***บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์***

เสียงกล่องดนตรีไขลานดังขึ้น ความเนิบช้าชวนหลอนยิ่งทวีคูณเมื่อมีเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวแทรกเข้ามา ก่อนที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาแต่เปื้อนน้ำตาจะโผล่พ้นความมืดมารับแสงจันทร์ 

“มาหาข้า” นางอ้อนวอนไปยังเบื้องบน ร้องขอสิ่งใดก็ได้ให้รับฟังและมาปลอบประโลมใจที่เหี่ยวเฉา ทันใดนั้นเสียงแหบพร่าของชายไร้ตัวตนก็ดังขึ้น นางปลุกมันขึ้นมาจากความมืดอันห่างไกล มันยื่นข้อเสนอให้นางสาบานว่า จะเป็นหนึ่งเดียวกับมันไปชั่วนิรันดร์ 

“ข้าสาบาน” ทันทีที่นางตอบรับ เสียงครางแผ่วเบาอย่างการร่วมรักก็ดังขึ้นเป็นจังหวะ แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ 

นี่คือเรื่องราว 3 นาทีแรกในภาพยนตร์สยองขวัญรีเมกเรื่อง Nosferatu (2024) ผลงานการกำกับของ โรเบิร์ต เอ็กเกอร์ส (Robert Eggers) ผู้กำกับสายสยองขวัญชาวอเมริกัน เจ้าของผลงานเรื่อง The Northman (2022), The Lighthouse (2019) และ The Witch (2015) แถมผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง Nosferatu ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงกว่า 4 สาขารางวัลใน Oscars 2025 ด้วย

Nosferatu ที่ถูกตีความใหม่ 

Nosferatu เป็นภาษาโรมาเนียโบราณแปลว่า ผีดูดเลือดหรือแวมไพร์ และหากใครเคยดู Nosferatu: A Symphony of Horror (1922) เวอร์ชันต้นแบบของหนังเรื่องนี้ ซึ่งเป็นหนังเยอรมันแนว German Expressionism หรือหนังที่เล่าเรื่องอารมณ์อย่างบิดเบี้ยวเหนือจริง ก็น่าจะรู้ว่าไม่มีเค้าโครงของการพูดถึงเรื่องอีโรติกเลย และเคานต์ออร์ล็อกก็เป็นเพียงผีดูดเลือดขาดรักเท่านั้น

แล้วเหตุใด Nosferatu เวอร์ชันรีเมกนี้จึงพูดเรื่องอีโรติกและเซ็กซ์อย่างโจ่งแจ้ง

ทั้ง 2 เวอร์ชันเป็นเรื่องราวของ 3 ตัวละครหลัก นั่นก็คือ เอลเลน ฮัตเตอร์ (แสดงโดย ลิลี-โรส เดปป์) สาวงามผู้มีอาการเดินละเมอ ซึ่งเป็นภรรยาของ โธมัส ฮัตเตอร์ (แสดงโดย นิโคลัส เฮาลต์) นายหน้าอสังหาฯ ที่เริ่มไปได้ดีในหน้าที่การงาน และต้องเดินทางไปเซ็นสัญญาซื้อขายคฤหาสน์หลังใหญ่กับ ‘เคานต์ออร์ล็อก’ (แสดงโดย บิล สการ์สการ์ด) หรือนอสเฟอราตู แวมไพร์ในเมืองทรานซิลเวเนีย ประเทศโรมาเนีย ที่ถูกปลุกให้ตื่นจากคำวิงวอนของเอลเลน

ความต่างอยู่ตรงที่เวอร์ชันนี้มีการพูดถึงเรื่องอีโรติกอย่างชัดเจน ซึ่งดูเป็นสิ่งที่ดูไม่เข้าคู่กับหนังสยองขวัญสักเท่าไร แม้จะดูแปลกแปร่งผิดที่ผิดทางในตอนแรก แต่เมื่อดูไปสักพักก็จะเริ่มเห็นว่า เรื่องอีโรติกที่แทรกเข้ามาในเรื่องเป็นทั้งตัวนำเรื่องและเผยให้เห็นการตีความใหม่ๆ

