ซาเวียร์ โดลอง คนทำหนังชาวแคนาดา ตัดสินใจทำหนังเรื่องแรกในวัยเพียง 20 ปี และหนังเรื่องนี้กลายเป็นหนังแจ้งเกิดเขาให้เป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ เมื่อ I Killed My Mother (2009) หนังยาวเรื่องแรกที่เขากำกับคว้ารางวัลจากตัวเทศกาล 3 สาขา ทั้งหนังยาวลำดับต่อๆ มาก็ล้วนแต่แหลมคม จัดจ้าน จนไม่เกินจริงหากเราจะพูดว่า ชื่อของโดลองกับหนังของเขาถือเป็นหนึ่งในชื่อคู่บุญของเทศกาลหนังใหญ่ๆ เสมอ
เรื่องน่าตกใจคือ ช่วงปี 2022-2023 โดลองให้สัมภาษณ์ว่า เขาหมดแรงใจและหมดไฟจะทำหนังอีกต่อไป โดยเขาแถลงการณ์ใน Instagram ส่วนตัวว่า “ผมไม่อยากทำหนังอีกแล้ว ผมเหนื่อย ผมทำหนังมามากเหลือเกิน ผมพอแล้ว ไม่อยากต้องเจอกับกระบวนการหลังถ่ายทำเสร็จ (Post-Production), การเดินสายรอบสื่อ, การออกเดินทาง หรือการตอบคำถาม รวมถึงความสงสัยว่า จะมีคนมาดูหนังของผมไหม มันจะขายได้หรือเปล่า ผมไม่อยากรับมือกับความตึงเครียดจากการแสดง จากความสำเร็จ จากการถูกรัก ผมไม่อยากวางตัวเองอยู่กับสิ่งที่คนอื่นรู้สึกต่อผมอีก ผมอยากเป็นอิสระ”
สิ่งสุดท้ายที่โดลองกำกับจนถึงเวลานี้คือ The Night Logan Woke Up (2022) มินิซีรีส์ทริลเลอร์สัญชาติแคนาดา และร่วมงานโปรดิวซ์บ้าง แต่กระนั้นโดลองก็ไม่ได้หันหลังให้อุตสาหกรรมภาพยนตร์เสียทีเดียว เพราะเขาก็ยังแวะเวียนแสดงหนังอยู่บ้าง โดยล่าสุดเขาปรากฏตัวใน The Great Arch (2025) หนังร่วมทุนสร้างระหว่างฝรั่งเศสกับเดนมาร์ก และหนังฝรั่งเศสอีกเรื่องที่ยังไม่เปิดกล้อง
อย่างไรก็ดีในวาระที่ Laurence Anyways (2012) หนึ่งในหนังที่โดลองกำกับที่คว้ารางวัลเควียร์ปาล์ม ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้หนังที่สื่อสารเรื่องเควียร์ดีเด่นจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เฮาส์ในบ้านเรา เราจึงถือโอกาสนี้แนะนำหนังที่น่าสนใจ (ซึ่งจริงๆ ก็ทุกเรื่อง) ของโดลอง โดยหนังของโดลองนั้นมักเล่าเรื่องของเกย์ ความสัมพันธ์กับสมาชิกในครอบครัว รวมทั้งสายตาของสังคมที่จับจ้องมายัง ‘ความเป็นอื่น’
โดลองเล่าว่า I Killed My Mother อันเป็นหนังเรื่องแรกของเขานั้น มีลักษณะเป็นอัตชีวประวัติพอสมควร โดยหนังเล่าเรื่องความสัมพันธ์อันย่ำแย่ของ อูแบร์ต (โดลองแสดงเอง) กับช็องตาล (แอนน์ ดอร์วัล) ผู้เป็นแม่ หลังจากผู้เป็นพ่อทอดทิ้งจากไป อูแบร์ตอาศัยอยู่กับแม่ภายใต้ชายคาเดียวกัน และทุ่มเถียงกันไม่เว้นแต่ละวัน นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างรายการโทรทัศน์ที่แม่ชอบเปิดไว้ ไปจนถึงเรื่องที่อูแบร์ตเป็นเกย์ ซึ่งโดลองพาคนดูสำรวจความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างดุเดือดตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของหนัง เมื่อครูที่โรงเรียนออกปากให้อูแบร์ตเอาเอกสารไปให้แม่ลงนามรับรอง แต่เขาตอบครูหน้าตาเฉยว่า “แม่ตายไปแล้ว” (แม้ว่าแม่เพิ่งจะขับรถมาส่งเขาที่โรงเรียนก็ตาม)
ภายหลังครูจับได้ว่า เขาโกหกเรื่องนี้ต่อหน้าเธอและบอกเขาว่า “เธอเพิ่งจะฆ่าแม่ของตัวเองนะ” และประโยคนี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้อูแบร์ตเขียนบทความสุดแสบสันและรวดร้าวในชื่อ ‘ผมฆ่าแม่ตัวเอง’
โดลองเล่าว่า เขาเขียนบทหนังตั้งแต่อายุ 16 ปี โดยหยิบเอาส่วนประกอบในชีวิตตัวเองมาใส่ไว้ด้วยกัน เวลานั้นเขาเพิ่งหยุดเรียนจากระบบการศึกษาในแคนาดา และไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ นอกเสียจากการขีดเขียนบทความที่ในเวลาต่อมากลายเป็นบทหนัง
“ผมรู้สึกว่าคงไม่มีคนสนใจมันแน่ๆ เพราะมันส่วนตัวมากๆ แถมยังเล่าเรื่องที่คนไม่ค่อยสนด้วย” เขาบอก “เขียนเสร็จเลยโยนใส่ไว้ในลิ้นชัก ไปทำงานเขียนบทห่วยๆ แทน ซึ่งนักแสดงโชคร้ายหลายคนต้องมาทนอ่าน ถึงที่สุดผมก็เข้าใจว่า สิ่งที่ตัวเองทำตอนนั้นมันไร้ประโยชน์สุดๆ ก็เลยกลับมาหาบทหนัง I Killed My Mother ที่เคยเขียนไว้ ส่งให้เพื่อนซึ่งก็คือ คนที่เล่นเป็นคุณครูในหนัง เธอบอกว่ามันก็คุ้มที่จะลงแรงลงเวลาด้วยนะ และนั่นแหละจุดเริ่มต้น”
(อย่างไรก็ดีโดลองเล่าว่า พ่อแม่ดูหนังเรื่องนี้และประทับใจมาก “พ่อภูมิใจในตัวผมมาก เขาบอกผมว่า ‘จริงๆ พ่อไม่ได้เป็นอย่างในหนังนะ’ ซึ่งก็ถูกของเขา ส่วนแม่ก็บอกเหมือนกันว่า ‘จริงๆ แม่ไม่ได้เป็นอย่างในหนังนะ’ ที่อันนี้ไม่จริงสักนิด” เขาบอก)
หนังยาวลำดับถัดมาของโดลองคือ Heartbeats (2010) ที่ขยับจากการเล่าถึงความสัมพันธ์ในบ้าน ไปสู่ความสัมพันธ์ของคู่หู ฟร็องซิส (โดลอง) กับมารี (โมเนีย โชครี) ที่ดันไปตกหลุมรักนิโคลัส (นีลส์ ชไนเดอร์) หนุ่มหล่อที่ทั้ง 2 เจอในงานปาร์ตี้ ก่อนจะค่อยๆ สนิทสนมกันจนนิโคลัสกลายเป็นคนสนิทที่ฟร็องซิสกับมารีใช้เวลาอยู่ด้วยเสมอ เรื่องเริ่มโกลาหลเมื่อคู่หูพยายามอ่านทีท่าของนิโคลัสว่า เขาชอบใครกันแน่ แต่ก็ยากจะคาดเดา เมื่อนิโคลัสดูจะให้พื้นที่พวกเขาเท่าๆ กัน ทั้งจับจองที่นั่งใกล้ตัวไว้ให้มารี หรือกินลูกเชอร์รีที่วางบนหัวฟร็องซิส
