3 ปี 7 เดือน 12 วัน 

1312 วัน

31,704 ชั่วโมง

คือระยะเวลาทั้งหมดที่ห่างหายไปของ วง EXO เจ้าของฉายา ‘ราชาแห่งเคป็อป’ นับตั้งแต่การปล่อยอัลบั้ม Obsession ในปี 2019 ก่อนที่การนับถอยหลังจะสิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาปรากฏตัวพร้อมกับอัลบั้มเต็มชุดที่ 7 อย่าง ‘EXIST’ 

การกลับมาครั้งนี้ มีเรื่องน่าตื่นเต้นมากมายสำหรับ EXO-L หรือเป็นที่รู้จักในภาษาไทยว่า ‘แอ๋ว’ กลุ่มแฟนด้อมของ EXO เพราะเป็นการปรากฏตัวของสมาชิกทั้ง 8 คนในรอบ 4 ปี หลังจากหลายคนทยอยรับใช้ชาติในกรมทหารประเทศเกาหลีใต้

แม้ว่าจะมีเรื่องราวติดขัดบางอย่าง เมื่อ เลย์ (Lay) หรือ จางอี้ชิง (Zhang Yixing) สมาชิกชาวจีนหนึ่งเดียวของวง ไม่ได้ร่วมโปรโมตด้วย รวมถึง ไค (Kai) ที่ต้องเข้ากรมทหาร แต่แฟนๆ ก็รู้สึกดีใจและมีความสุขเป็นพิเศษ เมื่อได้เห็นสมาชิกวงได้ทำกิจกรรมร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในรอบหลายปี

รวมไปถึงความกังวลใหญ่ของเหล่า EXO-L ก็ได้มลายหายไป หลังสถานการณ์ การยื่นฟ้องร้องต่อต้นสังกัดจาก EXO-CBX ของ เฉิน (Chen), แบคฮยอน (Baekhyun) และ ซิ่วหมิน (Xiumin) จบลงภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือนเพียงเท่านั้น 

วันนี้ EXO กลับมาประกาศศักดาราชาแห่งเคป็อปให้แฟนๆ ได้ชื่นใจอีกครั้งผ่านความสำเร็จมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการบรรลุยอดขาย 1 ล้านอัลบั้ม สมฉายา ‘Million Seller’ เข้าปีที่ 7 อีกทั้งยังมียอดสั่งซื้อล่วงหน้าสูงสุด 1.6 ล้านอัลบั้ม ทุบสถิติยอดขายทุกอัลบั้มที่ผ่านมา (สถิติวันที่ 9 กรกฎาคม 2023) 

นอกจากนี้ หนุ่มๆ ยังกลับมาโปรโมตผ่านรายการเพลงในรอบหลายปี โดยเฉพาะการออกรายการที่หลายฝ่ายต่างรอคอย คือ Killing Voice จนทำให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ ‘หูเคลือบทอง’ ผ่านการร้องของเหล่าสมาชิกอันยอดเยี่ยม ไม่ล้ม ไม่หาย ไม่ตายไมค์ เมื่อต้องทำการแสดง โดยเฉพาะการร้องเพลงสด ที่ทุกคนรู้ดีว่า EXO ทำได้ดีขนาดไหน

รวมไปถึงขอแสดงความยินดีกับแอ๋วชาวไทยอย่างเป็นทางการ ที่มีโอกาสฉลองวันเกิดของแฟนด้อมปีที่ 9 กับ EXO-SC คู่ดูโอ้สุดฮิปสองศรีพี่น้อง ชานยอล (Chanyeol) และเซฮุน (Sehun) ในแฟนคอน ‘EXO-SC Back to Back Fancon in Bangkok’ ในวันที่ 5-6 สิงหาคม 2023 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งได้ความสนใจจนบัตรขายหมดเกลี้ยง จนต้องเปิดรอบการแสดงเพิ่มเติม

ความสนใจของสาธารณะต่อการคัมแบ็กของ EXO ไม่ได้ยุติแค่เพียงกลุ่มแฟนด้อมเกาหลีเท่านั้น เพราะวงการเพลงและนักดนตรีทั่วโลก ก็ต่างให้เสียงตอบรับอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเพราะจุดขายด้านสตอรี่ไลน์มนุษย์ต่างดาวผู้มาจาก EXO Planet พร้อมพลังวิเศษ ความสามารถในการร้องเพลงระดับแรงก์ S และการแสดงบนเวทีสุดจัดจ้าน โดยเฉพาะแนวเพลงอันเป็นเอกลักษณ์ ติดหู แต่ก็ยังเปิดรับ กล้าลองสิ่งใหม่ๆ จนมีคำชื่นชมจากโปรดิวเซอร์และนักวิจารณ์คนดังอยู่เสมอ 

ในฐานะนักเขียนผู้ติดตามวงการเคป็อป และ EXO-L คนหนึ่งที่รักและติดตามผลงานของ EXO มาเป็นระยะเวลา 10 ปีเต็ม เรามีความรู้สึกประทับใจและมีความสุขทุกครั้ง เมื่อมีโอกาสเสพผลงานเต็มไปด้วยคุณภาพของเขาทั้ง 9 คน ไม่ว่าในรูปแบบวง ยูนิต หรือโซโลเดี่ยวก็ตาม