เคานต์ออร์ล็อกในเวอร์ชันนี้นอกจากเป็นผีดูดเลือดที่ตามหาความรักแล้ว ยังเป็นตัวละครที่ออกแบบมาเป็นผู้มอบความสุขทางเพศหรือ ‘เซ็กซ์’ ให้กับเอลเลน หญิงสาวที่ปรารถนาสิ่งนั้นมาตลอด

“ผมคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีในการเล่าเรื่อง” เอ็กเกอร์ส ผู้กำกับให้สัมภาษณ์ถึงการใส่ความอีโรติกเข้าไปในเรื่อง เพราะเขาคิดว่ามันคงจะน่าตื่นเต้น ถ้าเอาเรื่องราวของเอลเลนมาผูกกับเรื่องของนอสเฟอราตู โดยให้ความรักของปีศาจเป็นตัวนำเรื่อง เล่าถึงความสัมพันธ์ที่ห่างหายไปและกลับมาเจอกันอีกครั้ง

เอลเลน เซ็กซ์ และภาพแทนของหญิงสาว

อีกสิ่งที่ทำให้ Nosferatu เวอร์ชันนี้ยังคงมีกลิ่นอายของเวอร์ชันต้นฉบับคือ การเล่นกับความคิดและความจริง สร้างความสับสนให้ตัวละครและผู้ชมว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นี้เกิดขึ้นจริงๆ ตรงหน้าหรือเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดตัวละครเท่านั้น และอย่างที่บอกไปว่า เอลเลนมีอาการเดินละเมอ ความสับสนระหว่างความฝันกับความจริง ซึ่งทำงานกับตัวละครนี้ได้ดีที่สุด 

“เขากำลังมาหาข้า” เธอละเมอพูดออกมาด้วยเสียงกระเส่าและลมหายใจหอบถี่ แพทย์จึงแนะนำให้ใส่คอร์เซ็ต เพื่อจัดระเบียบร่างกายและช่วยรักษามดลูกด้วย

ในช่วงนี้ของหนังที่เอลเลนกำลังรักษาตัวจะสังเกตเห็นว่า การออกแบบท่วงท่าและบทพูดของตัวละครเอลเลนนั้นส่อถึงความอีโรติกอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนที่เอลเลนตกอยู่ในภวังค์ของความฝัน ซึ่งเสมือนการได้ปลดปล่อยอารมณ์และความต้องการที่แท้จริงในใจออกมา 

ตัดไปที่ช่วงท้ายของหนังจะมีซีนหนึ่งที่เอลเลนพูดกับโธมัสว่า “เจ้าทำให้ข้าพอใจ (ทางเพศ) ไม่ได้ ไม่เหมือนเขา” หลังจากที่นางสารภาพว่า นางเคยทำสัญญากับปีศาจไว้ โธมัสจึงรู้สึกถูกหยาม ฉากอีโรติกระหว่างเขากับเธอจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง แม้จะดูไม่น่าอภิรมย์เท่าไรก็ตาม

เมื่อดูจากบริบทของช่วงเวลานั้น หนังน่าจะกำลังนำเสนอเรื่องราวของผู้หญิงที่ต้องเก็บกดอารมณ์ทางเพศไว้ ด้วยความที่สังคมไม่อนุญาตให้ผู้หญิงได้ปลดปล่อยอารมณ์แห่งความใคร่ คอร์เซ็ตก็เป็นอีกหนึ่งสัญญะ ซึ่งสื่อถึงกรอบทางสังคมที่คอยปิดกั้นพวกเธอ ด้วยค่านิยมเช่นนี้ทำให้ผู้หญิงบางคนถูกมองว่า มีอาการทางจิตไม่ต่างจากเอลเลน

ลิลี-โรส เดปป์ นักแสดงผู้รับบทเป็นเอลเลนให้สัมภาษณ์ถึงตัวละครนี้ว่า เอลเลนเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่เก็บกดอารมณ์ไว้ แม้เธอรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่สังคมภายนอกคอยตีกรอบไม่ให้แสดงออกได้ ส่วนเรื่องที่บางคนบอกว่า เอลเลนเป็น ‘เหยื่อ’ ทางเพศ ลิลีไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้สักเท่าไร เพราะนั่นเป็นสิ่งที่เอลเลนร้องขอมาตลอด และนอสเฟอราตูก็มอบให้ได้ แต่มันดันทำให้คนรอบตัวเดือดร้อน เอลเลนจึงต้องสละชีวิตตัวเองเพื่อหยุดยั้งคำสาป และเธอก็เต็มใจที่จะทำสิ่งนั้น

