***เขียนจากการชมรอบการแสดงเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2025 เวลา 18.30 น.***
นักเขียนบทละครชาวอังกฤษ โนเอล โคเวิร์ด (Noël Coward) เขียนบทละครเรื่อง Private Lives ขึ้นในปี 1930 โดยหยิบเอาพฤติกรรม ‘มากรัก’ ไม่รู้จักความพอดีของเศรษฐีผู้มีอันจะกิน 2 คู่คือ อแมนดา (Amanda) กับวิกเตอร์ (Victor) และเอเลียต (Elyot) กับซิบิล (Sibyl) ที่แต่ละฝ่ายเพิ่งแต่งงานอยู่กินกันเป็นข้าวใหม่ปลามัน ทว่าอแมนดากับเอเลียตดันเคยเป็นคู่สามีภรรยาที่ได้หย่าร้างกัน และกามเทพดันแผลงศรให้ทั้ง 2 คู่มาเช่าห้องพักฮันนีมูนติดกัน ณ เมืองโดวิลล์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่ออแมนดาและเอเลียตพบหน้ากันเลยเป็นอาเพศแห่งถ่านไฟเก่า แค่มองตาก็เข้าใจว่า ทั้งคู่ยังรักและอาลัยความสัมพันธ์กันขนาดไหน สุดท้ายอแมนดาและเอเลียตจึงพากันหนีคู่รักใหม่ของตนเองไป หลบอาศัยอยู่ในอะพาร์ตเมนต์ ณ กรุงปารีสของอแมนดาอย่างวัวเคยขาม้าเคยขี่
ถึงแม้ว่าโคเวิร์ดเขียนบทละครเรื่องนี้ออกมาในแนว ‘หัสคดี’ หรือ Comedy แต่เนื้อหาของมันก็ยังมุ่ง ‘เสียดสี’ พฤติกรรมอันเสรีจากกรอบศีลธรรมของผู้คน เพื่อสะท้อนสังคมในสมัยนั้น ที่หันมาหน้ามืดตามัวเกลือกกลั้วไปกับกามรสอย่างไม่รู้จักอดกลั้น โดยเฉพาะตัวละครฝ่ายภรรยาอย่างอแมนดาที่ช่างกล้าเข้าหาผู้ชายอย่างไม่เคยเอียงอาย ซึ่งมักถูกมองเป็นพฤติกรรมแสนชั่วร้ายในช่วงเวลานั้น ทว่ามันกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินสำหรับช่วงเวลาปัจจุบัน บทละคร Private Lives จึงน่าจะถือได้ว่าเป็นงานทันยุคนำสมัยในช่วงทศวรรษ 1930 ที่เริ่มออกแสดง นำเสนอทั้งภาพความสัมพันธ์ทางเพศและความรุนแรง ทลายกำแพงความเป็นส่วนตัวมาเปิดเผยให้คนดูได้รับรู้อย่างทั่วถึงกัน

ภาพ: Thiti Chareondorn
ข้ามมาถึงปัจจุบัน ปี 2025 คณะละคร NUNi Productions ร่วมกับ RCB Experimental Art Lab ได้นำบทละครเรื่อง Private Lives ของโคเวิร์ดมาปรับสร้างเป็นละครบริบทไทยร่วมสมัย โดยให้ชื่อใหม่ว่า ความรักควรไปตาย มอบหมายให้ ชลเทพ ณ บางช้าง แปลและดัดแปลงใหม่เป็นภาษาไทยในเบื้องต้น และมี ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ เป็นทั้งคนกำกับและร้อยเรียงเรื่องราวใหม่ ทำให้ความรักควรไปตาย เป็นละครที่สุดท้ายก็มีทั้งหน้าตาและลีลาฉีกไปจากงานต้นฉบับอย่างเห็นได้ชัด