โดยเฉพาะการคัมแบ็กในอัลบั้ม EXIST ที่มีการโปรโมตใน 3 บทเพลง 3 ลุค 3 สไตล์ เริ่มจาก Pre-Release เรียกน้ำย่อย 2 เพลง คือ Let Me In เพลงสไตล์บัลลาดสุดซึ้ง โชว์พลังเสียงของ EXO ขณะที่ Hear Me Out เป็นเพลงสไตล์ R&B ให้ความรู้สึกสนุกสนาน สดใส และพร้อมโยกย้ายไปกับหนุ่มๆ

ก่อนจะ ‘ทิ้งระเบิด’ เรียกเสียงฮือฮาในเพลง Cream Soda ที่ทำให้ไทม์ไลน์ทวิตเตอร์แตก ตั้งแต่วันปล่อยทีเซอร์รูปภาพ หลัง EXO ปรากฏตัวในลุคชายหนุ่มวัยสามสิบที่ ‘มั่นใจ ไม่กลัว เซ็กซี่ไปถึงขั้วหัวใจ’ เป็นพิเศษ พร้อมทั้งแนวเพลง คอนเซปต์ที่กล้าเล่น แตกต่างและแปลกใหม่จากอดีต แต่ก็ยังคงความเป็น EXO ได้อย่างดีเยี่ยม 

(ที่มา: SM Entertainment)

เนื่องในวาระการกลับมาของ EXO ในอัลบั้มชุดที่ 7 The Momentum จึงขอชวนเพื่อนๆ EXO-L และผู้อ่านทุกท่าน ร่วมกันถอดรหัส ไขสัญญะเนื้อหา วิเคราะห์บทเพลงและคอนเซปต์ กับ ‘EXIST’ อัลบั้มใหม่ของ EXO ราชาแห่งเคป็อปตลอดกาล ที่ไม่ได้มีดีแค่ความสามารถในการร้องเพลงและการแสดงบนเวทีเท่านั้น แต่ยังพยายามสร้างความแปลกใหม่และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

 

“We ‘EXIST’ in every moment of yours” เพราะ EXO ‘อยู่’ กับ EXO-L ในทุกช่วงเวลาของชีวิต และ ‘ยังคง’ โดดเด่นท่ามกลางหมู่ดาวมากมาย

คอนเซปต์อัลบั้ม EXIST ปรากฏครั้งแรกผ่านทีเซอร์สั้นๆ เมื่อแสงสว่างเหมือนหยาดน้ำเพชรสาดส่องพร้อมกันทั้ง 17 ดวง ก่อนที่ 5 ลำแสงใหญ่สุดจะทอประกายเด่นชัดขึ้นมาเป็นโลโก้ประจำวงที่คุ้นเคยกันดี 

การบอกเล่าคอนเซปต์ของอัลบั้มด้วยการสร้างสรรค์โลโก้ประจำวง ถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ EXO ที่สร้างความฮือฮาในวงการเคป็อปมาแล้ว ดั่งที่ปรากฏในอัลบั้ม Don’t Mess Up My Tempo (2018) มีโลโก้เป็นหน้าปัดบอกความเร็วของรถ ซึ่งสอดคล้องกับคอนเซปต์ของอัลบั้ม คือลุคสิงห์นักบิด  

 

สำหรับการกลับมาครั้งนี้ แฟนๆ จึงตีความโลโก้ของอัลบั้ม EXIST ว่า เป็นการรวมกันระหว่างโลโก้ ‘ดอกปักษาสวรรค์’ ในอัลบั้ม The War (2017) กับโลโก้ ‘เพชร’ ใน Love Shot (2018) อัลบั้ม Repackage ซึ่งตรงกับการบอกใบ้จาก ซูโฮ (Suho) ลีดเดอร์ของวงว่า EXIST มีกลิ่นอายบางอย่างคล้ายกับเพลง Love Shot และ Ko Ko Bop ทั้งในมิติความเซ็กซี่และความสดใสรวมกัน

นอกจากนั้น ชื่ออัลบั้ม EXIST มีลูกเล่นอีกอย่าง คือการเล่นคำว่า ‘EX’ ให้คล้องจองกับคำว่า EXO ชื่อของวง รายละเอียดนี้เหมือนกับ 2 อัลบั้มก่อนหน้า คือ EXODUS (2015) ที่มีเพลงยอดฮิตในตำนานอย่าง Call Me Baby และอัลบั้ม EX’ACT (2016) จุดเริ่มต้นคอนเซปต์ภาพลักษณ์แตกต่างกันสองขั้ว อย่าง Lucky One และ Monster 

(ที่มา: Knock Knock)

แต่นั่นก็ไม่ได้ยุติแค่การเล่นคำสละสลวยเท่านั้น EXIST ยังมีความหมายลึกซึ้ง เพราะหากแปลตรงตัวจะหมายถึง การคงอยู่ การดำรงอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับสโลแกนการคัมแบ็กครั้งนี้ คือ “We exist in every moment of yours”

เราอยู่กับพวกคุณในทุกช่วงเวลาของชีวิต 

จาก EXO-Planet กับ EXO-L

 ประโยคดังกล่าวคือการตอกย้ำอันแหลมคมจาก EXO ว่า พวกเขาไม่ใช่แค่วันเวลาในอดีต แต่ยังคงอยู่กับทุกคนทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยเฉพาะเหล่า EXO-L ที่เมื่อวันเวลาที่ล่วงเลยได้หล่อหลอมให้ EXO กลายเป็น ‘ความทรงจำในวัยเยาว์’ ของพวกเขาที่ยังคงมีตัวตนอยู่เสมอ

