์ที่มีเพียง 4 คน และแน่นอนที่ขาดไม่ได้ของเพลงนี้คงเป็นท่อนของเวนดี้ที่ผู้คนต่างรอคอยอย่าง

Shine on me, Let it shine on me

내 품에, Let it Shine

Shine on me, Let it shine on me

내 두 팔에, Let it Shine

หลังจากแสดง Happiness ไฟก็ดับลงและค่อยๆ มีแสงส่องเวทีรอง เยริปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่าลัฟวี่ การแสดงเพอร์ฟอร์แมนซ์เวทีกลางของเยริเต็มไปด้วยเสียงเรียก ‘คิม เยริม’ อย่างกึกก้องไปทั่วทั้งฮอลล์การแสดง ภาพที่ออกมาเป็นการแสดงย้อนแสงที่สวยงาม 

ภายหลังการโซโล่จบ ในขณะที่เยริกำลังเดินไปรวมกับเหล่าพี่ๆ เวทีหลักคล้ายภาพทับซ้อนกับวิดีโอเปิดตัวเยริ ในปี 2015 พี่ๆ ยังคงเรียก ‘เยริม’ เช่นเดิม

หลังจากนั้น พวกเธอยกระดับความสนุกไปอีกขั้นในเพลง Ice Cream Cake ที่บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุขของแฟนๆ ฝันที่เป็นจริงทั้ง 5 คนได้มายืนทำการแสดงตรงหน้า หลังจากรอคอยมานานถึง 6 ปี

สำหรับการแสดงเพลง Parade พวกเธอได้ชวนลัฟวี่ร่วมสนุกไปกับเพลง ในวันแรกเป็นการสอนท่าเต้นให้กับลัฟวี่ ช่วงหนึ่งของการสอน เวนดี้ได้เลียนแบบเสียงของล่าม ‘ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย แล้วก็หมุน’ สร้างเสียงหัวเราะและยังเป็นไวรัลจนถึงตอนนี้ ส่วนในวันที่ 2 เป็นการชวนส่งเสียง ‘ย่า’ ในท่อนร้อง 

ส่วน Sunny Afternoon เพลงความหมายดีจากมินิอัลบั้มที่ 3 อย่าง Russian Roulette 

저 넓은 품 속에 싱그런 미소에

(เธอกอดฉันและส่งรอยยิ้มมาให้)

넌 누구보다 눈이 부신 걸

(เธอคือแสงอันสดใสแสงเดียวของฉันเลยนะ)

สานต่อความสนุกด้วยเพลง Sunflower พวกเธอเริ่มต้นจากเวทีรองพร้อมดอกไม้สีประจำตัว กับเสียงร้องที่แสนสดใส รวมถึงโซโล่เพอร์ฟอร์แมนซ์พร้อมกับเสียงหวานๆ ของจอย แสงสปอตไลต์ที่ส่องพาดลงมาบวกกับผมสีแดง และชุดของเธอทำให้จอยยิ่งสวยสะดุดตามากยิ่งขึ้นประหนึ่ง ‘เจ้าหญิงแอเรียล’

สำหรับการแต่งตัวทั้ง 5 สาวสวมชุดเดรสที่เสริมความเซ็กซี่ของแต่ละคน ผสมผสานเข้าเพลงช้าความหมายลึกซึ้งอย่าง Underwater และได้โชว์ไลน์ประสานเสียงที่แสนไพเราะในเพลง So Good มินิอัลบั้มที่ 5 อย่าง RBB นอกจากนี้เวนดี้ยังได้โชว์เสียงที่ทรงพลัง โดยเป็นการแต่งเนื้อร้องขึ้นมาใหม่สำหรับแฟนคอนเสิร์ตครั้งนี้ ซึ่งในวันนั้นแฟนเพลงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งนี้คือผลงานชิ้นมาสเตอร์พีชของวงการเคป็อป

หากพาร์ตก่อนหน้าแสดงความเป็น Red พาร์ตหลังจากนี้คงเป็น Velvet ที่เริ่มการแสดง ด้วยเพลงชวนหลอนอย่าง Knock Knock (Who’s There?) และเพิ่มความร้อนแรงขึ้นไปอีกขั้น เมื่อไอรีนได้โชว์แดนซ์โซโล่ที่เรียกเสียงเชียร์ได้กระหึ่มฮอลล์ 

กราฟความสนุกยิ่งพุ่งทะลุขึ้นไปเมื่อ Bad Boy เพลงที่รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามในปี 2018 ถูกหยิบยกขึ้นแสดงต่อหน้าเหล่าลัฟวี่ การรีมิกซ์ในช่วงอินโทรขึ้นมาใหม่ ซึลกิโชว์สเต็ปการเต้นที่ทั้งแข็งแรงและพลิ้วไหว ต่อด้วยเพลงฮิตอย่าง Psycho ที่ลัฟวี่สามารถร้องตามได้แทบจะเกือบทั้งเพลง และที่ขาดไม่ได้คงเป็นท่อนของไอรีนอย่าง