มองเผินๆ มันก็ดูเป็นหนังว่าด้วยความสัมพันธ์ชวนหัวของคนหนุ่มสาว แต่ก็ตามประสาหนังของโดลองคือ การมีองค์ประกอบของการสำรวจความเป็นเกย์อย่างใกล้ชิด ความเจ็บปวดของฟร็องซิสที่พยายามครุ่นคิดหาคำตอบว่า ความใกล้ชิดของอีกฝ่ายมีความหมายเกินเพื่อนหรือไม่ (อันนำไปสู่คำตอบชวนหัวใจสลาย) ตลอดจนสถานะของนิโคลัสที่ตั้งใจวางตัวเองอยู่เหนือคนทั้งสอง อย่างไรก็ดีพ้นไปจากเรื่องความสัมพันธ์และความเกย์ หนึ่งในลายเซ็นเวลาทำหนังของโดลองคือ ความเอะอะมะเทิ่งของตัวละคร กับเรื่อง Heartbeats ใครจะลืมฉากที่ฟร็องซิสกับมารีตะโกนด่ากัน (ไปจนถึงพุ่งตัวเข้าหากันด้วยความพยายามจะทุ่มอีกฝ่ายลงพื้นให้ได้) สุดวายป่วงได้อีก
“หลายคนบอกว่า หนังว่าด้วยความสัมพันธ์มากกว่าความรัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำหรอก” เขาบอก “ผมอยากเล่าเรื่องที่ว่าด้วย ‘รักอันไร้เงื่อนไข’ มากกว่า เรื่องการหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คนที่เอื้อมไม่ถึง และเราต่างมองเรื่องนี้ด้วยสายตาที่แตกต่างกันออกไปอย่างไร
“ผมว่ามันเรียบง่ายแค่นี้แหละ เรื่องของคนสองคน ตัวละครหลักของหนังที่เป็นเพื่อนกัน ตกหลุมรักหัวปักหัวปำให้หนุ่มรูปงามที่พวกเขาเพิ่งเจอ และหวังว่าตัวเองจะสำรวจประเด็นนี้ในหนังได้อย่างจริงใจ โดยไม่ทำให้หนังออกมาดูปลอมเปลือกหรืออะไรทำนองนั้นนะ”
ตามมาด้วยหนังที่เพิ่งเข้าฉายบ้านเราคือ Laurence Anyways (2012) หนังความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง สำรวจความสัมพันธ์ตลอด 10 ปีของโลรองซ์ (เมลวิล พูโพด์) นักเขียนและอาจารย์ด้านวรรณกรรมหนุ่มที่คบหากับเฟร็ด (ซูซานเนอ คลีมองต์) แฟนสาวมา 2 ปี ชีวิตของทั้งคู่เรียบง่าย กระทั่งเมื่อโลรองซ์ตัดสินใจเผยความลับอย่างหนึ่งที่เขาเก็บงำมานานต่อเฟร็ด นั่นคือเขาอยากเป็นผู้หญิง ในความรู้สึกว่าตัวเองถือกำเนิดขึ้นมาผิดเรือนร่าง และอยากเกิดขึ้นใหม่ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
โดลองได้รับแรงบันดาลใจในการทำหนังมาจาก ลูซ เบลเลแกร์ อดีตคนรักของ ลีซ ลาฟงแตง โปรดิวเซอร์คู่บุญของเขา โดยลาฟงแตงเป็นคนขออนุญาตเบลเลแกร์ รวมทั้งลูกๆ ของเบลเลแกร์ในการหยิบเรื่องราวในชีวิตมาดัดแปลงเป็นหนัง และหลังจากหนังออกฉาย โดลองอุทิศหนังเรื่องนี้ให้เบลเลแกร์ด้วย
มองย้อนไป Laurence Anyways อาจเป็นหนังที่มาก่อนกาลเหลือเกิน โดยเฉพาะการที่ตัวละครรู้สึกว่า ตัวเองไม่ได้อยู่ในร่างที่ถูกต้องและไม่ได้เป็นเกย์ ซึ่งถือเป็นรสนิยมทางเพศที่ละเอียดอ่อน มากไปกว่าที่หนังในช่วงปี 2010 มักพูดถึง