ความท้าทายในการดัดแปลงและปรับแต่งรายละเอียดใหม่ของความรักควรไปตาย คงอยู่ที่ผู้สร้างจะรับมือกับ ‘ความเชย’ หลายอย่างที่ยังพอมีให้เห็นในบทละครที่มีอายุเกือบเป็นร้อยปีเรื่องนี้อย่างไร โดยเฉพาะกลไกแห่ง ‘ลูกบังเอิญ’ ที่โคเวิร์ดเลือกจะเดินเรื่องผ่านฟันเฟืองแห่งชะตากรรม ที่นำพาตัวละครคู่รัก 2 คู่นี้มาเข้าพักที่ห้องติดกัน อันเป็นสิ่งที่คงเกิดขึ้นได้ยากหากจะดูจากโอกาสในโลกความเป็นจริง ซึ่งชลเทพและดำเกิงก็ไม่ได้พยายามให้คำอธิบายอ้างอิงว่า ความบังเอิญครั้งนี้มันมี ‘เบื้องหลัง’ อะไรซ่อนอยู่หรือไม่ แต่พวกเขาเลือกแก้ไขปัญหาความแข็งกระด้างของโครงสร้างเหตุการณ์อันจงใจ ด้วยการทลายลำดับเส้นเรื่องจากบทละครเดิมเสียใหม่ แล้วย้ายให้ฉากสำคัญของการกลับมาพบกันระหว่างเอเลียตกับอแมนดา ซึ่งในฉบับไทยครั้งนี้กลายเป็น ริชชี่ (แสดงโดย ปวิตร มหาสารินันทน์) และแพรว (แสดงโดย ภัทรสุดา อนุมานราชธน) ณ อะพาร์ตเมนต์ของฝ่ายหลังเป็นฉากตั้งต้น เพื่อแนะนำตัวละครคู่หลักก่อนแทน

ภาพ: Thiti Chareondorn
จากนั้นจึงค่อยปล่อยให้ อุ๋งอิ๋ง (รัศม์ประภา วิสุมา) แฟนสาวคนใหม่ของริชชี่ และเทวินทร์ (แสดงโดย ชวิศการ วรโรจน์โยธิน) แฟนหนุ่มคนใหม่ของแพรว เดินเข้าฉากเดียวกันมาตามหาคู่รักคู่เสน่หาของตนเองที่หายไป แล้วสลับไขว้ลำดับเวลาย้อนมาเล่าเหตุการณ์ที่พวกเขาเริ่มเข้าพักที่โรงแรมกับคนใหม่ของตนเอง รวมเนื้อหาในองก์หนึ่งและองก์สองของบทละครเดิมเข้าด้วยกันอย่างอลวนอลเวง หน่วงเร่งเวลาสลับไปสลับมาอย่างชาญฉลาด โดยมีพร็อพหลักเป็นเตียงโซฟาขนาดใหญ่วางอยู่ใจกลางห้อง หากสามารถกลายเป็นสิ่งของประกอบฉากใหม่ๆ เปลี่ยนความหมายได้ภายในชั่วพริบตา
ท้าทายไปยิ่งกว่านั้นคือ การให้ตัวละครทั้ง 2 คู่ แม้ตามท้องเรื่องจะอยู่คนละห้องกัน สามารถนั่งอิงหลังถกเถียงอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน โดยคนดูยังสามารถสร้างกำแพงที่มองไม่เห็นมาคั่นให้ได้ ว่า ณ ตอนนี้ใครกำลังอยู่ในห้องไหน ถือเป็นการ ‘ทลายสร้าง’ หรือ Deconstruction บทละคร Private Lives ของโคเวิร์ดให้เกิดความร่วมสมัย ทำให้เรื่องราว ‘ความรักมักบังเอิญ’ ของบทละครปี 1930 นี้ไม่มีอะไรชวนให้เชยอีกต่อไป และสมจะเป็นงานในสมัยศตวรรษที่ 21

ภาพ: Thiti Chareondorn
