ดูเหมือนว่า ‘ความเปลี่ยนแปลง’ จะกลายเป็นสัจธรรมข้อใหญ่ในการทำธุรกิจยุคปัจจุบัน เพราะถึงแม้จะยืนหยัดอยู่คู่สังคมไทยมายาวนานถึง 125 ปี แต่องค์กรเก่าแก่อย่างโอสถสภาก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงไปไม่พ้น

จากกระแสข่าวล่าสุดที่ระบุว่า บริษัท โอสถสภา จำกัด กำลังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรขนานใหญ่ แม้ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของโอสถสภาจะยังไม่หยุดนิ่ง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะตามมาได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนทำไม? เปลี่ยนอย่างไร? คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีไปกว่า เพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด ที่เปิดเผยแง่มุมที่เขามีต่อความเปลี่ยนแปลงไว้อย่างชัดเจนในบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้

ตอนที่คุณเข้ามาดูแลโอสถสภาอย่างเต็มตัว บริษัทเป็นอย่างไร

จริงๆ แล้วผมก็เข้ามาดูแลที่นี่ไม่นานนะ แค่ประมาณ 2 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านั้นน้องชายผมคือ คุณรัตน์ โอสถานุเคราะห์ เป็นคนดูแล ตอนนี้ผมก็เข้ามาบริหารเอง นี่เป็นพันธกิจทั้งที่เป็นส่วนตัวของผมและของบริษัทด้วย ก็คือผมเข้ามาเพื่อทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง

จังหวะเวลาที่ผมเข้ามาก็ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ บริษัทเราเป็นธุรกิจครอบครัว เป็นหนึ่งในบริษัทไทยที่เก่าแก่ที่สุด เราอยู่มา 125 ปี ประสบความสำเร็จมาช้านาน มีผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จหลายตัว แต่ปัจจุบันการแข่งขันก็สูงขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของ energy drink ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม personal care และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันยาเราก็ยังมีอยู่แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น โจทย์ของผมคือ ทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตและยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงและมีศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ

การที่คุณตั้งใจมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับองค์กร บอกได้ไหมว่าอยากให้องค์กรเป็นอย่างไร

ผมมุ่งเน้นไปที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ เราต้องมากระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ให้มีการทำงานที่มุ่งไปที่ผลสำเร็จของงาน แน่นอนว่า ผมเองก็ตั้งเป้าหมายว่า เราจะเป็นบริษัทชั้นนำในด้านอุปโภคบริโภคที่ดีที่สุด และทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปได้อีกนับร้อยปีเหมือนที่บรรพบุรุษผมสร้างไว้ ผมคิดว่าการที่เราประสบความสำเร็จมาค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดของ energy drink มันก็อาจจะทำให้เราคุ้นชินและไม่กระตือรือร้นเท่าที่ควร เราเองก็ยังต้องทำอะไรอีกเยอะ มีความท้าทายอีกหลายอย่างที่รอให้ตัดสินใจ

ผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่แน่นอนที่สุด เราต้องไม่ยึดติดและต้องพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองเสมอ เพราะโลกธุรกิจวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ตอนนี้เรามีคนเก่งๆ เข้ามาร่วมงานกับเรา ซึ่งเป็นมืออาชีพระดับท็อปของประเทศ อย่างผมรับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร คนที่ทำงานจริงๆ แบบวันต่อวันเลยก็จะเป็น คุณวรรณิภา ภักดีบุตร กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเพิ่งมาร่วมงานกับเรา ถือว่าเขาเป็นนักการตลาดที่มีฝีมือและมากด้วยประสบการณ์คนหนึ่งของประเทศไทย หลังจากที่เราได้คุณวรรณิภามาร่วมงาน ตอนนี้เราก็มีคนที่มีความสามารถอีกหลายๆ คนมาร่วมงานกับเราเพิ่มขึ้นอีก

