สำหรับใครที่ทำงานอยู่ในวงการแฟชั่นหรือมีความชอบในแฟชั่น อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน (Alexander McQueen) คือชื่อหนึ่งที่ทุกคนจะเห็นด้วยว่า เขาคืออีกหนึ่งบุคคลที่ปฏิวัติและขยายขอบเขตของวงการแฟชั่นในด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง

แม็กควีนที่ออฟฟิศตัวเองในลอนดอน
Photo: yoox.com
เขาคือดีไซเนอร์ที่สร้างเส้นทางของตัวเองอย่างชัดเจน แม้ทุกวันนี้เขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ดีไซเนอร์หลายคนยังคงได้แรงบันดาลใจจากผลงานของแม็กควีนอยู่เสมอ ในวาระเดือนเกิดของดีไซเนอร์ชาวอังกฤษคนนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะยกย่องและทำให้เด็กรุ่นใหม่เห็นว่าหลายอย่างที่ เดมนา กวาซาเลีย (Demna Gvasalia) แห่ง Vetements หรือ อเลสซานโดร มิเคเล (Alessandro Michele) ที่ Gucci ทำกัน และเราต่างชื่นชมนักหนาต่างก็ได้รับอิทธิพลจากแม็กควีนไม่มากก็น้อย

แม็กควีนในวัยเด็ก
Photo: pinterest.com
ลี อเล็กซานเดอร์ แม็กควีน เกิดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ปี 1969 ณ ย่านเลวิแชม ลอนดอน ประเทศอังกฤษ คุณพ่อเป็นคนขับรถแท็กซี่และคุณแม่เป็นอาจารย์ แม็กควีนมีพี่น้องทั้งหมดหกคนโดยตัวเองเป็นลูกคนสุดท้อง ในวัยเรียน แม็กควีนถือได้ว่าเป็นเด็กที่เป็นตัวของตัวเองสูง มีความแซ่บซน และโดดเด่นด้านศิลปะเป็นอย่างมาก พออายุ 16 ปี แม็กควีนก็ตัดสินใจออกจากโรงเรียนและไปฝึกงานที่ย่านตัดสูทอันดับหนึ่งของอังกฤษอย่างซาวิลโรว์ (Savile Row) ที่ห้องเสื้อ ทั้ง Anderson & Sheppard และ Gieves & Hawkes ที่แม็กควีนเคยกล่าวไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า เขาเคยตัดชุดสูทให้เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และปักคำหยาบเข้าไปในซับใน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปฝึกงานกับห้องเสื้อ Angels and Bermans ซึ่งช่วงเวลาเหล่านี้ก็ถือได้ว่าช่วยหล่อหลอมทักษะของแม็กควีนในการเป็นช่างตัดเย็บเสื้อผ้าที่เขาได้รับการยกย่องมาโดยตลอด
จุดเปลี่ยนของแม็กควีนเกิดขึ้นหลังจากเขาศึกษาในระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเซ็นทรัลเซนต์มาร์ตินส์ ในสาขาแฟชั่นดีไซน์ บางคนอาจไม่รู้ว่าตอนแรกที่แม็กควีนตัดสินใจเรียนเพราะอยากทำงานด้านคัตติ้ง แต่หัวหน้าคอร์สสอนแฟชั่น บ็อบบี ฮิลล์สัน (Bobby Hillson) กลับมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวแม็กควีนและหยิบยื่นโอกาสให้เขาได้เรียนทันที

คอลเล็กชันจบของแม็กควีนที่เซ็นทรัลเซนต์มาร์ตินส์ ในปี 1992
Photo: photobucket.com
พอแม็กควีนได้แสดงผลงานคอลเล็กชันจบในปี 1992 บรรณาธิการแฟชั่นชื่อดังในยุคนั้นอย่าง อิซาเบลลา โบลว์ (Isabella Blow) ที่มาดูโชว์ก็ตัดสินใจซื้อทั้งคอลเล็กชันของแม็กควีนด้วยราคา 5,000 ปอนด์ (แม้เธอจะผ่อนชำระเป็นงวดๆ) และได้กลายเป็นคนที่ช่วยผลักดันแม็กควีนให้เป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในฐานะมิวส์ของกันและกัน (ถึงแม้จะมีช่วงแตกหัก เพราะทั้งคู่มีอารมณ์ฉุนเฉียว) ก็ถือได้ว่าต้องถูกจารึกในวงการแฟชั่นเลยทีเดียว

โลโก้แบรนด์ Alexander McQueen
Photo: wikipedia commons
พอเรียนจบแม็กควีนก็เริ่มทำแบรนด์ของตัวเองทันที โดยใช้ชื่อว่า Alexander McQueen แทนชื่อ Lee McQueen เพราะอิซาเบลลา โบลว์ บอกว่าชื่อกลางดูแพงกว่า ในแต่ละซีซัน โชว์ของเขาจะเป็นที่กล่าวขานของวงการแฟชั่น ในความนอกคอก และรุนแรง เพราะใช้คอนเซปต์ที่ได้แรงบันดาลใจ ตั้งแต่ โจน ออฟ อาร์ก จนถึงหญิงขายบริการ

กางเกงทรง bumster สุดฮือฮาของแม็กควีน
Photo: pinterest.com
สิ่งที่เราจะได้เห็นมีทั้งกางเกง bumster ที่ตัดมาให้เห็นแก้มก้น การใช้สีแดงให้ดูเสมือนเลือด หรือเสื้อผ้าฉีกขาดเหมือนถูกทารุณกรรม แต่ไม่ว่าแม็กควีนจะโดนนักวิจารณ์เขียนด่าขนาดไหน เขาก็ไม่เคยแคร์และเดินหน้าต่อไปในทางที่เขาเชื่อมั่นและอยากดีไซน์

แม็กควีน และ อิซาเบลลา โบล์ว บนหน้าปก V Magazine
Photo: navigaytour.net
ในปี 1996 บริษัท LVMH (เจ้าของ Louis Vuitton, Kenzo และ Céline) ได้ตัดสินใจจ้างแม็กควีนให้เป็นดีไซเนอร์คนใหม่ของห้องเสื้อ Givenchy ต่อจาก จอห์น กัลลิอาโน (John Galliano) ซึ่งก็สร้างกระแสทันทีหลังจากแม็กควีนต่อว่าผลงานกูตูร์คอลเล็กชันแรกของตัวเองว่า “ห่วยแตก” แต่ในขณะเดียวกันปี 1996 ก็เป็นปีแรกที่แม็กควีนชนะรางวัลดีไซเนอร์ยอดเยี่ยมของเวที British Fashion Awards และชนะอีกสามครั้งในปี 1997, 2001 และ 2003

โชว์คอลเล็กชัน Spring 1999 ของแม็กควีน
Photo: vice.com

โชว์คอลเล็กชัน Spring 2001 ที่ใช้ชื่อว่า VOSS
Photo: pinterest.com

ผลงานของช่างภาพ นิก ไนต์ (Nick Knight) ที่ใช้ชื่อว่า Blade of Light ในปี 2004 ที่ใช้เสื้อผ้าของแม็กควีนทั้งหมด
Photo: timeout.com
เข้าสหัสวรรษใหม่ในปี 2000 แม็กควีนก็สร้างความฮือฮาอีกครั้งหลังตัดสินใจขายหุ้น 51% ของแบรนด์ตัวเองให้กับเครือ Gucci Group (ทุกวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Kering Group) ด้วยการผลักดันของ ทอม ฟอร์ด (Tom Ford) ที่ตอนนั้นเป็นครีเอทีฟไดเรกเตอร์ให้กับ Gucci ในสัญญาแม็กควีนยังคงได้อิสระเต็มที่ในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ และทางกลุ่ม Gucci ยังช่วยเพิ่มทุนเปิดร้านทั่วโลกให้ พูดได้ว่าเป็นช่วงขาขึ้นของแม็กควีนก็ว่าได้ ซึ่งต่อมาในปี 2006 แม็กควีนก็ได้ตัดสินใจเปิดไลน์เสื้อผ้าชื่อ McQ ที่ราคาย่อมเยาลงและประสบความสำเร็จสุดๆ กับลายหัวกะโหลกที่คนไทยหลายคนนิยมซื้อกันในเวอร์ชันของผ้าพันคอ

ผลงานแม็กควีนที่ Givenchy ระหว่าง 1996-2001
Photo: wordpress.com
แม็กควีนเองได้รังสรรค์แฟชั่นโชว์ที่น่าจดจำไว้มากมายจนนับไม่ถ้วน สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาโดดเด่นคือการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานในโชว์ที่ตระการตาและผลักดันความฝันให้คนคิดไปให้ไกลขึ้น เราจะเห็นได้จากการใช้โฮโลแกรม ของนางแบบ เคต มอสส์ (Kate Moss) ในคอลเล็กชัน Fall 2006 ที่ใช้ชื่อว่า Widows of Culloden

โฮโลแกรมนางแบบ เคต มอสส์ จากคอลเล็กชัน Fall 2016
Photo: wordpress.com
ส่วนอีกหนึ่งโชว์ที่กลายเป็นโชว์สุดท้ายที่เราจะได้เห็นแม็กควีนบนรันเวย์ คือคอลเล็กชัน Spring 2010 ที่ใช้ชื่อว่า Plato’s Atlantis ที่มีกล้องหุ่นยนต์สองตัวดัง Transformer มาถ่ายไลฟ์สตรีมอยู่บนเวที ซึ่งโชว์ก็จบด้วยเพลง Bad Romance ของ Lady Gaga ที่ถูกปล่อยเป็นครั้งแรก เราจะได้เห็นว่าแม็กควีนไม่ได้เป็นแค่ดีไซเนอร์ แต่ยังเป็นนักคิดสร้างสรรค์ตัวจริงที่คิดทุกอย่างแบบ 360 องศา และต้องการให้ทุกโชว์สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่สำหรับโลกแฟชั่นก็ว่าได้

คอลเล็กชัน Spring 2010 ที่ใช้ชื่อว่า Plato’s Atlantis
Photo: alexandermcqueen.com
ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ปี 2010 ทั้งโลกต่างช็อกกับข่าวแม็กควีนฆ่าตัวตายในคอนโดมิเนียมของตัวเองในลอนดอนด้วยวัยเพียง 40 ปี การสูญเสียในครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งครั้งสำคัญ ไม่ใช่แค่กับวงการแฟชั่น แต่ยังรวมถึงวงการศิลปะ แม้เราจะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง แต่แม่ของแม็กควีน จอยซ์ แม็กควีน (Joyce McQueen) ก็เพิ่งเสียจากโรคมะเร็งเพียง 9 วันก่อนที่แม็กควีนจะตาย และหลายคนก็ได้ออกมาพูดว่าการที่ อิซาเบลลา โบลว์ ได้ฆ่าตัวตายเมื่อปี 2007 ก็อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจแม็กควีนตั้งแต่นั้นมา ภายหลังมือขวาของแม็กควีน ซาราห์ เบอร์ตัน (Sarah Burton) ก็ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ Alexander McQueen จนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมมาโดยตลอด

แม็กควีน และมือขวาของเขา ซาราห์ เบอร์ตัน
Photo: ris.fashion.telegraph.co.uk
สิ่งวิเศษอย่างหนึ่งเกี่ยวกับวงการแฟชั่นคือ เมื่อดาวเด่นคนไหนจากไป เราก็ยังคงมีโอกาสได้ยกย่องพวกเขาอยู่เสมอผ่านผลงานและเสื้อผ้าที่ไม่ได้ตายจากเรา ในปี 2011 พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิทัน ในนิวยอร์ก ได้จัดนิทรรศการ Savage Beauty ที่รวบรวมผลงานต่างๆ ของแม็กควีน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย และต่อมาโชว์นี้ก็ได้ย้ายไปแสดงที่ลอนดอนในปี 2015 ณ พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต

นิทรรศการ Savage Beauty ที่รวบรวมผลงานแม็กควีน
Photo: thevintagenotebook.com
ส่วนหลายสำนักพิมพ์ก็ต่างผลิตหนังสือเกี่ยวกับผลงานและชีวิตของแม็กควีนออกมามากมายทุกปี ล่าสุดก็มีการประกาศออกมาเรียบร้อยแล้วว่าจะมีหนังชีวประวัติออกมาเกี่ยวกับแม็กควีนที่กำกับโดย แอนดรูว์ เฮจ (Andrew Haigh) และ แจ็ก โอคอนเนลล์ (Jack O’Connell) รับบทนำ สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าคนยังสนใจในตัวแม็กควีนอยู่ และคนรุ่นต่อๆ ไปก็ยังคงมีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับเขา

เพื่อนสนิท Björk ที่งานศพของแม็กควีน
Photo: pinterest.com
เส้นทางการเป็นดีไซเนอร์ของแม็กควีนถือว่าไม่ได้สวยหรู โรยด้วยกลีบกุหลาบ และดื่มแต่แชมเปญไปวันๆ แต่เขาทำให้เห็นว่าลูกของคนขับรถแท็กซี่ก็สามารถสร้างตัวเองขึ้นมาได้ หากเราเชื่อในสิ่งที่เราทำและเป็นตัวของตัวเอง ในวันนี้ที่แม็กควีนไม่ได้อยู่กับเราแล้ว หลายคนสงสัยว่าเขาจะเป็นอย่างไรหากต้องเผชิญกับสถานการณ์ในวงการแฟชั่นทุกวันนี้ที่ไปเร็วมาก แต่เอาเข้าจริงแม็กควีนคงไม่ได้กลัวอะไร เพราะเขาเดินนำพวกเราไปนานแล้ว

ผลงานไฮไลต์ของแม็กควีน
Photo: luxurytravelersguide.com
นี่แหละคือ anti-hero ตัวจริงของวงการแฟชั่น
Tags: design, Fashion