คนหนึ่งคือกวีหนุ่ม และนักแต่งเพลง ที่ประกาศตัวว่าเป็น Male Feminist และมีเพจหวานยั่วๆ ว่า ‘โรแมนติกร้าย’ คนหนึ่งคือศิลปินสาวนักวาดภาพประกอบที่มีลายเส้นหวานๆ และภาพสเก็ตช์เด็กผู้หญิงอันเป็นเอกลักษณ์ ต่อเมื่อคนทั้งคู่คือ  วิน นิมมานวรวุฒิ และ มะโม (mamo) – วรมา อำไพรัตน์ ได้มีโอกาสมาทำงานร่วมกัน นิทรรศการที่ผสมผสานระหว่างดนตรี บทกวี และภาพวาด จึงเกิดขึ้นเพื่อการให้กำลังใจผู้หญิง ในชื่อ ‘Miss Candy Heart’ ณ ห้องสีขาวเล็กๆ ใน Woof Pack ศาลาแดง ตั้งแต่วันนี้ถึง 8 กันยายน 2019

(ซ้ายไปขวา) วิน นิมมานวรวุฒิ และ มะโม (mamo) – วรมา อำไพรัตน์

นักเขียนกับนักวาดภาพมาเจอกันได้อย่างไร

มะโม: โมรู้จักวินจากการเป็นแฟนนักอ่าน อ่านกวีของวินจนเหมือนเรารู้จักกันมานานเกือบสิบปีแล้ว จากหนังสือเล่มแรกคือ รองเท้าสีชมพูกับโลกสีเอิร์ลเกรย์ อ่านจบก็เริ่มฟอลโล่ว์วินมาตลอด

วิน: เรียกว่าเราต่างก็เป็นแฟนคลับของกันและกันมาโดยตลอด จนวันหนึ่งก็คิดว่าเราควรจะมาจอยกัน ทำอะไรร่วมกันสักอย่าง และนิทรรศการครั้งแรกของเราทั้งคู่จึงเกิดขึ้น โดยใช้ชื่อ Miss Candy Heart เป็นการรวมบทกวีและภาพประกอบเข้าไว้ด้วยกัน ที่อยากทำงานนิทรรศการเพราะเราคิดว่าเมสเสจในงานศิลปะของเราอาจจะต่อยอดได้มากกว่าหนังสือ หรือว่ากวี การมาชมนิทรรศการทำให้เราได้เสพงานศิลปะหลายรูปแบบ เป็นประสบการณ์ที่มีหลายมิติมากกว่า

จากที่ทั้งคู่ทำงานส่วนใหญ่ในโลกดิจิทัล พอมาเป็นนิทรรศการแบบนี้แตกต่างอย่างไร

มะโม: เราสองคนชอบเดินมิวเซียม การที่ได้ดูรูปภาพหรืองานปั้นอะไรสักอย่างมันสามมิติ มันไม่ใช่แค่พิกเซลอย่างที่เราดูกันทุกวันๆ มันทำให้เกิดประสบการณ์ที่รอบด้านมากขึ้น เวลาคนเห็นงานผ่านจอ มันเหมือนมีอะไรที่กั้นอยู่ เพราะฉะนั้นการที่ทำนิทรรศการจึงรู้สึกว่า มีสิ่งที่สัมผัสได้ มีความอินเตอร์แอค แล้วก็เหมือนมีตัวเราไปยืนอยู่กับภาพ

วิน: เรายังเชื่อในโลกอนาล็อก เราเชื่อว่าดิจิทัลให้เสน่ห์ได้ไม่หมด เราก็เลยหลงใหลเสน่ห์ของการจัดนิทรรศการแบบนี้

ทำไมเราต้องลุกขึ้นมาเข้าใจและให้กำลังใจผู้หญิงตามคอนเซปต์หลักของนิทรรศการ 

วิน: ถามว่าทำไม ก็คงต้องย้อนกลับไปถึงวัยเด็กอันแสนหวานขม เราโตมากับซิงเกิ้ลมัม เพราะฉะนั้นเราก็เลยเข้าใจคำว่า Girl Power เรารู้ว่าความเจ็บปวดในชีวิตผู้หญิงคืออะไร แล้วอะไรคือความสุขในชีวิตของผู้หญิง ในเมื่อเราแฮงค์เอาท์กับผู้หญิงบ่อย แล้วเราก็มีแม่เป็นเพื่อน ก็เลย Why not ?  ไม่มีเหตุผลที่จะไม่เขียนถึง เล่าถึงผู้หญิง 