มากไปกว่านั้นโดลองยังให้เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นช่วงปลายยุค 90s อันเป็นช่วงก่อนเข้าสู่ศตวรรษใหม่ โลกคล้ายกำลังเดินหน้าไปสู่ความเป็นไปได้มากมาย หากแต่อคติทางเพศยังคงเข้มข้น เห็นได้จากแม่ของโลรองซ์ที่ยังเฝ้าพินอบพิเทาพ่อผู้ไม่เป็นมิตร หรือแม้แต่ตัวโลรองซ์เองที่โดนทำร้ายอย่างหนัก เพราะแต่งตัวไม่เหมือน ‘ผู้ชาย’ อื่นๆ
และมาถึงหนังที่ส่งให้โดลองเข้าชิงรางวัลปาล์มทอง จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งแรกอย่าง Mommy (2014) และฉากจำเมื่อตัวละคร ‘แหกจอ’ พร้อมเพลง Wonderwall ของวง Oasis ที่ทำคนดูหลายคนน้ำตาไหลเป็นเขื่อนแตก หนังพูดถึงความสัมพันธ์ชวนเวียนหัวของแม่ลูกคู่หนึ่ง เดียเนอ (ดอร์วัล) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยววัย 46 ปี ที่ต้องรับมือกับพฤติกรรมชวนละเหี่ยใจของ สตีฟ (อองตวน โอลิวิเยร์ ปีลอง) ลูกชายที่มีภาวะสมาธิสั้นและขาดความยับยั้งด้านอารมณ์ ถึงขั้นที่ก่อเหตุเพลิงไหม้จนทำให้เพื่อนร่วมชั้นได้รับบาดเจ็บ
เดียเนอพยายามประคบประหงมและดูแลลูกชายเท่าที่เวลาและรายได้จะอำนวย แต่พวกเขาก็ทะเลาะกันเกือบตลอดเวลา บ่อยครั้งยังลงเอยที่การทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บรุนแรง ไคลา (คลีม็องต์) เพื่อนบ้านต้องเข้ามาห้ามไว้ และคอยสอนพิเศษให้เด็กหนุ่ม
แน่นอนว่า ในระยะแรกความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 เละเทะไม่มีชิ้นดี เพราะสตีฟปฏิเสธจะอยู่ภายใต้เงื่อนไขของไคลา ก่อนที่ในเวลาต่อมา เขาค่อยๆ เปิดใจและสนิทสนมกับเธอมากขึ้น จนไคลากลายเป็นเพื่อนกับเดียเนอ ชีวิตของทั้งสามเริ่มหันเหไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไคลาได้เพื่อนใหม่มาเยียวยาโศกนาฏกรรมเก่าในชีวิต เดียเนอได้งานเสริมที่ทำให้เธอมีรายได้มากกว่าเดิม และสตีฟมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด กระทั่งพวกเขาได้รับจดหมายที่ระบุว่า ครอบครัวของเด็กชายที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้ ตัดสินใจจะฟ้องสตีฟและแม่ด้วยข้อหาร้ายแรง
โดลองชวนคนดูสำรวจประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกอีกครั้ง โดยมีฉากหลังเป็นสถานการณ์ตึงเครียดของรัฐบาลสมมติในแคนาดา สภาพชีวิตผู้คนที่ถูกผลักให้จนตรอกอยู่เรื่อยๆ และเช่นเคย โดลองไม่เคยเล่าเรื่องแม่กับลูกด้วยท่าทีดราม่าฟูมฟาย เดียเนอเช่นเดียวกับตัวละครแม่อื่นๆ ในหนังของเขาปวดประสาทกับลูกชายจนจะเสียสติ คนดูรับรู้ว่าพวกเขารักกัน แต่ในความรักก็มีความเหนื่อยหน่ายใจ และบ่อยครั้งก็เหมือนจะอยากผลักไสอีกฝ่ายออกไปจากชีวิต