Hey, trouble 경고 따윈 없이 오는 너

(พวกปัญหาเข้ามาหาฉันโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว)

I’m original visual

(ฉันสวยแบบธรรมชาติ)

นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ติดหูอย่าง Feel My Rhythm ที่ทุกคนต่างรอคอย เพราะพวกเธอทำการแสดงได้อย่างไร้ที่ติ เหมาะกับการรอคอยอย่างที่สุด ทว่า Red Velvet ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ยังชวนแฟนเพลงสนุกกันต่อกับ Queendom เพลงจากมินิอัลบั้มที่ 6 อย่าง Queendom และส่งท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) ไปกับ Cosmic เพลงป็อปแดนซ์จากอัลบั้มล่าสุด ที่โชว์ทั้งพลังเสียงและเพอร์ฟอร์แมนซ์ 

สำหรับผู้เขียน เพลงนี้เป็นเพลงที่เหมาะกับแสดงในคอนเสิร์ตเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเสียงร้องหรือการเพอร์ฟอร์ม พวกเธอก็เอาอยู่หมัดทั้งหมด

ส่วนในช่วง Encore พวกเธอโหมโรงด้วยเพลง My Dear และ Sweet Dreams ที่เพิ่งปล่อยออกล่าสุดสำหรับแฟนคลับเนื่องในวันครบรอบ 10 ปี ที่มีความหมายที่ลึกซึ้ง สื่อถึงความสัมพันธ์ที่ร่วมแชร์ความฝันและอยู่ข้างกันในค่ำคืน

แฟนคอนเสิร์ตในครั้งนี้เดินทางมาถึงช่วงสุดท้ายก่อนจะต้องโบกมือลากันไป ด้วยเพลงไอคอนิกอย่าง Red Flavor จนทำให้ฮอลล์ดังก้องไปด้วยเสียงเชียร์และเสียงร้องเพลงของแฟนคลับ ก่อนต่อด้วยเพลง You Better Know และจบลงด้วยเพลง Zimzalabim ที่ลัฟวี่ได้ใช้เวลาสนุกร่วมกัน ทั้งกระโดดสุดตัวและร้องสุดเสียงไปพร้อมกัน

อาจเรียกได้ว่าเป็นแฟนคอนเสิร์ตที่สนุก และได้ใช้เวลาร่วมกับศิลปินที่เรารักอย่างมีความสุขที่สุด จนถึงตอนนี้เหล่าลัฟวี่หลายๆ คน ยังรู้สึกว่าตนเองติดอยู่ในอิมแพ็ค อารีน่า ประหนึ่งว่ายังหาทางออกไม่ได้อย่างใดอย่างนั้น

สิ่งที่ไม่พูดถึงก็คงจะไม่ได้ คือวิดีโอโปรโมตในงานที่เรื่องราวถูกร้อยเรียงมาอย่างดี ส่วนที่ประทับใจที่สุดคงเป็นช่วงเริ่มคอนเสิร์ตจากเพลง Cosmic ค่อยๆ ย้อนกลับไปยัง Happiness มีเสียงติดๆ ขัดๆ นั่นเป็นกิมมิกที่ซ่อนไว้เหมือน ‘การกรอเทป’ ย้อนกลับไปเมื่อจุดเริ่มต้น 

แม้จะได้ชื่อว่าแฟนคอนเสิร์ต แต่คงเรียกได้ไม่เต็มปากเพราะขนเพลงมาถึง 20 เพลง ใช้ความสนุกร่วมกันนานถึง 3 ชั่วโมงด้วยกัน ระหว่างการแสดงนั้นไม่มีช่วงไหนเลยที่ Red Velvet จะลดความสนุกลงเลย

ภาพรวมแฟนคอนเสิร์ตในครั้งนี้ถือเป็นอีกครั้งที่ SM True ทำได้เป็นอย่างดีและรับฟังเสียงของแฟนคลับเรื่องต่างๆ มีการจัดการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แฟนๆ หลายคนพึงพอใจกับการจัดการในครั้งนี้เป็นอย่างมาก 

ความรักระหว่าง ‘ReVeluv’ ถึง ‘Red Velvet’ 

สำหรับการรอคอยของลัฟวี่ชาวไทยอาจเรียกได้ว่า นับวันรออย่างมีความหวัง เพื่อให้ศิลปินที่ตนเองชื่นชอบกลับมาแสดงคอนเสิร์ตอีกครั้งในไทยอีกครั้ง การรอคอย 6 ปีสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ เมื่อหญิงสาวทั้ง 5 คนปรากฏขึ้นตรงหน้า ท่ามกลางเสียงเชียร์กระหึ่มไปทั่วทั้งฮอลล์การแสดง 