หนังผีอีโรติก ส่วนผสมที่แปลก (ใหม่)

ความอีโรติกและเซ็กซ์ยังคงอยู่กับหนังเรื่องนี้ยันฉากจบ เมื่อวิธีปราบปีศาจนอสเฟอราตูคือ ‘เซ็กซ์’ ที่เกิดกับสาวงามที่ทำสัญญาไว้กับมัน ซึ่งในที่นี้ก็คือเอลเลน และกิจกรรมต้องดำเนินไปจนกว่าแสงเช้าจะโผล่พ้นความมืดมาชะล้างคำสาป 

ฉากจบของเรื่องนี้จึงเป็นภาพมุมสูงทำให้เห็นทั้งคู่นอนเปลือยเปล่าร่วมรักกันอยู่บนเตียง พร้อมกับแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่าง และนี่เป็นเพียงฉากเดียวที่เราจะได้เห็นใบหน้าและรูปร่างของเคานต์ออร์ล็อกอย่างชัดๆ มันจึงเป็นฉากจบที่เต็มไปด้วยหลายมวลอารมณ์ ทั้งดราม่า อีโรติก และสะอิดสะเอียน หากแต่ไม่อาจสัมผัสได้ถึงความสุขจากเอลเลน แม้นี่เป็นสิ่งที่เธอเคยวิงวอนร้องขอเอาไว้ก็ตาม

ดูเถิด ชะตากรรมของหญิงงาม ยามเมื่อนางถวายรักแด่อสูร ให้ทูลกอดพลอดรักมันชิดใกล้ จนเสียงขันไล่ในยามรุ่ง มุ่งสละชีวีเพื่อคำสาป หวังจะปราบภัยจากนอสเฟอราตู

โธมัสร่ำไห้กุมมือเอลเลนซึ่งอยู่ใต้ร่างของปีศาจ เธอล้างคำสาปนอสเฟอราตูจนหมดสิ้น…เช่นเดียวกับชีวิตของเธอ

ในทางหนึ่งเราอาจตีความปีศาจตนนี้ว่าคือ ‘เซ็กซ์’ แม้ในช่วงแรกจะรู้สึกแปลกแปร่งกับการใส่เรื่องอีโรติกเข้ามาในหนังสยองขวัญ ซึ่งมันดูจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย แต่เมื่อดูไปสักพักกลับรู้สึกว่า มันเป็น Combination ที่แปลกใหม่และเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฉากอีโรติกเหล่านี้ทำหน้าที่ทั้งตัวเดินเรื่องและตัวแทนของหญิงสาวในสมัยนั้นได้อย่างสมบูรณ์

ความน่าติดตามของ Nosferatu เวอร์ชันนี้คือ การสร้างความอยากรู้ในใจผู้ชมว่า ทีมงานจะออกแบบตัวละครนอสเฟอราตูออกมาอย่างไร และเทคนิคการเล่าเรื่องก็ยังทำให้ความอยากรู้ก่อตัวอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเกรดสีให้อยู่ในโทนมืด คอนทราสต์แสงเงาจัด ทำให้เราเห็นรูปร่างหน้าตาของนอสเฟอราตูไม่ชัดเจนตลอดทั้งเรื่อง จนมาเฉลยในฉากจบ

หากใครเคยดู Nosferatu เวอร์ชันต้นฉบับก็น่าจะสนุกและตื่นเต้นที่ได้เห็นหนังเงียบสีขาวดำม้วนนั้นถูกนำมาดัดแปลง เติมเรื่องราวและสีสันลงไป แต่ยังคงเล่าเรื่องปีศาจออกมาได้สมบูรณ์ และในอีกทางหนึ่งก็ทำให้เห็นการตีความคำว่า ‘ปีศาจ’ ในมุมมองใหม่อีกด้วย 

และขอปิดท้ายด้วยคำถามชวนขบคิดของเอลเลนที่ว่า “ปีศาจมันมาจากภายในตัวเราหรือจากเบื้องบนกันแน่”

Tags: , , , , , , ,