 เหมือนกับประโยคที่ว่า “My youth is forever yours” เพราะความสัมพันธ์ระหว่างแฟนด้อมและศิลปินเหนียวแน่นเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังต้องผ่านอุปสรรคยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วนตลอดระยะเวลาทั้ง 11 ปี

 EXIST ยังปรากฏความหมายในรูปแบบอื่นจากการตีความของแฟนๆ เมื่อวันคัมแบ็กอย่างเป็นทางการของ EXO คือ 10 กรกฎาคม ตรงกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ หรือวันที่ดาวศุกร์ส่องสว่างที่สุดในรอบปี 

เมื่อรวมโลโก้ที่เหมือนดวงดาวและปรากฏการณ์ในวันคัมแบ็กเข้าด้วยกัน EXIST จึงมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า EXO ‘ยังคงเป็นดาวค้างฟ้า’ ที่ส่องสว่างอยู่เสมอ ท่ามกลางหมู่ดวงดาวเกิดใหม่มากมาย โดยฉายภาพดังกล่าวผ่านปรากฏการณ์ดาวศุกร์สว่างที่สุดบนท้องฟ้า เปรียบเสมือนผู้ชายทั้ง 9 คนที่ยังคงเปล่งประกาย สมฉายาราชาแห่งเคป็อปตลอดไป 

หลายคนอาจมองว่าเป็นความบังเอิญ แต่สำหรับ EXO-L สิ่งนี้คือความตั้งใจอีกหนึ่งอย่าง เพราะวันคัมแบ็กของ EXO ตรงกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สุริยุปราคา หรือจันทรุปราคา สืบเนื่องจากคอนเซปต์ของวง เมื่อ EXO เป็นเด็กหนุ่มที่มาจากดาวเคราะห์ EXO Planet มีพลังวิเศษติดตัว และเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ธรรมชาติของโลก

คอนเซปต์ดังกล่าวปรากฏตั้งแต่เพลงเดบิวต์อย่าง What is Love (2012) ที่มีเหตุการณ์สุริยุปราคาเกิดขึ้นในมิวสิควิดีโอ จนถึงในอัลบั้มพิเศษ Don’t Fight the feeling (2020) หลัง EXO ปรากฏตัวในมาดเข้มเพื่อทำภารกิจบางอย่างในยานอวกาศ

นอกจากนั้น ความหมายของโลโก้อัลบั้ม EXIST ต่างถูกตีความไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแสงที่ส่องสอดลงมหาสมุทร เข็มทิศ หรือสัญลักษณ์ประจำตัวของแบคฮยอน ผู้มีพลังแสงตามเนื้อเรื่องของวง แต่ก็คงเป็นปริศนาอยู่ว่า ความหมายที่แท้จริงคืออะไร

Let Me In & Hear Me Out: Pre-Release คู่แฝดที่แตกต่าง แต่ลงตัวและชวนหวนคิดถึงอดีต

จากเพลงเซอร์ไพรส์ในงานแฟนมีตครบรอบการเดบิวต์ 11 ปี EXO’CLOCK กลายเป็นปฐมบทแรกของอัลบั้ม EXIST หลังมีการประกาศว่า จะปล่อยเพลง Let Me In ในวันที่ 13 มิถุนายน 2023 เวลา 18.00 น. ตามเวลาของประเทศเกาหลี

Let Me In เป็นเพลงบัลลาดชวนฝัน แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยและโหยหาขณะเดียวกัน มีเนื้อหาเปรียบเทียบคนรักกับทะเลสีคราม พูดถึงความปรารถนาอันจริงใจที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอด ต่อให้ต้องจมไปในห้วงอรรณพอันมืดมิดก็ตาม

나른한 네 품속 떠다니고 싶어

ผมอยากดำลึกสู่อ้อมกอดแสนอบอุ่นของคุณ

그럴 수만 있다면 날 안아 let me in

ถ้าเป็นไปได้ โอบอุ้มผมไว้ และให้ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดคุณ

‘Cause it’s blue 너의 두 눈

เพราะดวงตาของคุณที่ดูหม่นหมอง

Gotta let me in, you’re the ocean

ให้ผมเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่เปรียบเสมือนมหาสมุทร

매일 같이 기다려

เพราะผมรอคุณอยู่ทุกวัน

Let Me In เป็นเพลงที่ทำให้ใครหลายคนหวนคิดถึงอดีตของ EXO หลายอย่าง นับตั้งแต่ ‘อัลบั้มในฤดูหนาว’ ที่เป็นหนึ่งในจุดขายของวง หลัง The First Snow เพลงในอัลบั้ม Miracles in December (2013) กลายเป็นเพลงประจำชาติของเกาหลีในช่วงหิมะแรกตก จนถึง ‘ช่วงเวลาเดบิวต์’ เมื่อ 11 ปีที่แล้ว หลัง EXO เปิดตัวด้วยเสียงที่เปี่ยมไปด้วยพลังผ่านบทเพลง What Is Love ที่สร้างความตกตะลึงต่อสาธารณะด้วยศักยภาพอันแข็งแกร่งของ เฉิน, แบคฮยอน และดีโอ (D.O.) นักร้องหลักประจำวง 

นอกจากหูเคลือบทองด้วยความสุข ความสะใจอีกหนึ่งอย่างจากการฟังเพลงนี้ คือการดำดิ่งสู่ความลึกซึ้งในบทเพลงจาก เฉิน, แบคฮยอน และดีโอ เสียงร้องหลักของวงอันดับต้นๆ ของเกาหลี ที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีเยี่ยมเหมือนมีประสบการณ์หย่ามากกว่า 10 ครั้ง โดยเฉพาะตอนแอดลิบและไฮโน้ต ที่รู้สึกถึงความรวดร้าวและความโหยหาใครสักคนเหมือนขาดใจ