การแสดงความรักมีหลากหลายรูปแบบ แต่ในรูปแบบของลัฟวี่ชาวไทยนั้นสร้างความประทับใจได้เป็นอย่างดี ผ่านเสียงเชียร์และเสียงร้องเพลง ถึงขั้นที่ว่าไอรีนเอ่ยในเชิงติดตลกว่า

“เสียงของทุกคนที่ทะลุเข้ามาในอินเอียร์ และก็เสียงของสมาชิกพอฟังรวมกันในอินเอียร์แล้ว มันไม่ใช่การร้องแฟนชานต์ แต่เป็นการร้องตามไปด้วยกันตลอดทั้งเพลงเลยค่ะ เป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ฉันรู้สึกแปลกใจมากเลยค่ะ”

ในระหว่างช่วงพูดคุยพาร์ตของ ‘ศูนย์ให้คำปรึกษา Red Velvet’ เสียงเชียร์ของลัฟวี่ชาวไทยไม่เพียงแต่สนุกไปกับแฟนคอนเสิร์ตเท่านั้น ขณะเดียวยังได้โอบกอด Red Velvet ด้วยความรู้สึกดีๆ มอบพลังงานบวกได้อย่างเต็มเปี่ยม เพราะสิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเธอสมควรได้รับมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

“ตลอดการแสดงบนเวที ฉันรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับว่าครอบครัวของเรากำลังมองดูเราอยู่ค่ะ 

จริงๆ ฉันตั้งใจมามอบพลังดีๆ ให้กับทุกคนนะคะ แต่กลายเป็นว่าฉันเองที่ได้รับพลังดีๆ 

และความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่กลับไปแทนค่ะ” – จอย

อีกทั้งในงานวันแรก เหล่าลัฟวี่เซอร์ไพรส์ศิลปินที่พวกเขารักในระหว่างช่วงเพลง My Dear และ Sweet Dreams ด้วยการแปรอักษรจากกล่องไฟเป็นรูปหัวใจตามสีของสมาชิกเรียงจากสีฟ้าที่เป็นตัวแทนของเวนดี้, สีเหลือง-ซึลกิ, สีชมพู-ไอรีน, สีม่วง-เยริ และสีเขียว-จอย อีกทั้งยังมีป้ายไวนิลที่ติดไว้ว่า ‘around Summer, Autumn, Winter, Spring’ และหัวใจสีตามสมาชิก นอกจากนั้นยังร่วมกันชูป้ายสโลแกนที่มีความหมายว่า

“ความฝันของเธอยังคงยิ่งใหญ่เหมือนอย่างครั้งแรกที่บอกแก่ฉัน

แม้เวลาล่วงเลยไป 10 ปี ความฝันเธอนั้นไม่เคยเลือนหาย”

ส่วนวันที่ 2 ได้มีการทำโปรเจกต์สีรุ้งบริเวณชั้น 3 ในช่วงเพลง Queendom และมีการแปรอักษรกล่องไฟ ‘러비❤레벨’ ที่ย่อมาจาก ReVeluv ❤ Red Velvet ช่วงเพลง My dear และ Sweet Dreams และมีการติดป้ายไวนิลไว้ว่า You are my happiness for 10 years ❤ นอกจากนี้ในช่วงโปรเจกต์กล่องไฟยังมีป้ายสโลแกนที่มีความหมายว่า

“ถึงแม้เทศกาลนี้จะจบลงแต่โปรดอย่าลืมฉันไป สัญญานะว่าเราจะเจอกันอีกครั้งหนึ่ง”

ผู้เขียนในฐานะแฟนเพลง แม้แฟนคอนเสิร์ตนี้จบลง แต่ (แฟน) คอนเสิร์ตครั้งนี้จะเป็นการแสดงที่อยู่ในอันดับต้นๆ ในใจของผู้เขียน เพราะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า Red Velvet คือวงที่มีคุณภาพและรักษามาตรฐานที่เคยทำไว้ได้เป็นอย่างดี 

ดีจนผู้เขียนหวังว่า Red Velvet จะอยู่ร้องเพลงให้ฟังและออกผลงานที่ดีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ หลังจากนี้

ระยะเวลาตลอด 2 วัน กับแฟนคอนเสิร์ตครั้งนี้คงไม่เพียงพอที่จะคลาย ‘ความคิดถึง’ ไปได้ ผู้เขียนได้แต่หวังว่า Red Velvet จะกลับมาพร้อมคอนเสิร์ตในเร็ววัน และหากในวันนั้นมาถึง คงเป็นศึกชิงบัตรคอนเสิร์ตที่ดุเดือดอย่างแน่นอน

“It’s now or never, We got forever” 

ตอนนี้หรือตลอดไป เราจะมีกันไปตลอดกาล

Tags: , , , , , , ,