มะโม: สำหรับโมคิดว่าทุกคน ไม่ว่าจะผู้ชายผู้หญิงล้วนต้องการความเข้าใจ แล้วก็ต้องการการรับฟัง ต้องการเห็นคุณค่าในตัว  นิทรรศการนี้จึงเป็นการบอกว่า I see you แบบเราเห็นคุณนะ เราเห็นคุณค่าในการที่คุณมาอยู่ตรงนี้ อันนี้โมสังเกตเห็นจากคนรอบตัว หรือแม้แต่โมเอง เวลาผู้หญิงมองตัวเอง เขาจะไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง อย่างโมต้องผ่านการหา Therapist อะไรมาหลายอย่าง ซึ่งเราก็คิดว่า ก็คงมีคนเป็นเหมือนเราเยอะ

ผู้หญิงแต่ละคนในนิทรรศการ Miss Candy Heart เป็นอย่างไร

วิน: ในนิทรรศการก็จะเห็น Miss ต่างๆ ที่มีอารมณ์ ความนึกคิด คาแรกเตอร์แตกต่างกัน เพราะเรารู้สึกว่าผู้หญิงแต่ละคนมีมุมมองแตกต่างกัน อย่างมะโมเราก็มองว่าการวาดเป็นเมจิกของเขา ที่เขาทำให้โลกนี้น่าสนใจ สวยงามขึ้น ส่วนชื่อนิทรรศการ Miss Candy Heart นั้น Candy สื่อถึงความเปราะบาง แล้วก็ความอินโนเซนต์ สื่อถึงผู้หญิงที่โรแมนติก แต่ต้องอยู่ในโลกที่ Realistic แล้วก็ถูกโลกทำร้ายมาเยอะ แต่เขาก็เลือกที่จะมีหัวใจสีชมพูเหมือนเดิม ไม่ได้ให้โลกเปลี่ยนเขาไปแต่อย่างใด

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้นิทรรศการนี้เป็นสีชมพู

วิน: สีชมพูตัดน้ำเงิน Navy เพราะเรารู้สึกว่าสีคราม มันมีพลัง

มะโม: สำหรับโมคือตีความเลยว่ามันต้องเป็นสีชมพู สีอื่นไม่ได้ ความยากของงานจึงอยู่ที่เรามีสีใช้อยู่แค่สองสี แต่เราจะทำอย่างไรให้เป็นสองสีที่ดูมีความหลากหลาย น่ามอง แล้วก็ยังเป็นสไตล์ของเราอยู่ด้วย ยังไปได้กับบทกวี ให้เรารู้สึกว่า อ่านกวีบทนี้ คู่กับภาพเหล่านี้แล้วกลมกล่อมละมุนไปด้วยกัน

การคิดชิ้นงานเริ่มต้นจากกวีหรือภาพวาด

มะโม: เกือบทั้งหมดได้แรงบันดาลใจจากบทกวี และก็เพลง นิทรรศการครั้งนี้เป็นโปรเจ็กต์ที่ทำคู่ขนานไปกับการทำหนังสือชื่อเดียวกันคือ Miss Candy Heart ซึ่งมีการรวมบทกวีและรูปภาพเช่นกัน

วิน: แรกๆ ก็คิดงานจากกวี แต่พอหลังๆ ก็เริ่มมีรูปวาดที่มะโมวาดมาก่อน และเราก็อินสไปร์จากภาพวาดมาเขียนกวีเหมือนกัน 

ภาพและกวีที่จะได้รับชมใน Miss Candy Heart ต่างจากงานที่ทั้งคู่เคยทำอย่างไร

วิน: ความโตขึ้นทั้งในแง่ของสไตล์การทำงาน แล้วก็สไตล์ภาพ สไตล์การเขียน แน่นอนว่าการใช้ชีวิตมันเลี่ยงการเติบโตไม่ได้ อย่างโตขึ้นก็ต้องเห็นความดาร์กของโลกนี้มากขึ้นแน่นอน แต่ว่าเราก็ไม่ได้ให้ความดาร์กของโลกมาเปลี่ยนเรา แต่เราจะสู้กับมันไป จะสังเกตว่า Miss ทุกคนในนิทรรศการนี้ถ้าอ่านเผินๆ จะดูเป็นคนลั้ลลา ร่าเริง แต่ว่าถ้ามองลึกลงไปจริงๆ จะเห็นว่าเขาผ่านความเจ็บปวดในชีวิตมาเยอะมาก ก่อนที่เขาจะมีหัวใจสีชมพูได้แบบนี้ 

มะโม: ความเป็นการ์ตูนที่ใส่เข้าไปในงานยังให้ความโรแมนติกอยู่นะ มีความพาสเทล แต่ดูเหมือนว่า สีพาสเทลที่ถูกตัดด้วยสี Navy กลับมีความลุ่มลึกมากขึ้น แต่ละ Miss มีหน้าตาต่างกันมาก เราพยายามดึงความยูนีคของผู้หญิงแต่ละคนให้ออกมาให้ได้มากที่สุด ให้มีความหลากหลาย แล้วเราก็ใส่ความเป็นแฟชั่นเข้าไปเยอะขึ้น มีความแฟนตาซีมากขึ้นเพราะเรานำแฟชั่นเข้ามาอินสไปร์เรามากขึ้นด้วย