อย่างไรก็ดีสิ่งที่ทำให้ Mommy ถูกพูดถึงอย่างมาก พ้นไปจากประเด็นบทหนังและการแสดงอันยอดเยี่ยมแล้วคือ ลูกล่อลูกชนของโดลองในการใช้ภาษาภาพยนตร์ ช่วงที่ตัวละครยังเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตหนักหน่วง หนังเล่าด้วยเฟรมภาพ 1:1 ที่ชวนให้คนดูรู้สึกอึดอัดไปด้วย ก่อนจะ ‘ขยาย’ เป็นอัตราส่วน 1.85:1 เมื่อตัวละครรู้สึกปลอดโปร่ง ซึ่งยังผลให้คนดูรู้สึกเช่นนั้นด้วย
หนังลำดับต่อมาที่ส่งโดลองชิงปาล์มทองคือ It’s Only the End of the World (2016) ดัดแปลงมาจากบทละครเมื่อปี 1990 ของ ฌ็อง-ลุก ลาการ์ซ และจะว่าไปก็ถือเป็นหนัง ‘รวมดาว’ เรื่องแรกของโดลอง เพราะรวมมิตรนักแสดงชื่อดังของฝรั่งเศสไว้คับคั่ง
หลุยส์ (กัสปาร์ อุลลิแอล) เป็นนักเขียนบทละครวัย 34 ปี ผู้ห่างเหินจากครอบครัวถึง 12 ปี เขาหวนกลับมาอีกครั้งเมื่อตระหนักได้ว่า วาระสุดท้ายของชีวิตจากโรคร้ายกำลังมาถึง แม่ (นาตาลี บาย) ผู้เฝ้ามองเขาเดินจากไปใช้ชีวิตที่อื่นพยายามต้อนรับขับสู้เขาอย่างเก้ๆ กังๆ
หลุยส์ยังพบว่า เขาแทบไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับ ซูซาน (เลอา เซย์ดู) ผู้เป็นน้องสาวเลย ซ้ำร้ายกว่านั้น นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับ แคเธอรีน (มาริยง กอตียาร์ด) พี่สะใภ้ผู้อ่อนโยนและเป็นคนรักของ อองตวน (แวนซองต์ กัสเซล) พี่ชายอารมณ์ร้อนของเขา
หนังอาจไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าความโกลาหลของครอบครัวใหญ่ที่โดลอง ‘ทำถึง’ ในแง่การระเบิดอารมณ์มาตลอด ทั้งตัวละครเสียงดัง การหัวเราะรักใคร่ที่ในอีกนาทีต่อมาก็แปรเปลี่ยนเป็นการสาดความเกลียดชังใส่กันสุดตัว และแม้หนังจะเล่าผ่านสายตาของหลุยส์ผู้หวนกลับมาหาครอบครัวอีกครั้ง แต่หนังก็แทบไม่อธิบายสาเหตุว่า ทำไมเขาจึงจากไป และเปิดพื้นที่ให้คนดูสำรวจความเหินห่าง เงียบงัน เย็นชาที่ตัวละครมีต่อกัน (แม้จะพยายามแสดงออกถึงความรักและความคิดถึงตลอดเวลาก็ตาม) ตลอดจนความเป็นอื่นของหลุยส์และทีท่าความนึกคิด ที่ชวนให้ตั้งคำถามถึงเพศสภาพและการถูกเลือกปฏิบัติของเขา
“ผมว่าบทละคร It’s Only the End of the World พูดเรื่องการขอโทษ การบอกรักและการให้อภัย พร้อมกันกับตั้งคำถามว่า คุณทำกับเราแบบนี้ได้ยังไง แล้วก็ความคิดถึงด้วยน่ะ แต่ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีใครพูดประโยคเหล่านี้ออกมาเลย” โดลองบอก “พวกเขาเอาแต่อ้อมค้อมใส่กันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยแสดงออกถึงสิ่งที่คิดหรือรู้สึกจริงๆ สักนิด”