อีกความท้าทายที่ทั้งชลเทพและดำเกิง พร้อมด้วยเหล่านักแสดงสามารถเอาชนะได้ ก็คือ จะทำให้คนดูเชื่อได้อย่างไรว่า คู่รักคู่ร้างอย่างแพรวกับริชชี่ที่ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ยากเกินจะเชื่อว่า สามารถโคจรมาถือหมอลั่นกลอนร่วมวิวาห์กันได้ เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจาอะไร ใครอีกคนก็จะรนสรรหาถ้อยคำมาตำให้รั่วด้วยวาจาแสนชั่วช้าได้ตลอดเวลา ซึ่งทั้งชลเทพและดำเกิงก็ไม่รามือเลยในการขุดชุดคำด่าระดับสามานย์ อุดมไปด้วยการบูลลี ด้อยค่าหมิ่นศักดิ์ศรี ก่อนที่อีกฝ่ายจะอดรนทนไม่ได้และหันไปใช้ความรุนแรง จนกลายเป็นชนวนสำคัญของเรื่องราวในช่วงท้ายๆ จะสามารถกลับกลายมาเป็น ‘ถ่านไฟเก่า’ เข้าขากันอย่างแสนหวาน แสดงความต้องการต่อกันอย่างไม่ปิดบัง กระทั่งสามารถควงแขนกันพาหนีทั้งสามีและภริยาคนใหม่ในทันทีทันใด ไม่หวั่นไหวถึงผลกระทบใดๆ ที่จะตามมา
โดยเฉพาะเมื่อคาร์แรกเตอร์ที่ทั้งผู้กำกับและนักแสดงออกแบบมาให้มีความฉูดฉาดและโฉ่งฉ่างในแบบตัวการ์ตูนทวีคูณมันทุกๆ อารมณ์ ซึ่งก็อาจจะสร้างความรู้สึกที่สมจริงได้ไม่ง่าย ทว่าละครเรื่องความรักควรไปตายก็ยังถ่ายทอดให้เห็นได้ว่า ต่อให้แพรวและริชชี่จะเป็นอดีตคู่ภรรยาและสามีที่อยู่ด้วยกันจน ‘ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่’ ยังไม่ทันจะอ้าปากก็เห็นไปถึงรากลิ้นไก่ ลำไส้เล็กลำไส้ใหญ่ขดวนลากโยงไปตรงไหน ไม่ต้องมาฉายแสง X-ray ก็รู้ทันทุกเล่ห์เหลี่ยมจนเปล่าดายที่จะมาตีหน้าสำแดงมารยา แล้วอย่างนี้จะมีเสน่ห์เย้ายวนอันใดหลงเหลือมามัดใจ หากจะไม่ใช่ความ ‘ฟิน’ ใน ‘กามรส’ ซึ่งอดไม่ได้ที่จะสรุปฟันธงเลยว่า หากหนุ่มสาวรายใดปรารถนาจะสัมผัสถึง ‘ที่สุด’ แห่งความซาบซ่านวาบหวามในกามสังวาส มันจะมีเพียงไม่กี่คนหรอกที่เราจะรู้สึก ‘ถูกธาตุ’ จนป่วนปริ่มอิ่มเอมได้ทุกครั้งที่ขึ้นสังเวียนรัก

ภาพ: Thiti Chareondorn
ซึ่งละครเรื่องนี้ก็มีฉากที่ทำให้ทุกคนได้ประจักษ์ว่า ทั้งแพรวและริชชี่ช่างเป็นคู่รักที่โชคดีมีองคาพยพที่ช่างเหมาะกับการสบสังวาส เด็ดขาดในระดับที่ไม่มีใครอื่นจะให้ได้ ต่อให้จะเป็นสาวตะมุตะมิขี้อ้อนวอนโดนปลุกปล้ำอย่างชีอุ๋งอิ๋ง หรือชายหนุ่มที่ถ้าฉีกเสื้อทิ้งก็จะเจอแต่ลูกซิกแพ็กอย่างเทวินทร์ ก็ยังไม่น่ากินเท่าก้อนถ่านไฟเก่า ซึ่งต่อให้กลายเป็นเถ้าเปลวเฉาจนจวนจะมอดอย่างไร เนื้อไฟในถ่านแบบนี้นี่แหละที่ช่างกระแซะตัณหาได้อย่างฉ่ำอุรา จึงเป็นความน่าทึ่งที่แม้ว่าโดยสไตล์ของละครจะมีความโหวกเหวกโวยวาย เล่นใหญ่ ใช้ลีลาแบบการ์ตูนขนาดไหน ทุกฝ่ายก็ยังสามารถถ่ายทอดแก่นสารอธิบายเหตุผลภายในนี้ออกมาได้ ให้ค่าแก่ ‘กามารมณ์’ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญขนาดไหนในการใช้ชีวิตคู่ ต่อให้ในเรื่องอื่นๆ มันจะดูกลายเป็นสิ่งขัดหูขัดตาไปได้ทั้งหมด