อยากให้เล่าถึงความพิเศษเฉพาะ Miss Candy Heart

วิน: ในส่วนบทกวีก็จะเป็นงานเพนท์บนผ้า แล้วก็มีบทกวีที่ใช้พิมพ์ดีดพิมพ์ มีชิ้นเดียวในโลก ซึ่งนั่นชัดเจนว่าเราหลงใหลเสน่ห์อนาล็อก ไม่ว่าจะเป็นไวนิล หรือพิมพ์ดีดที่ทำให้รู้สึกสงบเวลาได้ยินเสียงแป้นพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีการอ่านบทกวี และเพลงให้ได้ใส่หูฟังไปพร้อมกับการชมงาน  และที่เอ็กซ์คลูซีฟมากจริงๆ จะเป็นบทกวีที่เราเขียนถึง น้ำตาลบุตรศรัณย์ ทองชิว หลายคนรู้จักว่าน้ำตาลคือน้ำตาลเดอะสตาร์ แต่ว่าน้ำตาลที่เรารู้จักเขาจะเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นศิลปินสูงมากกว่าที่สื่อนำเสนอเขา ดังนั้นถ้าเกิดได้มาอ่านกวีนี้จะเข้าใจว่า น้ำตาลจริงๆ เป็นคนอย่างไร น้ำตาลคือคนที่สร้างทางของตัวเอง ดังนั้นเขาจะไม่หลงทาง  เพราะว่าเขาไม่ได้เดินบนถนนของคนอื่น

Miss คนไหนคือตัวตนของคุณมะโม

มะโม: ชอบ Miss Sad เพราะว่ามันมีความเป็นตัวเอง ตัวเองที่เป็นคนแสดงความรู้สึกไม่เก่ง แต่ดันรู้สึกอะไรเยอะแยะแล้วงานชิ้นนี้เป็นดินไม่ใช่ภาพวาด ก่อนที่ดินจะมารวมกัน ก็จะสามารถแตกเป็นหลายชิ้น แล้วเรียงเป็นหลายๆ รูปแบบได้ แต่แม้จะเคยแตกสลายมาก่อน ทว่าดินเหล่านี้ก็สามารถมารวมกลับเป็นคนใหม่ได้

คุณแม่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณวินทำงานเกี่ยวกับผู้หญิง Miss คนไหนในงานที่ถอดมาจากคุณแม่

วิน: คิดว่าแม่เหมือน Miss phenomenon ที่สุด มีความเกิร์ลบอส รักสนุก แฮงค์เอาท์กับเพื่อนรุ่นเดียวกับเราได้ เพราะปกติคุณแม่จะเป็นหัวหน้าแก๊งเพื่อนเราอยู่แล้ว

คาดหวังให้คนที่มาชมงาน ได้อะไรกลับไป

วิน : ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายคือ กำลังใจ แต่ว่าลึกๆ ก็อยากให้มาค้นหาความเป็นตัวเองผ่าน Miss ต่างๆ เหล่านี้ เราอยาก Empower อยากให้คนที่รู้สึกว่าตัวเองลอสต์ (Lost) หรือ Insecure ในชีวิต มาแล้วรู้สึกว่าตัวเองได้ฟื้นฟู มันคือการเยียวยาตัวเองผ่านงานศิลปะ กวี แล้วก็เพลง หลายคนจะมองว่าการมาแกลเลอรี หรือว่าเสพงานศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว เข้าใจยาก แต่เรามองว่าจุดประสงค์ของงานศิลปะจริงๆ เป็นการบำบัดจิตใจและจิตวิญญาณของคนคนหนึ่ง 

มะโม : มันเหมือนเป็นการยิ้มอยู่ข้างใน บางคนในชีวิตเขาอาจจะได้เจอคนเยอะ อาจจะได้พูดคุยกับคนเยอะ ได้รู้ว่าเขาทำอะไร เพราะอะไร ได้พบเจอคนที่น่าสนใจ แต่ว่าบางคนที่วันหนึ่งเขาอาจจะทำงาน หรือเขาไม่ได้เจอใคร หรือเขาไม่ได้รู้สึกว่า ไม่ได้มีสิ่งแปลกใหม่ ไม่ค่อยดูงานศิลปะ หรือว่าไม่ค่อยมีอะไรที่ใหม่สำหรับชีวิตเขา อยากให้เขาได้เข้ามาสัมผัสงาน แล้วก็รู้สึกว่า มันมีรอยยิ้มอะไรบางอย่างอยู่รอบตัวเขา ศิลปะคือซอฟท์พาวเวอร์ เป็นพลังที่จำเป็นสำหรับภายในจิตใจของมนุษย์  

Tags: