เด็กนักเรียน 17 คนวิ่งหายไปจากบ้านตัวเองอย่างลึกลับพร้อมกันในคืนหนึ่ง มีเพียงกล้องวงจรปิดของแต่ละบ้านบันทึกภาพพวกเขาวิ่งหันหลังออกไปสู่ความมืด จุดร่วมเดียวที่เด็กทุกคนมีคือ ต่างเป็นเด็กในชั้นเรียนของ จัสติน (จูเลีย การ์เนอร์) ครูสาวที่ตกเป็นเป้าโจมตีของเหล่าผู้ปกครองที่ขวัญเสียสุดขีด หนึ่งในนั้นคือ อาร์เชอร์ (จอช โบรลิน) ช่างก่อสร้างที่พบว่าลูกชายของเขาวิ่งหายไปจากบ้านอย่างลึกลับ ขณะที่ พอล (อัลเดน เออเรนริช) นายตำรวจหนุ่มประจำเมืองที่ดันมีความหลังกับจัสติน ก็ต้องเวียนหัวจากการพยายามสืบคดีนี้ 

ทั้งเรื่องยังยุ่งขิงมากขึ้นไปอีกเมื่อ เจมส์​ (ออสติน อับรามส์) คนไร้บ้านติดยาพยายามยืนกรานว่าเขาพบเห็นเด็กที่หายตัวไปในชั้นใต้ดินของบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเป็นบ้านที่ อเล็กซ์ (แครี คริสโตเฟอร์) เด็กชายเพียงคนเดียวในชั้นเรียนของจัสตินที่ไม่หายตัวไปด้วยอาศัยอยู่

  Weapons (2025) หนังยาวลำดับล่าสุดของ แซค เคร็กเกอร์ (Zach Cregger) ที่ทำคนหลอนขนหัวลุกมาแล้วจาก Barbarian (2022) โดยเขายังคงมาตรฐานความคงเส้นคงวาด้านการห่มคลุมหนังทั้งเรื่อง ด้วยบรรยากาศหลอนหลอกชวนขนหัวลุก กล่าวคือหากว่า Barbarian ว่าด้วยบรรยากาศเครียดเขม็งของบ้านหลังหนึ่ง กับหนุ่มหล่อสาวสวยแปลกหน้าใต้ชายคา Weapons มันก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วยการจับจ้องไปยังเมืองทั้งเมืองที่ตื่นตระหนกกับการหายตัวไปของเด็กๆ มิหนำซ้ำยังมี ‘สิ่งแปลกปลอม’ บางอย่างคืบคลานเข้ามาด้วย

  เราอาจจะอ่านหนังในแง่การที่กำลังพูดถึงอนาคตของเยาวชนในสหรัฐฯ ก็ได้ หรือแม้แต่จะพิจารณาถึงมันในฐานะหนังที่กำลังบอกเล่าความง่อนแง่นของสถาบันครอบครัวในอเมริกา เมื่อจุดเริ่มต้นมาจากการที่ ‘สิ่งแปลกปลอม’ ที่ว่าเข้าไปยึดครองบ้านอันอบอุ่นแสนสุข (หรือคือบ้านของอเล็กซ์) ที่พ่อแม่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา

หนังฉายให้เห็นว่าแม้อเล็กซ์จะเป็นเด็กเงียบๆ และถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนบ้าง แต่เขาก็มีพ่อแม่ที่เอาใจใส่ กระทั่งเมื่อคุณป้าปริศนามาถึงที่บ้าน ครอบครัวเขาก็แตกหักไม่เหมือนเดิม หรือกระทั่งการที่หนังฉายภาพความปรารถนาของอาร์เชอร์ที่หวังอยากบอกรักลูกชายให้มากกว่าเดิม ก็สะท้อนถึงภาพความจริงที่ว่า เขาห่างเหินและไม่ได้เอาใจใส่ลูกชายอย่างที่ควรเป็น (ที่อาจมีผลให้ลูกชายของเขากลายเป็นเด็กที่กลั่นแกล้งนักเรียนคนอื่นที่โรงเรียนด้วยก็เป็นได้)