ทว่าน่าประหลาดใจอยู่นิดที่บทละครความรักควรไปตายในองก์สุดท้ายจะกลับมาละม้ายคล้ายคลึงกับต้นฉบับใน Private Lives จนเหมือนไม่ได้มีการ ‘ทลายสร้าง’ อย่างถอนรากถอนโคนเหมือนใน 2 องก์แรก (ในการแสดงฉบับไทยทุกฉากเลื่อนไหลต่อเนื่องกันโดยไม่มีการแบ่งองก์) แม้จะมีการปรับ Setting สถานที่ให้แปลกออกไป จากโดวิลล์เปลี่ยนมาเป็นโอกินาวา จากปารีสมาเป็นเกาะภูเก็ต แต่กลเม็ดในการสรุปเหตุการณ์ต่างๆ ก็ยังเห็นเค้าลางของงานต้นฉบับในระดับชัดเจนอยู่
หรือผู้กำกับอาจจะจงใจนำเรื่อง Private Lives นี้มาเล่าใหม่ แต่ยังใช้จุดหมายปลายทางเดิม จึงไม่ได้คิดริเริ่มจะหาตอนจบแบบใหม่ๆ จากช่วงเริ่มแรกที่อุดมไปด้วยความวินาศสันตะโรในระดับฉิบหาย ส่วนสุดท้ายจึงดูจะคลี่คลายแบบง่ายไปสักนิด ไม่ชวนให้สะกิดใจหรืออุดมไปด้วยเซอร์ไพรส์เหมือนในช่วงก่อนหน้า เพราะไหนๆ ก็ตั้งใจทลายสร้าง จะเลือกตบจบให้แตกต่างไปเลยก็คงไม่กระไร เนื้อหาทั้งหมดก็อาจจะชวนให้ ‘สะใจ’ และสาอารมณ์ผู้ชมได้มากกว่าเวอร์ชันที่เป็นอยู่

ภาพ: Thiti Chareondorn
อย่างไรก็ดีละครเรื่องนี้แค่มาดูนักแสดงทั้งสี่มารับบทบาทกันอย่างมีความเป็น ‘มืออาชีพ’ จนสามารถ Deep ไปกับกิริยาอาการอันเยอะล้นได้ ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเป็นไหนๆ ซึ่งรายที่โดดเด่นเฉิดฉายมากที่สุดก็เป็นจะเป็นภัทรสุดาในบทคนรักเก่าของริชชี่ ที่ยิ่งเล่นก็ยิ่งเข้าตัวอย่างแพรว เพราะเธอไม่เพียงแต่จะรับมือกับแนวทางการแสดงที่ต้องแต่งปรุงส่วนผสมที่หลากหลาย หากสามารถ ‘งับ’ ทุกถ้อยคำสนทนาที่ชลเทพและดำเกิงเขียนมาให้ฟังดูเหมือนเป็น ‘วาจา’ ที่ออกมาจากปากและรากเหง้าความคิดของเธอเองอย่างมี Authorship และ Authenticity ฟังดูมิใช่เป็นการท่องจากบทที่คนอื่นเขียนมา ได้ยินแล้วชวนให้ตาลุกอุทานออกมาเลยว่า “นี่มึงพูดออกมาเองเลยนะ จะได้จำเอาไว้!” เป็นการสวมบทบาทที่ ‘ใช่’ เหมือนได้ดูยัยแพรวออกมาวี้ดว้ายแต้วแว้วขมิบแขม่วแอ๊วผู้ชายเป็นนังตัวร้ายให้เห็นอยู่ตรงหน้าจริงๆ

ภาพ: Thiti Chareondorn
Fact Box
ความรักควรไปตาย กำกับโดย ดำเกิง ฐิตะปิยะศักดิ์ แสดงเมื่อวันที่ 1-16 กุมภาพันธ์ 2025 ณ RCB Forum, River City Bangkok