คิดอะไรอยู่?
ผมเชื่อว่าคงมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกประหลาดใจแบบเดียวกัน หลังได้ยินข่าวการประกาศอำลาวงการนักแข่งรถสูตรหนึ่ง หรือฟอร์มูลาวันของ นิโค รอสเบิร์ก ยอดนักขับชาวเยอรมัน ที่เพิ่งจะคว้าตำแหน่งแชมป์โลกคนล่าสุดได้ไม่ถึงสัปดาห์ดี
มันดูผิดวิสัยของนักกีฬา จนพานคิดไปว่ามันอาจจะมีลับลมคมในอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า
แต่เมื่อได้ฟังคำตอบจากนิโค ซึ่งเรียบง่ายและชัดเจน ความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นในใจก็ดูจะคลายตัวลงบ้าง
“ผมไต่เขาของผมเอง ผมมาถึงยอดเขาแล้ว ดังนั้นผมรู้สึกว่ามันเหมาะสมแล้ว”
สำหรับบางคนคำว่า ‘พอแล้ว’ ก็คือพอจริงๆ
เขาไม่ต้องการอะไรอีกแล้วจากวงการนี้
สายเลือดนักซิ่งจาก ‘เกเก้’ สู่ ‘นิโค’
นิโค รอสเบิร์ก อาจจะไม่ใช่นักขับซูเปอร์สตาร์ในสายตาหรือการรับรู้ของแฟนกีฬาทั่วไปเหมือน ลูอิส แฮมิลตัน, เฟอร์นานโด อลอนโซ หรือเซบาสเตียน เวทเทล ที่ดูมีความพิเศษอยู่ในตัว
แต่ความจริงแล้วเขาสืบสายเลือดตรงจาก เกเก้ รอสเบิร์ก อดีตแชมป์โลกฟอร์มูลาวันในปี 1982 โดยก่อนหน้าวันเกิดของเขา (27 มิ.ย.1985) แค่ 4 วัน เกเก้เพิ่งจะคว้าแชมป์รายการ ยูเอส-อีสต์ จีพี
รอสเบิร์ก คือสายเลือดแห่งแชมเปี้ยนตัวจริง เพียงแต่เขาไม่ใช่คนที่พยายามจะเป็นจุดสนใจของโลกเหมือนซูเปอร์สตาร์คนอื่นๆ เท่านั้น
รวมถึงพ่อของตัวเองด้วย
เกเก้ รอสเบิร์ก เป็นนักขับระดับสตาร์จอมโวคนหนึ่งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการทำตัวเด่นตลอดเวลา โดยหนึ่ง
ในภาพจำของเขาคือการคาบซิการ์มวนโตเอาไว้เสมอ
ในปีที่เขาได้รับรางวัลแชมป์โลก มีการจัดพิธีมอบรางวัลโดยสหพันธ์รถแข่งนานาชาติ หรือ FISA (Fédération Internationale du Sport Automobile – ต่อมาได้ยุบตัวลงในปี 1993) ในช่วงก่อนคริสต์มาส เกเก้ได้เคยก่อเรื่องเล็กๆ เอาไว้ให้เป็นตำนาน
“ใครก็รู้ดีว่าภาษากลางของฟอร์มูลาวันคือภาษาอังกฤษ แต่พวกเขาไม่มีใครพูดได้เลย พวกเขามากล่าวยกย่องผมเสียใหญ่โต แต่ดันพูดเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งผมไม่รู้เรื่อง ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าผมควรจะทำให้พวกเขาได้รู้เสียบ้างว่า
ผมรู้สึกอย่างไร ผมก็เลยพูดสุนทรพจน์เป็นภาษาฟินนิช, อังกฤษ, สวีดิช และเยอรมัน”
เรียกว่าแสบสันไม่เบาสำหรับรอสเบิร์ก ผู้พ่อ
แต่ภายใต้บุคลิกดังกล่าว ความสำเร็จในชีวิตนักขับของเขาเกิดจากความจริงจังและการใส่ใจในรายละเอียด
นิโคเขาเลือกจะรับส่วนนี้มาจากพ่อ
และแม้จะรู้ตัวว่า ‘ราคา’ ที่เขาต้องจ่ายเพื่อจะได้เป็นนักขับรถเหมือนพ่อนั้นหมายถึงชีวิตทั้งชีวิต แต่เขาก็พร้อมที่จะเอาชีวิตเข้าแลก
เพราะเขารู้ว่าความสำเร็จของเขานั้นมีความหมายกับเกเก้แค่ไหน
เช่นกันกับเกเก้ ความสำเร็จของลูกนั้นมีค่าเหนือทุกความสำเร็จอื่นใด
ในวันที่ลูกชายได้แชมป์โลก เกเก้ที่ตัดสินใจงดให้สัมภาษณ์ออกสื่อเป็นระยะเวลาเกือบ 7 ปี ยอมเปิดเผยความรู้สึกเป็นครั้งแรก แม้ว่าคำถามจากสื่อออกจะยียวนสักนิดเมื่อถามว่าระหว่างความสำเร็จของเขาและนิโค อะไรมีความหมายมากกว่ากัน?