ทั้งนี้หนึ่งในฉากสุดเจ๋ง (และแสนจะแสบสันแบบโดลอง) คือ การที่ตัวละครเริ่มหัวเราะและมีความสุขอยู่ในห้องครัวแคบๆ อองตวนยิ้มออก และหลุยส์คำนึงถึงความทรงจำวัยเยาว์อันแสนสุข ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยมีเพลง Dragostea Din Tei เพลงแดนซ์ระเบิดของวง O-Zone เป็นฉากหลัง
โดลองยังเข้าชิงปาล์มทองอีกเรื่องจาก Matthias & Maxime (2019) หนังที่ว่าด้วยมิตรภาพ ความรักและการจากลาระหว่าง แมตเทียส (กาเบรียล ดีอัลมีดา ฟรีตัส) กับแม็กซีม (โดลอง) คู่หูหนุ่มน้อยที่ตัวติดกันมาตั้งแต่ยังเด็ก แมตเทียสผู้ร่ำรวยเป็นคนจริงจัง ตั้งหน้าตั้งตาสร้างชีวิตให้ประสบความสำเร็จ ขณะที่แม็กซีมขี้อายและเก็บตัวกว่า เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ดูแลแม่อารมณ์ร้ายและหวังอยากย้ายไปออสเตรเลียเพื่อหางานทำ และแม้จะต่างกันแต่ทั้งคู่ก็สนิทสนม แลกเปลี่ยนความเห็นต่อชีวิตกันเรื่อยมา
กระทั่งวันหนึ่งทั้งสองต้องจับพลัดจับผลูไปช่วยเด็กสาวคนหนึ่งถ่ายหนังสั้น เมื่อนักแสดงที่ต้องเข้าฉากไม่มา แม็กซีมตัดสินใจช่วยเธอขณะที่แมตเทียสถูกบังคับเพราะแพ้พนัน ความเหวอเกิดขึ้นเมื่อทั้งคู่เพิ่งรู้ว่า ตัวละครต้องจูบกัน และหลังจากกระอักกระอ่วนใจ พวกเขาก็ตัดสินใจจูบกันในที่สุด ปัญหาคือจูบนั้นทำให้ทั้งแมตเทียสและแม็กซีมสับสนต่อความรู้สึกของตัวเองที่ต่างเข้าใจว่า พวกเขาสนใจผู้หญิงมาตลอด ก่อนจะนำไปสู่รอยร้าวทางความสัมพันธ์ที่พวกเขายังไม่เข้าใจ
Matthias & Maxime ถือเป็นหนังที่โดลองสำรวจประเด็นความเป็นชายผ่านมิตรภาพด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจ “ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้มาจากกลุ่มเพื่อนผู้ชาย บทสนทนาเกี่ยวกับความเป็นชาย ความกังวลเวลาตัวเองรู้สึกอะไรบางอย่าง แล้วกลัวว่าความเป็นชายของตัวเองจะลดลง” โดลองบอก “ผมอยากทำให้เห็นว่า ความเป็นชายบางทีก็เป็นพิษได้น่ะ เพราะนี่แหละคือแก่นของหนังอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้เลย”
หลังจากนั้นโดลองยังจับงานกำกับหนังสั้นและมิวสิกวิดีโอ รวมทั้งเพลงสุดเลิศของ อะเดล อย่าง Easy on Me อยู่เป็นระยะ หากแต่ยังไม่มีวี่แววที่เขาจะหวนกลับมากำกับหนังยาวอีก จะโผล่มาให้หายคิดถึงบ้างก็ผ่านงานแสดงในหนังเรื่องต่างๆ เท่านั้น ตรงกับที่เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ผมไม่หวังอยากทำหนังอีกแล้วละ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขอีกต่อไปน่ะ”
Tags: People Also Watch, ซาเวียร์ โดลอง, Xavier Dolan, Laurence Anyways, ภาพยนตร์, Queer, เกย์, เควียร์, LGBTQIA+