จริงๆ เราก็มีทีมที่ดีอยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเอาคนที่มีความสามารถมาเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด เพื่อเสริมทัพให้ทีมของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพราะเป้าหมายของเราคือการเป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่ดีที่สุดในประเทศไทย ซึ่งนี่คือเป้าหมายในระยะยาว ประมาณ 5 ปี หรืออาจจะถึง 10 ปีก็ได้ โดยเราจะต้องทำให้เป็นจริงขึ้นมา และไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่ต้องมีศักยภาพในภูมิภาคนี้ด้วย แล้วสินค้าบางตัวเราก็มองเห็นศักยภาพในการเติบโตไปในระดับโลกด้วย

ตอนนี้โลกหมุนเร็วมาก คุณมองเห็นสิ่งที่ต้องปรับปรุงขององค์กรอย่างไรบ้าง

โอสถสภาก็ถือว่าเป็นองค์กรใหญ่นะ ความไม่คล่องตัวของความเป็นยักษ์มันมีอยู่แล้ว แต่เราก็กล้าคิดนอกกรอบ กล้าที่จะมองปัญหาให้ชัด แล้วก็กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง คือสิ่งที่ผมพูดไปเนี่ยก็นับเป็นความท้าทายมาก ซึ่งผมก็ยังไม่รู้ว่าเราจะเปลี่ยนอะไรบ้าง มากน้อยอีกแค่ไหน ตอนนี้เราก็กำลังวิเคราะห์กันหมดทุกด้านเลย ทั้งเรื่องการปรับโครงสร้างผู้บริหารจากครอบครัวสู่มืออาชีพ การบริหารจัดการแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ รวมไปถึงระบบบริหารจัดการข้อมูลให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น

จริงๆ แล้วโอสถสภาก็เป็นองค์กรใหญ่และอยู่มานาน องค์กรที่ใหญ่ขนาดนี้ยังมีความเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ตรงไหนบ้าง

ก็ผู้นำองค์กรเป็นคนในครอบครัวหมดไง แล้วมืออาชีพที่เข้ามาเขาก็ต้องรอคนในครอบครัวมาตัดสินใจ แต่เมื่อผมก้าวเข้ามา ทุกคนก็รู้ว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ผมให้สิทธิและอำนาจในการบริหารงานและการตัดสินใจของคนที่ผมเลือกเข้ามา ทุกคนรู้ว่ากรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณวรรณิภา คือผู้นำทีมบริหาร ผมมีหน้าที่สนับสนุน ทำให้ทุกอย่างไปในทิศทางที่ถูกต้อง โดยอาศัยการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหาร

สไตล์การทำงานของผมคือ การทำงานเป็นทีม ซึ่งผมจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ ด้วย ตอนนี้บริษัทของเรามีการบริหารแบบมืออาชีพเต็มตัว เข้ามาช่วยขับเคลื่อนบริษัท หน้าที่ของผมคือสนับสนุนการทำงานและให้ความคิดเห็นต่อเรื่องต่างๆ ที่มีการนำเสนอและตัดสินใจ หรือเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ต้องการความเห็นของผมเพื่อนำไปสู่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของธุรกิจในอนาคต

ถ้าการเปลี่ยนแปลงที่พยายามทำกันอยู่ส่งผล ผู้บริโภคจะเห็นอะไรบ้าง

ถ้าทุกอย่างที่เรากำลังขับเคลื่อนอยู่ตอนนี้สำเร็จเรียบร้อย ทุกอย่างก็จะชัดเจนขึ้น สินค้าเราก็จะโดนใจผู้บริโภคมากขึ้น ที่สำคัญผมว่าผู้บริโภคจะรู้สึกดีขึ้น เชื่อมั่น และให้ความไว้วางใจในแบรนด์ของโอสถสภา และรู้ว่านี่คือสินค้าสำหรับฉัน

 

สัมภาษณ์: วสิตา กิจปรีชา, วรัญญู อินทรกำแหง ภาพ: ภาสกร ธวัชธาตรี สไตลิสต์: Hotcake

หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์นี้ตีพิมพ์ครั้งแรกใน a day BULLETIN ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559