“สำหรับผม ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านิโค ไม่ว่าจะผลงานหรือความสำเร็จในตอนนี้ เราคือครอบครัวกีฬา เขารู้ดีว่าความสำเร็จนี้มีความหมายแค่ไหนสำหรับเขา และมันมีความหมายแค่ไหนสำหรับผม”
สุดท้ายนิโคเองก็สร้างตำนานในแบบของตัวเองในพิธีการรับรางวัลเช่นกัน
ต่างกันตรงที่เขาไม่ได้พูดสุนทรพจน์ด้วยภาษาที่หลากหลายเหมือนพ่อ
เขาแค่มาบอกลาเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งสุดท้ายกับเพื่อนที่เคยรัก
ถึงการเกิดและเติบโตในครอบครัวนักกีฬานั้นอาจเป็นความได้เปรียบอย่างหนึ่งสำหรับตัวเขา เพราะนั่นหมายถึงเขาจะได้รับการสั่งสอนและปลูกฝังจากโค้ชดีกรีแชมป์โลกมาตั้งแต่เล็ก
กรณีของนิโค เขาเริ่มต้นหัดขับรถคาร์ตมาตั้งแต่อายุ 6 ขวบ และนั่นหมายถึงเขาใช้ชีวิตในฐานะนักขับมากว่า 25 ปี
ชีวิตที่เข้มงวดและรวดร้าว
เพราะการเป็นนักขับรถ ถึงจะดูโก้หรูในเบื้องหน้า แต่ในเบื้องหลังแล้วเป็นชีวิตที่ยากลำบากอย่างยิ่ง การแข่งรถนั้นไม่ใช่การขับรถไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย มันไม่ง่ายขนาดนั้น
ชีวิตนักขับรถ นอกจากเรื่องความสามารถในการขับขี่ระดับสูงสุดที่ต้องมาพร้อมกับสติและปัญญาแล้ว ‘ร่างกาย’ เองก็ต้องได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้สามารถรับกับแรง G ที่เกิดจากพลังอันมากมายมหาศาลของเครื่องยนต์และความเร็ว อุณหภูมิในค็อกพิต (ห้องขับ) ที่ร้อนโหดร้ายกว่าทุกที่บนโลกใบนี้ ทำให้ในการขับทุกครั้งนักขับจะสูญเสียน้ำหนักไปกว่า 3 กิโลกรัมเลยทีเดียว!
นอกเหนือจากร่างกาย ‘จิตใจ’ เองก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะความเครียด ความกดดัน การเดิมพันบนเวลาเพียงเสี้ยววินาที มันหนักหนาเข้าขั้นสาหัส
โดยเฉพาะสำหรับนิโคในวัย 31 ปี เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าปีนี้เขามีโอกาสครั้งแรกที่จะได้แชมป์โลก หลังจากที่มีสัญญาณในช่วงต้นฤดูกาลแข่งขันว่าเขามีโอกาสจะเบียดแย่งแชมป์จาก ลูอิส แฮมิลตัน อดีตเพื่อนรักที่กลายมาเป็นเพื่อนแค้นได้ในปีนี้
เหตุผลดังกล่าวทำให้เขาตัดสินใจทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างลงไปในการแข่งขันเอฟวันปีนี้
ความจริงทั้งสองเคยเป็นเพื่อนรักกันมา นับตั้งแต่การพบกันแห่งโชคชะตาเมื่อ 16 ปีก่อนในวงการรถคาร์ตทีม MBM (Mercedes-Benz/McLaren) เคยเป็นรูมเมต เคยเล่นฟุตบอล ตีปิงปอง เล่นเกมแข่งกัน หรือแม้แต่แบ่งไอศกรีมกันกิน
โรเบิร์ต คูนิกา เพื่อนเก่าในวงการรถคาร์ตยังจำได้ว่าทั้งสองแข่งกันแม้กระทั่งการซิ่งรถเพื่อกินพิซซ่า
แฮมิลตัน อยู่ในระดับที่เหนือกว่า มีพรสวรรค์มากกว่า แต่ทั้งสองก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาโดยตลอด ไม่ว่าจะในระดับรถคาร์ต ฟอร์มูลาทรี หรือแม้แต่ในวันที่ก้าวมาถึงระดับฟอร์มูลาวัน
แต่มิตรภาพที่เคยงดงามเริ่มพังทลายลง นับตั้งแต่วันที่แฮมิลตันเซ็นสัญญาเป็นนักขับของทีมเมอร์เซเดส เมื่อปี 2013
ความจริงมันควรจะเป็นการจับคู่ที่งดงาม แต่กลับกลายเป็นว่าทั้งสองต้องแข่งขันกันเอง โดยที่ไม่คิดจะมีใครยอมใคร
ในการแข่งที่โมนาโกปี 2014 นิโคพยายามขัดขวางไม่ให้แฮมิลตันคว้าตำแหน่งโพล จากนั้นในเวลาต่อมานิโคขับรถของเขาชนรถของเพื่อนรัก และหลังจากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนสถานะจาก ‘เพื่อนรัก’ เป็นเพื่อนแค้น
มีอีกหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมา และล้วนแต่ไม่น่าจดจำทั้งสิ้น