เพลงนี้จึงออกมาลงตัว สมบูรณ์ และพอจะเข้าใจได้ว่า ทำไม EXO ถึงเลือกเปิดศักราชใหม่ด้วย Let Me In โดยเฉพาะการรวมตัวของ 3 เมนโวคอลของ EXO ที่ยังเจ๋งเหมือนเดิม สมกับคำบอกเล่าว่า “นักร้องหลักของ EXO ขี้โกงมาก จับ 3 คนนี้มาอยู่รวมกันก็ชนะแล้ว”

ไม่ว่าจะเป็น What is Love หรือ Let Me In ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพคับแก้วในการร้องเพลงของ EXO ผสมผสานกับความพยายามพัฒนาตนเองตลอดเวลา เมื่อสมาชิกหลายคนยังขยันเรียนร้องเพลงอยู่เสมอ แม้ว่าจะโลดแล่นในวงการเพลงถึง 11 ปีเต็มก็ตาม

สำหรับเนื้อหามิวสิควิดีโอ Let Me In ก็มีหลายกระแสการวิเคราะห์ เพราะความซับซ้อนและชวนงุนงงสมกับเนื้อเรื่องจากวงที่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ทฤษฎีที่พอเป็นไปได้มากที่สุด คือโลกคู่ขนาน (Parallel Universe) เพราะเป็นหนึ่งในเนื้อเรื่องของจักรวาล EXO ที่ปรากฏใน Power (2017) อัลบั้ม Repackage และอัลบั้มพิเศษ Don’t Fight the Feeling 

Parellel Universe ในอัลบั้ม Don’t Fight the Feeling

ขยายความให้เข้าใจมากขึ้น เนื้อเรื่องหลักของจักรวาล EXO คือมนุษย์ต่างดาวผู้มีพลังวิเศษ ที่ต้องต่อสู้และหลบหนี ‘กองทัพแดง’ (Red Force) ตัวร้ายลึกลับที่ต้องการบดขยี้ชายหนุ่มจากต่างดาว

เรื่องราวตรงนี้ปรากฏให้เห็นผ่านในมิวสิควิดีโอเกือบทุกครั้ง นับตั้งแต่ทีเซอร์ระดับตำนานอย่าง Pathcode ในปี 2015  ซึ่งดูเหมือนว่า EXO กำลังหนีอะไรบางอย่างที่ตามล่าอยู่ รวมถึงข้อสันนิษฐานในเพลง Lucky One ว่าด้วยทฤษฎีสมคบคิด กองทัพแดงจับตัว EXO เพื่อสร้าง ‘ร่างโคลน’ จนนำมาสู่เรื่องราวในอัลบั้ม Obsession เมื่อ EXO ตัวจริงต้องต่อสู้กับ X-EXO หรือร่างโคลนที่ถูกฟูมฝักในห้องแล็บปริศนา 

แต่ในอัลบั้ม Power กลับมีเรื่องราวที่แตกต่างออกไป นั่นก็คือจักรวาลคู่ขนานผ่านการ์ตูนคอมมิค EXO Planet EP. 2641 เมื่อปรากฏภาพสมาชิกทั้ง 8 คนในห้องแห่งหนึ่ง ที่ใช้ชีวิตตามปกติ แต่เนื้อหาจักรวาลหลักของ EXO กลายเป็นเพียงเกมและการ์ตูน ที่พวกเขาอ่านหรือเล่นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

ไม่มีใครรู้สาเหตุแท้จริงถึงต้นกำเนิดจักรวาลคู่ขนาน แต่แฟนคลับบางส่วนก็คาดเดาว่า อาจเป็นเพราะการขาดพลังย้อนเวลาของเทา (Tao) อดีตเมมเบอร์ รวมถึงการหายไปของ เลย์ ผู้มีพลังเยียวยารักษาและสร้างสมดุล กาลเวลาของ EXO จึงปั่นป่วนดังที่เห็น

เพราะในเอ็มวี Let Me In ก็เกิดปรากฏการณ์เช่นเดียวกัน แอ็กเคานต์ @siraxkyungsoo เอ็กโซแอลชาวไทย วิเคราะห์ไว้อย่างน่าสนใจว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในมิติคู่ขนาน หลังเด็กชายคนหนึ่งโยนก้อนหินลงไปในน้ำ แต่กลับกลายเป็นอุกกาบาตพุ่งชนโลกอีกใบที่ EXO อยู่ และเกิดเรื่องราวดราม่าอันน่าสลดตามมา เช่น เฉินกับซิ่วหมินทะเลาะกัน ขณะที่ดีโอพบเซฮุนในร้านกาแฟ ซึ่งดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกัน แต่กลับไม่ยอมทักทายและเดินหนี

จนกระทั่ง ชานยอลประกอบชิ้นส่วนอุกกาบาตเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง สมาชิก EXO ทุกคนจึงรู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น โดยจ้องมองไปบนท้องฟ้า ก่อนที่เวลาจะย้อนกลับ เรื่องราวก่อนหน้าก็กลับมาฉายซ้ำอีกครั้ง แต่กำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ก่อนหน้าทั้งหมด

(ที่มา: @siraxkyungsoo)