  หนังไม่อินังขังขอบที่จะชี้ว่าเด็กๆ ในเรื่องคืออาวุธตามชื่อหนัง นอกจากอเล็กซ์ ซึ่งไม่ตกอยู่ใต้มนต์สะกด หนังไม่ได้เล่าเรื่องของเด็กทั้ง 17 คนและเรียกพวกเขารวมๆ ว่า เป็น ‘อาวุธ’ ที่ชวนให้ตั้งคำถามต่อว่า แล้วพวกเขาเป็นอาวุธของใคร มุ่งโจมตีใคร และหากถอยออกมามองในภาพใหญ่ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันกำลังสะท้อนภาพสังคมที่กำลังหล่อหลอมเยาวชนไปสู่การประหัตประหาร ทิ่มแทงกันอย่างมืดบอด

  อันที่จริงก็น่าสนใจที่หนังนำเสนอเยาวชนในฐานะอาวุธ หรือสิ่งที่มีอำนาจในการทำลายล้างผู้อื่น (ซึ่งหนังเฉลยให้เห็นอย่างหฤโหดว่า เหยื่อรายสุดท้ายของเด็กๆ คือใคร) ทั้งที่โดยนัยแล้ว เด็กมักเป็นภาพแทนของความบริสุทธิ์ ความเยาว์วัย และเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการ ‘ปกป้อง’ จากผู้ใหญ่ คำตอบคือ หนึ่งในเงื่อนไขของการสร้างความน่ากลัวคือ การท้าทายแนวคิดดังกล่าวและทำให้เด็กกลายเป็นผู้ล่าแทน 

งานวิจัย Understanding Children Who Killed โดย อีเลนอร์ เบ็ตต์ส (Eleanor Betts) ชี้ว่า “เด็กๆ เป็นภาพแทนของอนาคต เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามา ความกลัวอันเกิดจากความไม่รู้ล้วนมุ่งไปสู่ผลกระทบที่อาจเกิดต่อเด็ก ดังนั้นในยุค 90s ก็เป็นยุคที่เรากลัววิดีโอเกม ขณะที่ในศตวรรษที่ 19 ผู้คนก็หวั่นกลัวนิยายราคาถูก พวกเขากลัวว่าเด็กๆ จะอ่านนิยายเหล่านี้แล้วใช้ความรุนแรงแบบเดียวกันในชีวิตจริง”

Village of the Damned (1960) หนังร่วมทุนสร้าง 2 สัญชาติ (สหราชอาณาจักร-สหรัฐอเมริกา) ดัดแปลงมาจากนิยายชื่อ The Midwich Cuckoos (1957) ว่าด้วยเหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งของอังกฤษ เมื่อผู้หญิงในวัยเจริญพันธุ์ ต่างพากันตั้งท้องโดยพร้อมเพรียงกันขึ้นมาในวันหนึ่งโดยไม่มีสาเหตุ นำมาซึ่งความโกลาหลในหลายๆ ครอบครัวจนบ้านเกือบแตก มิหนำซ้ำพวกเธอยังรู้สึกว่าครรภ์นี้แปลกประหลาด เพราะระยะเวลาตั้งครรภ์สั้นกว่าปกติหลายเดือน ก่อนที่พวกเธอจะให้กำเนิดเด็กที่มีลักษณะเหมือนกัน คือผมสีบลอนด์สว่าง ดวงตาสุกสกาวเรืองแสง เล็บมือตรงผิดปกติ และบุคลิกเย็นชาน่าพิศวง ทั้งเมื่อเด็กๆ เหล่านี้เติบโตขึ้น (ด้วยความเร็วกว่าเด็กทั่วไปหลายเท่า) ก็ยิ่งชัดเจนว่าพวกเขาสื่อสารกันได้ทางโทรจิต ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหน ก็ดูเหมือนพวกเขาจะสนทนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากกันได้เสมอ

3 ปีล่วงผ่าน เด็กๆ เติบใหญ่กว่าอายุตัวเอง 4 เท่าตัว พวกเขาแต่งตัวเหมือนกัน นิยมรวมตัวกันใช้ชีวิตเป็นกลุ่มใหญ่ พูดจาเหมือนคนโตมากกว่าเด็กเล็ก อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ดูเหมือนจะปราศจากอารมณ์ความรู้สึกโดยสิ้นเชิง ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พ่อแม่และคนในชุมชน ที่แม้จะรักพวกเขาอย่างลูกแท้ๆ อดรู้สึกอึดอัดและขนลุกไม่ได้ 

พร้อมกันนั้น พวกผู้ใหญ่ก็พยายามสืบสาวราวเรื่องและพบว่า มีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นหลายพื้นที่ในโลก เช่น ที่ออสเตรเลียซึ่งเด็กๆ ที่ถือกำเนิดไม่รอดชีวิตหลังเกิดได้ 10 ชั่วโมง, ชาวเอสกิโมสังหารเด็กๆ เพราะเชื่อว่าไม่ใช่ลูกของพวกเขา, ในมองโกเลีย ทั้งแม่และทั้งเด็กถูกสังหาร ขณะที่ในรัสเซีย เด็กๆ รอดชีวิตและได้รับการศึกษาตามปกติ โดยมีผู้ตั้งสมมติฐานว่า เด็กเหล่านี้มาจากนอกโลกและมา ‘ไข่’ ไว้เพื่อให้มนุษยชาติเลี้ยงดู

หลายคนอาจคุ้นๆ เรื่องย่อที่ว่านี้ ซึ่งไม่น่าแปลก เพราะนิยาย The Midwich Cuckoos ถูกนำมาดัดแปลงหลวมๆ ในชื่อ กาเหว่าที่บางเพลง โดย หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช และในเวลาต่อมาก็ถูกหยิบไปทำเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ด้วย

Children of the Corn (1984) เป็นหนังอีกเรื่องที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงอยู่เนืองๆ ในแง่ของหนังที่ว่าด้วยเด็กชวนสยอง อันที่จริงมันก็ไม่ได้รับเสียงวิจารณ์ดีเด่อะไรนัก หากแต่การที่หนังฉายภาพความหฤโหดที่เด็กกระทำต่อผู้ใหญ่ ก็ทำให้มันถูกพูดถึงในแง่การเป็นหนังทริลเลอร์ชวนขนหัวลุกแม้ในอีกหลายปีถัดมา หนังดัดแปลงมาจากงานเขียนชื่อเดียวกันของเจ้าพ่อนิยายเขย่าขวัญ สตีเฟน คิง (Stephen King) เล่าถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในเนบราสก้าที่รายล้อมด้วยทุ่งข้าวโพด เมื่อถึงปีที่การเก็บเกี่ยวพืชผลไม่เป็นไปดั่งใจ ชาวไร่เริ่มหันไปสวดอธิษฐานเพื่อให้ข้าวโพดงอกงามในฤดูกาลหน้า

ขณะที่ ไอแซ็ค โครเนอร์ (จอห์น แฟรงคลิน) เด็กชายวัย 9 ขวบพาเพื่อนๆ ในเมืองไปยังทุ่งข้าวโพด และพวกเขาไปเข้าลัทธิที่มีเทพเจ้าลึกลับองค์หนึ่งเป็นผู้นำ และชักชวนให้เด็กๆ ทั้งเมืองปฏิวัติด้วยการสังหารผู้ใหญ่ทั้งหมดในฐานะเครื่องสังเวย

3 ปีต่อมา หนังจับจ้องไปยัง วิกกี (ลินดา ฮามัลตัน) กับสามีของเธอ เบิร์ต (ปีเตอร์ ฮอร์ตัน) ที่ออกมาเที่ยวยังเนบราสก้าและเดินทางมายังชานเมือง พวกเขาเจอเด็กชายที่กระเสือกกระสนหนีตายมาจากไร่ข้าวโพด ขณะที่ชายปริศนาอีกคนที่ดูจะเป็นผู้ใหญ่คนสุดท้ายในตัวเมืองปฏิเสธที่จะสนทนาหรือให้ความช่วยเหลือใดๆ แก่ทั้งคู่ ยังผลให้ทั้งวิกกีและเบิร์ตออกสำรวจเมือง และพาพวกเขาไปเจอกับความสยดสยองของเหล่าเด็กๆ ผู้สังเวยชีวิตผู้ใหญ่ให้เทพเจ้า

หนัง (รวมทั้งตัวนิยายของคิง) ถูกตีความว่ามีเนื้อหาที่ว่าด้วยศาสนาโดยตรง โดยเฉพาะมีฉากที่ตัวละครอ่านไบเบิลขณะที่พยายามต่อต้านการมาถึงของมารร้าย หรืออาจจะอ่านหนังได้ในแง่ที่ว่า เด็กหรือผู้บริสุทธิ์นั้นถูกล่อล่วงให้ออกห่างจากพระเจ้าโดยง่ายก็ยังได้ อย่างไรก็ตาม Children of the Corn กลายเป็นหนังที่ชวนขนหัวลุกอีกเรื่อง เมื่อเอาเข้าจริงแล้ว มันฉายภาพความพ่ายแพ้ที่ผู้ใหญ่มีต่อเด็กโดยไม่อาจต่อต้าน ผู้ใหญ่ในหนังไม่ใช่คนที่กุมอำนาจ แต่เป็นเด็กๆ ที่ได้รับพลังจากปีศาจต่างหาก