แม้กระทั่งในเรซสุดท้าย แฮมิลตันพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้นิโคสามารถเข้าเส้นชัยในฐานะอันดับ 1-3 แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
การแข่งขันที่หนักหน่วงตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้นิโคยอมรับว่าเขาไม่ต้องการเจอกับเรื่องราวแบบนี้อีก
มันมากเกินที่เขาจะรับไหวแล้ว
สนามต่อไปของแชมป์โลก
นอกเหนือจากการอำลาเมื่ออยู่บนจุดสูงสุดโดยไม่เหลือความท้าทาย และการบอกลาการต่อสู้กับเพื่อนรักที่แสนโหดร้ายแล้ว
อีกหนึ่งเหตุผลดีๆ ที่ทำให้นิโคตัดสินใจที่จะหยุดทุกอย่างลงตรงนี้คือ เด็กสาวแสนน่ารัก อลายา แก้วตาดวงใจของเขากับ วิเวียน ซิโบลด์ ภรรยาสาวที่ให้การสนับสนุนมาตลอด
สำหรับนิโค วิเวียนและอลายา คือสนามแห่งชีวิตที่แท้จริงของเขา และถึงเวลาที่เขาจะต้องชดใช้ในสิ่งที่วิเวียนเสียสละให้แก่เขาตลอดระยะเวลาของการใช้ชีวิตร่วมกัน
อัลลัน แม็กนิช อดีตนักแข่งเอฟวัน เล่าว่าในการแข่งรถปีหนึ่งนั้น นักแข่งจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 ใน 3 ของปีนอกบ้าน เดินทางมากกว่า 100 เที่ยวบินไปใน 20 กว่าประเทศ
มันเป็นชีวิตที่ไม่เป็นชีวิตเท่าไหร่นัก และทำให้นักแข่งรถมีชีวิตส่วนตัวน้อยมาก เข้าสังคมน้อยมาก และชีวิตครอบครัวนั้นยากลำบากมาก
โชคดีสำหรับนิโค ที่วิเวียนรักแท้ของเขาเข้าใจและให้การสนับสนุนทุกอย่าง
เมื่อชีวิตเดินทางมาถึงจุดนี้ แม็กนิชบอกว่านักแข่งทุกคนมักจะถามตัวเองว่า “นี่เรากำลังทำอะไรอยู่”
สำหรับบางคน – โดยเฉพาะผู้ที่รักการแข่งขันเป็นชีวิตอย่างแฮมิลตัน หรืออลอนโซ พวกเขายังเอาชีวิตผูกติดกับค็อกพิต และพร้อมจะโจนทะยานลงสนามแข่งขันต่อไป
แต่สำหรับนิโค ถึงแม้จะเป็นแชมป์โลกรายการเดียว ถึงแม้จะมีคำปรามาสและความสงสัยว่าที่แท้แล้วเขาเก่งกว่าแฮมิลตันจริงหรือไม่
มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะใส่ใจ
ช่วงเวลา 25 ปีแห่งการแข่งขันที่ยาวไกล การขับเคี่ยวที่ร้อนแรง ทุกอย่างจบลงแล้วสำหรับสนามนี้
หลังการเข้าเส้นชัยในที่ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ เขาขับรถช้าๆ เพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเหยียบเบรก กดปุ่มดับเครื่องยนต์ และเดินกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม
FACT BOX:
- ถึงนิโค รอสเบิร์ก จะสืบสายเลือดจากเกเก้ ผู้เป็นพ่อ แต่เขาเลือกจะใช้สัญชาติเยอรมันตามแม่ และไม่พูดภาษาฟินนิช
- ในปี 2002 นิโคได้แชมป์ฟอร์มูลา บีเอ็มดับบลิว ทำให้ได้เข้ารับการทดสอบกับทีมวิลเลียมส์ เมื่ออายุ 17 ปี และกลายเป็นนักขับที่อายุน้อยที่สุดที่ได้ขับรถฟอร์มูลาวัน
- นิโคแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการในการแข่งฟอร์มูลาวันที่บาห์เรน เมื่อปี 2006 โดยควบรถทีมวิลเลียมส์ เข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 7 และสร้างสถิตินักขับอายุน้อยที่สุดที่ทำเวลาต่อรอบได้เร็วที่สุด
- การขึ้นโพเดียมครั้งแรกของเขา คือการคว้าอันดับ 3 ในรายการออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ ปี 2008 โดยขึ้นโพเดียมร่วมกับเพื่อนรัก (ในเวลานั้น) ลูอิส แฮมิลตัน
- นิโคชอบเตะฟุตบอลในช่วงก่อนการฝึกซ้อม โดยถือเป็นการอบอุ่นร่างกาย และยังชอบตีเทนนิสด้วย
- เขาเข้าพิธีวิวาห์กับวิเวียน ที่คบกันมายาวนานในสัปดาห์เดียวกับที่ทีมชาติเยอรมัน คว้าแชมป์โลกได้ที่ประเทศบราซิลเมื่อปี 2014