นอกจากนั้น ยังมีกระแสบางส่วนก็คาดเดาว่า เหตุการณ์ในเอ็มวีเกิดขึ้นเพราะ EXO แพ้ X-EXO ในการต่อสู้ในอัลบั้ม Obsession ทำให้สมาชิกกระจัดกระจายและไม่รู้ตัวว่าอะไรเกิดขึ้น 

บทสรุปนี้จึงยังไม่ชัดเจนนัก และต้องรอคอยเนื้อเรื่องต่อไปในการคัมแบ็กครั้งหน้า หรือโซโล่เดี่ยวของเมมเบอร์ ที่มักสอดแทรกความเป็น EXO ด้วยเรื่องราวอันคุ้นเคยสำหรับ EXO-L

ขณะที่ Hear Me Out เพลง Pre-Release คู่แฝดตัวที่สอง ก็มาพร้อมกับโลโก้ใหม่ จากแสงไฟประกายเพชรในตอนแรก กลายเป็นแสงไฟนีออนสีชมพูสลับม่วงโดดเด่นกระแทกตา จนทำให้ใครหลายคนทักว่า 

‘เหมือนไฟงานวัดเลย’

‘เอ็กโซบันเทิงศิลป์ ตัวพ่อแบบสับ’ 

ตรงกันข้าม Let Me In อย่างสิ้นเชิง เพราะ Hear Me Out เป็นแนวเพลงสนุกสนาน สไตล์อาร์แอนด์บี (R&B) และโอลด์สกูล (Old School) มีเนื้อหาคือ การสารภาพความจริงใจกับอีกฝ่าย ที่ยังลังเลเริ่มต้นกับความรักครั้งใหม่

EXO ปรากฏตัวด้วยภาพลักษณ์เรียบง่าย แต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่จี๊ดจ๊าดและมีสีสันมากกว่าเดิม เหมือนโลโก้ที่เปลี่ยนไป ทั้งสีผม เครื่องแต่งกาย รวมถึงเนื้อเรื่องในมิวสิควิดีโออันสนุกสนาน เผยเคมีระหว่างเมมเบอร์ที่เราหลายคนคิดถึง 

อย่างไรก็ตาม Hear Me Out ก็ยังคงทิ้งปริศนาบางอย่าง นับตั้งแต่การเล่นกับตัวเลขบนนาฬิกา 10.45 น. ที่วนลูป ความเชื่อมโยงบางอย่างกับเพลง Ko Ko Bop รวมถึงสตอรี่ไลน์โลกคู่ขนาน เมื่อชานยอลและดีโอตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกในสถานที่และเวลาเดียวกัน แต่เนื้อเรื่องหรือบรรยากาศรอบตัวกลับแตกต่างออกไป จึงทำให้หลายคนสงสัยว่า EXO กำลังถูกขังอยู่ในห้วงเวลาหนึ่งหรือไม่

สำหรับเราที่ไม่ได้เป็นแอ๋วสายโคนัน การวิเคราะห์ปริศนาเนื้อเรื่องในเพลงนี้จึงยากลำบาก (มาก) แต่ก็ขอหยิบยกความเห็นน่าสนใจจากเอ็กโซแอลชาวอินเตอร์ คุณ @BOXIANx ที่วิเคราะห์ว่า Hear Me Out คือโลกความเป็นจริง ขณะที่ Ko Ko Bop เป็นภาพหลอนของ EXO เพราะดื่มน้ำสีฟ้าแปลกประหลาดลงไป นั่นจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไม 2 เพลงนี้จึงเชื่อมโยงกัน (ผู้อ่านท่านไหนสนใจเพิ่มเติม อ่านได้ที่นี่)

หากพูดถึงกระแสตอบรับของ Hear Me Out หลายคนชื่นชมและแสดงความคิดเห็นว่า เพลงนี้เพราะตามมาตรฐานของ EXO เพียงแต่อาจจะแปลกและแหวกแนวจากสไตล์เดิมๆ เพราะปกติแล้ว EXO มักไม่ทำแนวเพลงฮิปฮอปจังหวะโอลด์สกูลแบบนี้ 

แต่สำหรับ EXO-L เช่นเรา นี่เป็นแนวเพลงที่คุ้นหูเป็นอย่างดี เพราะ Hear Me Out คล้ายคลึงกับสไตล์เพลงในยูนิตย่อยของวงมาก นั่นก็คือ EXO-SC เมื่อความเห็นของเราและใครหลายคน คิดตรงกันว่า Hear Me Out เหมือนกับ Telephone เพลงของ EXO-SC ที่เซฮุนและชานยอลมีส่วนร่วมในการแต่ง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใจแต่อย่างใด เมื่อชานยอลแสดงความคิดเห็นว่า เขาชอบเพลงนี้ที่สุด และอยากจะขอเพลงนี้เพื่อร้องในฐานะ EXO-SC เอง 

สิ่งนี้ทำให้แอบจินตนาการอยู่หน่อยๆ ว่า ถ้า EXO-SC ได้มีโอกาสร้อง Hear Me Out แบบเต็มๆ จะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในคอนเสิร์ตที่กำลังจะจัดขึ้นในประเทศไทย 

นอกจากนั้น ด้านสนุกสนานขี้เล่นของเมมเบอร์ใน Hear Me Out ก็ชวนให้นึกถึงสเตจบนรายการเพลงอย่าง Unfair ในปี 2015 เมื่อหนุ่มๆ EXO แต่งตัวตามอาชีพที่อยากเป็น หรือซานต้าเนื่องในเทศกาลคริสต์มาส และขึ้นโชว์บนรายการเพลงด้วยมู้ดแอนด์โทนสนุกสนาน น่ารักน่าเอ็นดู