หรือหากไม่ใช่เด็กกลุ่มใหญ่ หนังที่พูดถึงเด็กเพียงคนเดียวแต่ชวนขนพองสยองเกล้าคือ Benny’s Video (1992) หนังร่วมทุนสร้าง 2 สัญชาติ ออสเตรียและสวิตเซอร์แลนด์ ของ มิคาเอล ฮาเนอเกอ (Michael Haneke) หนังเปิดด้วยฟุตเทจหยาบๆ ที่ใครคนหนึ่งถ่ายหมูถูกยิงด้วยปืนลม ก่อนที่มันจะเล่าถึง เบนนี (อาร์โน ฟริช) เด็กชายวัย 14 ปีที่หมกมุ่นกับกล้องตัวใหม่ พ่อแม่ของเขาสนับสนุนเต็มที่ด้วยการซื้อโทรทัศน์ อุปกรณ์บันทึกเสียงให้เบนนีทดลองถ่ายทำและตัดต่ออย่างที่เขาปรารถนา โดยไม่รู้เลยว่าลูกชายตัวเองกำลังหลงใหลความรุนแรงบางอย่าง

เบนนีเจอเด็กหญิงคนหนึ่งในร้านเช่าวิดีโอ เขาชวนเธอไปบ้านและเปิดฟุตเทจหมูถูกสังหารให้เธอดู ก่อนจะตั้งกล้องถ่ายตัวเองสังหารเด็กหญิง เฝ้ามองเธอกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอด ก่อนจะใช้กำลังปลิดชีวิตเธออย่างเงียบเชียบ ทำความสะอาด ยัดศพเธอเข้าตู้ในห้องนอนและลงไปหาของกิน ทั้งหมดทั้งมวลปราศจากคำอธิบาย คืนนั้นเบนนีเข้านอนตามปกติกับศพเด็กผู้หญิงที่เขาซ่อนไว้ อีกวันต่อมา เขาเดินไปบอกพ่อแม่หน้าตาเฉยว่า เขาซุกศพนั้นไว้ในบ้าน ท่ามกลางสีหน้าพรึงเพริดของคนทั้งสอง

สิ่งที่น่าสยดสยองที่สุดไม่ใช่แค่วิธีการสังหารของเบนนี หรือความที่เขาหมกมุ่นต่อความรุนแรงเท่านั้น หากแต่เป็นความสามัญปกติที่เขาใช้ชีวิตต่อหลังจากนั้น ฮาเนอเกอฉายให้เห็นความเด็กบางอย่างของเบนนีที่ทำอาหารกินเองไม่ได้ ต้องดื่มนมเย็นๆ เหมือนเด็กทั่วไปทั้งที่เพิ่งฆ่าคนมา

มากไปกว่านั้น หนังยังชวนให้ขนลุกเมื่อเบนนีดูไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการกระทำของตัวเอง เขาฆ่าโดยไร้เหตุผล และประกาศสิ่งที่ตัวเองทำโดยไร้เหตุผลเช่นกัน ขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ ที่พูดถึงการกระทำอันรุนแรงของเด็ก แม้แต่ใน Weapons ดูจะมีเหตุผลเรื่องแวดล้อมหรือการตกอยู่ภายใต้อำนาจบางอย่างมารองรับ แต่กรณีของ Benny’s Video อำมหิตกว่านั้น เพราะอำนาจที่อยู่เหนือเบนนีคือ ‘สื่อ’ เป็นสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและใกล้ตัวทุกคน มันไม่ได้มาจากมนต์ประหลาดของคุณป้า ไม่ได้มาจากนอกโลก และไม่ได้มาจากลัทธิบ้าคลั่ง มันเพียงแต่อยู่ในชีวิตกับความรุนแรงอันไร้การควบคุม

ว่าไปแล้ว หนังที่พูดถึงความหวาดหวั่นอันเกิดจากเด็กเป็นผู้ล่า ด้านหนึ่งก็อาจ ‘ทำงาน’ กับคนดูในฐานะผู้ใหญ่ กับความท้าทายว่าตัวเองสูญเสียอำนาจในการควบคุมหรือทำความเข้าใจบางอย่าง ที่เราต่างรู้สึกว่าควบคุมได้มาโดยตลอดอย่างเด็กๆ และเยาวชนก็เป็นได้

Tags: , , , , , , , ,