Hear Me Out จึงเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ทำให้ EXO-L หวนนึกถึง EXO ในช่วงอายุ 20 ต้นๆ มากที่สุด โดยเฉพาะรูปทีเซอร์ของเมมเบอร์ที่เหมือนกับสมัยอัลบั้มแรก คือ XOXO (Kiss & Hug) (2013) ในภาพลักษณ์ใสๆ วัยรุ่น จนหลายคนทักว่า “EXO ไม่เคยแก่ มีแต่แอ๋วนี่แหละที่แก่ลงทุกวัน”

Cream Soda แสนสุดหวาน แต่เซ็กซี่จนทำใจใครหล่นหาย: รสชาติใหม่ของ EXO ที่เผยเสน่ห์ใหม่ๆ ในวัยสามสิบ

โลโก้ของอัลบั้มแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากแสงสว่างไฟนีออนในเพลง Hear Me Out กลายเป็นพลุหลากสีที่ยิงขึ้นบนท้องฟ้า และสว่างไสวเป็นโลโก้ของ EXO ซึ่งอีกนัยหนึ่ง ถือเป็นการบอกเล่าคอนเซปต์ของเพลงที่มีเนื้อหาเฉลิมฉลองอะไรบางอย่าง

แต่ Cream Soda คือเพลงโปรโมตหลัก ถ้าเนื้อหาเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนสมกับเป็นวงที่มีเรื่องราวแปลกประหลาด นั่นก็คงจะเป็นเวลาจุดจบสำหรับชาว EXO Planet

‘เสียดายมาก ถ้าเซ็นเตอร์ของวงแบบจงอิน (ไค) อยู่ด้วย เพลงนี้จะกลมกล่อมกว่านี้’

‘ไม่ใช่ครีมโซดา แต่เป็นครีมโซแด๊ด ครีมโซดาไฟ ครีมโซจู’

‘ถึงเวลาแล้วที่ EXO จะทำเพลง Call Me Daddy’

นี่คือหนึ่งในปฏิกิริยาของ EXO-L หลังเห็นรูปทีเซอร์ของ EXO ในไตเติลเพลง Cream Soda ที่ไม่ใช่แค่เพียงแตกต่างจาก Let Me In และ Hear Me Out แต่ยังเปลี่ยนแปลง ‘ยกเครื่อง’ ขนานใหญ่จากการคัมแบ็กในอดีต จนอาจบอกได้ว่า ลุคเซ็กซี่ในเพลง Love Shot ที่คุ้นเคยกันดี กลายเป็น 101 แบบฝึกหัดขั้นพื้นฐานสำหรับวัยประถมทีเดียว

Love Shot (ที่มา: Knock Knock)

แม้ว่าตอนแรกแฟนๆ จะคาดเดาว่า EXO กลับมาในลุคแวมไพร์ตามคอนเซปต์วงที่เล่นกับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ ซูโฮ ลีดเดอร์คนดีคนเดิมก็ ‘ช็อตฟีล’ ดับฝัน EXO-L หลังเผยว่า การคัมแบ็กในครั้งนี้ EXO จะปรากฏในลุคที่เซ็กซี่กว่านั้น 

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะ EXO ปรากฏตัวในภาพลักษณ์เติบโต แข็งแรง โดยเฉพาะความเซ็กซี่เย้ายวนที่ฮอตทะลุปรอท เผยเสน่ห์ของผู้ชายวัยสามสิบที่หลายคนเรียกว่า ‘ตัวพ่อ ตัวแด๊ด’ หรือ ‘ทรงป๋า ทรงเสี่ย’ จนทำให้หลายคนช็อกตาค้างไปตามๆ กัน เพราะไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่า Cream Soda จะเปิดศักราชใหม่ของ EXO ในวัยสามสิบรุนแรงขนาดนี้ (รวมถึงผู้เขียนด้วย) 

โดยเฉพาะการลองคอนเซปต์ใหม่ๆ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่กลัว และถือว่า ‘นอกกรอบ’ สำหรับวัฒนธรรมเคป็อปมากพอสมควร ทั้งภาพทีเซอร์ที่ปรากฏ ‘ฮุกกา’ (Hookah) หรืออุปกรณ์สูบยาในแถบตะวันออกกลางที่คล้ายบารากุ หรือแม้แต่ความหมายแสลงของเพลง Cream Soda ที่มีนัยในเชิง 18+ และปรากฏเป็นสัญญะในเอ็มวีด้วยเช่นกัน 

녹아들수록 좀 더 달콤해져

ยิ่งละลาย ยิ่งหวาน

내 맘을 아주 쏙 빼놔

ก็ยิ่งพรากหัวใจของผมไป

I need all ya cream soda

ผมต้องการครีมโซดาของคุณทั้งหมด

톡 쏘는 듯한 느낌 (Cream) 꽤나 부드러운 cream (Soda)

สัมผัสได้ถึงความซาบซ่าของครีมนุ่ม

섞일수록 더욱 진해져, baby (Cream)

ยิ่งผสมยิ่งเข้มข้นขึ้นนะ ที่รัก

Cream Soda เป็นแนวเพลงป็อปแดนซ์ แต่แปลกใหม่จากสไตล์เพลงเดิมๆ ของ EXO ด้วยคีย์ที่สูงมากตั้งแต่ท่อนฮุก ผสมผสานกับเสียงเครื่องเป่าทองเหลือง ให้ความรู้สึกเซ็กซี่ น่าตื่นเต้น พร้อมส่ายสะโพกโยกย้ายอย่างสนุกสนานไปกับหนุ่มๆ

หากว่ากันตามตรง สไตล์เพลงนี้ให้กลิ่นอายความเป็นแนวเพลงของ Super Junior รุ่นพี่ค่ายต้นสังกัดเดียวกันกับ EXO อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียว เพราะ Cream Soda ถูกสร้างสรรค์ด้วยสไตล์การร้องและน้ำเสียงของสมาชิกจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะไฮโน้ตของเฉินที่ทำให้ทุกคนนึกได้ว่า นี่คือเพลงของ EXO

ขณะเดียวกัน การแสดงในเพลงนี้ก็ถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่า ‘เต้นทุกประโยคจนหายใจไม่ทัน’ ซึ่งลบล้างคำแซวของใครหลายคนว่า EXO ‘เต้นไม่ไหว’ แล้ว ในฐานะไอดอลเจน 2.5 ที่มีความอาวุโสที่สุดท่ามกลางบรรดาไอดอลเจนใหม่

Cream Soda ทำให้เห็นว่า ราชาแห่งเคป็อปยังคงโดดเด่นและพัฒนาในเรื่องการแสดงบนเวทีที่ทรงพลังยิ่งขึ้นไปอีก แม้จะกลับมาทำการแสดงสดในรอบ 3-4 ปี แต่ยังสามารถดึงดูดความสนใจจากทุกคนได้อยู่หมัด เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อต้องร้องเพลงเสียงสูงประกอบกับท่าเต้นที่เร็วและแรงอยู่ตลอด 

สำหรับเนื้อหาเอ็มวี Cream Soda ยังไม่มีผู้วิเคราะห์ไว้โดยตรง แต่หากพูดถึงความเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องหลักในจักรวาลของ EXO เราก็มีข้อสังเกตบางอย่างเป็นการส่วนตัว คือโปสเตอร์และเอ็มวีครีมโซดาปรากฏน้ำสีฟ้าเหมือนเพลง Ko Ko Bop และ Don’t Fight the Feeling ที่คาดเดาจาก EXO-L ว่าเป็นสาเหตุของภาพหลอนตามการวิเคราะห์ก่อนหน้า

 ขณะที่ EXO ใน Cream Soda ตกอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น และมึนงง อีกทั้งยังปรากฏ 2 ไทม์ไลน์ในเนื้อเรื่อง เริ่มต้นจากสมาชิกหลับใหลในชุดปาร์ตี้พร้อมควันสีเขียวที่เหมือนสีของครีมโซดาในเอ็มวี แต่ก็ตัดภาพไปสู่บางช่วงเวลาที่ EXO กำลังฉลองทั้งในชุดสูทและชุดปาร์ตี้

เป็นไปได้หรือไม่ว่า น้ำสีฟ้าและน้ำสีเขียวเป็นสิ่งเดียวกันที่ทำให้ EXO เห็นภาพหลอน ใช้พลังและออกจากห้วงเวลาไม่ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คือไม่สามารถตื่นจากความฝันที่วนลูปเหมือนเพลง Hear Me Out โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลายคนมักมองสลับสีเขียวกับสีฟ้าอยู่บ่อยครั้ง และหากอยู่ในสภาวะมึนงง ก็ยิ่งแยกไม่ออกถึงความแตกต่าง

แต่นั่นก็ยังเป็นปริศนาว่า หากเป็นตามที่วิเคราะห์จริง ใครคือผู้ก่อเหตุกันแน่? X-EXO? กองทัพแดง? หรือสมาชิก EXO บางคน ที่เป็นไส้ศึกทรยศเพื่อนตามทฤษฎีการวิเคราะห์อื่นๆ (ที่ไม่มีพื้นที่เขียนมากพอ) และพวกเขาเหล่านั้นมีเจตนาประสงค์ร้ายอะไรกันแน่

ยังไม่จำเป็นต้องหาคำตอบตอนนี้ เพราะจักรวาล EXO ยังอีกยาวไกล และไม่มีบทสรุปที่ชัดเจน ทุกคนคิดเห็นแตกต่างออกไปได้เสมอ สิ่งเหล่านี้นับเป็นความสวยงาม และเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการเสพเนื้อเรื่องจากเด็กหนุ่มผู้มีพลังวิเศษจากต่างดาว ที่ครองใจใครหลายคนเป็นเวลา 11 ปีเต็ม

ปิดท้ายด้วยความปังของ Cream Soda หลังครองอันดับหนึ่งในของไอทูนส์ (Itunes) มากกว่า 60 ประเทศทั่วโลกภายในไม่ถึง 24 ชั่วโมง รวมถึงกวาด 1-4 อันดับแรกพร้อมกับเพลงบีไซด์ (B-Side) ใน Billboard Hot Trending Songs และอันดับ 2 ใน MelOn 5-Minute Chart เป็นที่เรียบร้อย สมกับฉายาราชาแห่งเคป็อปที่แม้จะห่างหายไปนาน แต่ก็ยังขยันสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่อง ดังที่ใครหลายคนมักบอกว่า “คู่แข่งของ EXO ตอนนี้ คือ EXO ในปีที่แล้ว”

เติบโต มั่นใจ ไร้ความลังเล: EXIST กับด้านใหม่ที่แข็งแรงของ EXO ในวัยสามสิบ

แม้ว่าภาพรวมของ 3 เพลงหลักในการโปรโมต คือหวานซึ้ง สดใส และเซ็กซี่ถึงขั้วหัวใจ แต่พัฒนาการและจุดเด่นในอัลบั้ม EXIST ที่แท้จริง คือการ ‘ส่งต่อความมั่นใจ’ ด้วยเนื้อเพลงและความสวยงามของดนตรีในวัยสามสิบ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว จนกลายเป็น EXO ในเวอร์ชันดียิ่งขึ้น ดังที่แบคฮยอนแสดงความคิดเห็นใน EXO ‘EXIST’ Live Countdown เมื่อวันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า

“อัลบั้มของเราในครั้งนี้คือการไม่ลังเลใจ มีหลายช่วงเวลาที่เราอาจลังเลใจ แทนที่จะกังวลหรือคิดมาก เราหวังว่าพวกคุณจะลงมือทำมัน!” แบคฮยอนอธิบายอัลบั้ม หลังอธิบายเนื้อหาของเพลง Hear Me Out

คอนเซปต์ดังกล่าวจึงถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงในอัลบั้ม นับตั้งแต่ Regret it ที่ชานยอลมีส่วนร่วมในการแต่งเนื้อเพลง มีเนื้อหาถึงการแสดงออกทางความรู้สึกอย่างมั่นใจ และไร้ความกังวล No Makeup เพลงที่เสริมสร้างความมั่นใจของคนรักถึงรูปลักษณ์ของเขาหรือเธอคนนั้นโดยปราศจากการแต่งหน้า รวมถึงความรักในวัยผู้ใหญ่แบบจริงใจ ตรงไปตรงมา ที่แสดงออกผ่านในเพลง Let Me In, Hear Me Out และ Love Fool 

ขณะที่ EXIST ยังแสดงด้านสนุกสนานพร้อมเผยเสน่ห์ในวัยสามสิบออกมา ไม่ว่าจะเป็นเพลง Cream Soda, Private Party หรือ Cinderella และปิดท้ายด้วยเพลง Another Day ซึ่งมีเนื้อหาพูดถึงการใช้ชีวิตในอนาคตต่อจากนี้ และเริ่มต้นช่วงเวลาดังกล่าวกับ EXO เหมือนรุ่งอรุณในเช้าวันใหม่อีกครั้ง

แม้จะมีข้อติดขัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ของอัลบั้ม แผนการปล่อยทีเซอร์ ความหวือหวาของคอนเซปต์ ที่อาจบอกได้ว่า ‘เรียบง่ายเกินไป’ หากเทียบกับสตอรี่ไลน์ของ EXO อันแข็งแรงและแปลกใหม่อย่างเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่สามารถ ‘ตก’ คนใหม่ๆ เข้าด้อมได้ทุกครั้ง รวมถึงการแบ่งท่อนร้องระหว่างสมาชิก ซึ่งเกิดปัญหากับเหล่านักร้องหลักในวง เพราะดูเหมือนว่า ดีโอจะได้รับท่อนร้องเพลงน้อยกว่าที่เคยเป็นในเพลง Hear Me Out 

หรือแม้แต่ปัญหาอื่นๆ ระหว่างการโปรโมต นับตั้งแต่ข้อถกเถียงการสนับสนุนกิจกรรมของ EXO ที่นับว่า ‘ตกต่ำ’ กว่าที่เคยเป็น และเหตุการณ์อัลบั้มขาดตลาด เพราะต้นสังกัดผลิตไม่เพียงพอต่อความต้องการ 

 แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อัลบั้ม EXIST คือการเปิดศักราชใหม่ของ EXO ในวัยสามสิบ และเป็นหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดตลอดกาล เพราะฝีมือ ความทุ่มเท และความตั้งใจของหนุ่มๆ ที่แสดงให้ EXO-L และคนทั่วไปได้รับรู้ผ่านการแสดงเวทีอันประจักษ์ 

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันถึงฉายา สมญานาม และความสำเร็จมากมายของผู้ชายทั้ง 9 คนที่ ‘ยังคงอยู่’ เหมือนกับชื่ออัลบั้ม และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ‘โชคช่วย’ ดังที่ใครหลายคนเข้าใจ

เพราะ ‘ดาวค้างฟ้า’ ยังคงส่องประกายเหมือนเดิม ต่อให้ต้องเผชิญเรื่องเลวร้ายในสักกี่ครั้ง และถูกทุบทำลายจากใครก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความสามารถและความโดดเด่นของ EXO ที่ถูกจารึกในหน้าประวัติศาสตร์เคป็อป เหมือนกับเนื้อเพลง History

“แม้เต็มไปด้วยความผิดพลาด แต่ผมก็แข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งด้วยการค่อยๆ เรียนรู้… เพราะผมคือคนที่สร้างประวัติศาสตร์ในทุกวัน”

อ้างอิง

https://twitter.com/Kyoongs_Luv/status/1675722215332139008

https://genius.com/Genius-english-translations-exo-let-me-in-english-translation-lyrics

https://lyricstranslate.com/en/history-history.html

https://www.tumblr.com/adoringdo/164721425938/exo-theory-pt-575-parallel-universe

https://twitter.com/siraxkyungsoo/status/1668191353061404673

https://www.allkpop.com/article/2023/06/exos-hear-me-out-becomes-the-first-sm-entertainment-song-in-2023-to-debut-at-1-on-the-worldwide-itunes-song-chart

 

Tags: , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , , ,