เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ บอกว่าเวลาไปกองถ่าย เขารู้สึกเหมือนเป็นเด็กฝึกงานที่ทุกคนให้โอกาสเรียนรู้เรื่องการทำงาน
เพราะเคยว่างเว้นจากการแสดงไปร่วม 30 ปี และอยู่ระหว่างเขียนบทภาพยนตร์ของตัวเอง ทำให้เขารู้สึกตามที่พูดจริงๆ ทั้งที่ถ้านับจากผลงานชิ้นแรกแล้ว อายุงานในวงการบันเทิงของเขาน่าจะใกล้เคียงกับอายุของหลายๆ คนในกองถ่ายเสียด้วยซ้ำ
การกลับมารับงานแสดงอีกครั้งของเขาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ตั้งแต่บทนำที่ต้องเล่นคู่กับช้างในเรื่อง ป๊อปอาย มายเฟรนด์ บทพ่อที่มีลูกสาวฉลาดเกินคนปกติใน ฉลาดเกมส์โกง จนถึงบทนักสืบใน เลือดข้นคนจาง บทเทวดาใน โฮมสเตย์ ที่เป็นคนละแบบกับเทวดาใน เทวดาตกสวรรค์ ที่เขาเคยเล่นไว้เมื่อปี 2529 และบทคุณพ่อลูกสามในซีรีส์เรื่อง The Deadline ทำให้เขาปรากฏตัวตามสื่อต่างๆ อีกครั้ง และคนดูเองก็ได้รู้ว่าช่วงเวลาที่หายไปนั้น เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำเรื่องที่สนุกที่สุดในชีวิตอย่างการเลี้ยงลูก
แต่ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของพ่อในชีวิตจริงหรือบทอื่นๆ ในการแสดง สำหรับธเนศแล้ว สุดท้ายทุกหน้าที่ของเขาก็มีจุดร่วมอย่างเดียวกัน นั่นคือการทำความเข้าใจชีวิตนั่นเอง
ช่วงหลายปีที่เว้นจากงานแสดงไป มีหนังหรือละครติดต่อมาบ้างไหม
มีบ้างเป็นระยะๆ ช่วงแรกๆ เราปฏิเสธไปเพราะยังยุ่งอยู่กับการทำค่ายเพลง แต่ช่วงที่เรื่องป๊อปอายติดต่อเข้ามา เราหยุดทำค่ายเพลงมาสักระยะแล้ว และตั้งใจว่าจะทำหนังของตัวเอง เพราะช่วงที่หยุดเพื่อเลี้ยงลูกประมาณสิบกว่าปี เราก็เขียนเพลงบ้าง แต่ไอเดียบางอย่างถ้าจะเล่าเป็นเพลงมันไม่พอ เพราะเพลงยาวแค่สามนาทีห้านาที แล้วเราเคยมีประสบการณ์เขียนบทมาก่อน ในวงการบันเทิงเองเราก็เริ่มงานจากการแสดงนะ เราเลยผูกพันกับการเขียนบท การทำโปรดักชัน พอมีเวลาอยู่กับตัวเองก็รู้สึกว่าสิ่งนี้มันกลับมา เลยบอกกับตัวเองว่าถ้าลูกโตแล้วทำหนังดีกว่า เพราะว่าเพลงก็ทำมาพอสมควร น่าจะสมควรพอได้แล้ว เราเลยเขียนบทไว้เป็นเรื่องสั้นบ้าง เรื่องยาวบ้าง แต่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกลับมาแสดง ไปสนใจตรงนั้นมากกว่า
กระนั้นก็ตาม เรายังติดตามข่าวคราววงการทำหนังอยู่เรื่อยๆ พอเริ่มคิดว่าจะทำหนัง เราก็ขอคำปรึกษาจากหลายๆ คนในวงการ ก็ได้คำปรึกษามามากมาย ระหว่างที่คิดว่าจะคุยกับใครอีก เราเห็นทีมงานที่เคยได้รางวัลจากหนังเรื่องหนึ่งมาออกรายการทีวี ซึ่งเราดูแล้วรู้สึกว่าน่าจะมีทัศนคติในการทำงานตรงกัน น่าทำงานด้วย ก็เลยตั้งใจไว้ว่าถ้าเขียนบทเสร็จเมื่อไรจะโทรไปหาคนนี้ ลองถามดูว่าเขาอยากทำงานร่วมกับเราไหม แต่ยังไม่ทันได้ติดต่อไป วันหนึ่งก็มีโทรศัพท์เข้ามา เป็นสายจากทีมงานของโปรดิวเซอร์ทีมนี้ โทรชวนให้เราไปเล่นหนังเรื่องป๊อปอาย
ว่ากันว่าความบังเอิญไม่มีในโลกนี้ แต่เป็นผลของการตั้งจิต ถ้าเราตั้งจิตนึกถึงใครหรือสิ่งไหน มันจะดึงดูดกัน เรามีความเชื่ออย่างนี้เพราะมีประสบการณ์ตรงเยอะมาก ตั้งจิตลอยๆ นี่ละ ไม่ต้องจุดธูป จุดเทียน สวดมนต์ แล้วมันจะได้เจอจริงๆ ถ้าเราตั้งใจ เพราะหลังจากนั้นก็มีงานอื่นๆ ตามมา จากป๊อปอายมาฉลาดเกมส์โกง ตามด้วยซีรีส์ของสิงคโปร์ และตอนนี้ก็มีบริษัทที่มาเลเซียอยากให้เราเขียนบทและกำกับ ซึ่งตอนนี้กำลังพัฒนาบทกันอยู่ ทั้งหมดมันเริ่มจากการตั้งใจว่าจะกลับมาทำหนัง พอตั้งใจ งานก็เลยเข้ามาเรื่อยๆ จากที่ก่อนหน้านี้มีติดต่อเข้ามานิดหน่อย เราเลยคิดว่าวงการหนังและงานแสดงมันคงจะเหมาะกับเรา เพราะทำแล้วก็มีคนให้การต้อนรับ
ห่างจากงานแสดงไปนาน ต้องเคาะสนิมอย่างไรบ้างเมื่อกลับมาเป็นนักแสดงอีกครั้ง
เราใช้วิธีธรรมชาติ คือ ขอคุยเยอะๆ ขอบทมาทำความเข้าใจ เราไม่รู้ว่าเคาะสนิมมันต้องเป็นแบบไหน แต่ถ้าถามว่าวิธีนี้ใช่หรือเปล่า ก็น่าจะใช่ เพราะเป็นวิธีที่เรารู้สึกว่าจะช่วยให้เราทำงานออกมาได้ดีที่สุด เราคุยกับทีมงานและผู้กำกับ ทำความเข้าใจเรื่องคอนเซปต์ เรื่องบท ซักถาม ทำเวิร์กช็อป
เคยมีบางคนบอกว่า ถ้าทำเรื่องพวกนี้เยอะมากไปก็ไม่ดี เพราะถ้าเยอะมากแล้วเราไปติดกับมันเลยก็คงไม่เหมาะ แต่ถ้าเยอะจนเข้าใจกระจ่าง แล้ววางทุกอย่างหมดพอถึงเวลาถ่ายทำ มันจะมีประโยชน์ตรงที่สิ่งที่ทำความเข้าใจมันฝังอยู่ในตัวเราจนเราเป็นคนคนนั้นแล้ว บ้านอยู่ไหน จังหวัดอะไร เกิดมาในครอบครัวแบบไหน เราก็ไปทำความเข้าใจและหล่อหลอมตรงนั้น เสร็จแล้วก็ให้ลืมไปเลย ไม่ต้องไปคิดว่าจะทำอะไร ทุกอย่างจะออกมาโดยธรรมชาติ เหมือนเราเกิดใหม่จากตรงนั้น
ส่วนตัวเราใช้วิธีนี้ ถ้าจะเรียกว่าเคาะสนิมก็คงเป็นอันนี้ แต่กระนั้นสนิมก็ยังมีอยู่นะ ยังไม่หมด (หัวเราะ) เพราะว่าพอเราไปดูทีหลังก็รู้สึกว่ายังมีสนิมอยู่อีกเยอะ ยังอยากทำให้มากกว่านี้
กับทีมงานเราสามารถใช้วิธีคุยกันตามปกติ แต่กับช้างที่ต้องแสดงด้วยกันทั้งเรื่อง มีวิธีคุยอย่างไร
เขาให้เวลาเราสองอาทิตย์ในการอยู่กับช้าง ซึ่งเกินพอเลย เพราะกับช้างเราใช้จิตต่อจิตคุยกัน ไม่ต้องคุยมากเท่าเวลาใช้ภาษา แล้วอีกอย่าง ภาษาบางทีก็ยังใช้ผิดได้ สองอาทิตย์นั้นเราไปนอนบ้านเดียวกับเขา ตื่นมาปุ๊บก็ไปคุย ไปเล่น ไปกินนอน ไปนอนใต้ท้องเขาเหมือนที่เห็นในหนัง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องชมควาญด้วย เพราะไม่ว่าช้างหรือนักแสดงจะเก่งแค่ไหน ก็ต้องมีควาญเป็นตัวเชื่อม แต่ช้างตัวนี้ก็มีความพิเศษตรงที่เขามีความสงบ อ่อนโยน ฉลาด รู้กาลเทศะ รู้งาน ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีมากับตัวเขา และไม่ใช่ช้างทุกตัวที่เป็นแบบนี้
มีซีนหนึ่งในหนังที่บ่งบอกว่าเราเข้ากับช้างได้ขนาดไหน สุดท้ายเขาตัดซีนนี้ออกไปนะ ตอนถ่ายทำเราต้องยืนคุยกับคนคนหนึ่ง เสร็จแล้วคนนั้นต้องผลักเรา ทุกครั้งที่เราโดนผลัก ช้างซึ่งควรจะยืนอยู่ที่เดิมทั้งซีนจะเดินมาใกล้ แล้วจ้องคนที่ผลักเราอยู่ตลอด ไม่ไปไหนเลย เป็นแบบนี้ทุกเทก เราก็เลยรู้สึกว่าเขากำลังปกป้องเราเพราะผูกพันกันแล้ว ตอนที่เกิดเรื่องนี้เป็นช่วงใกล้จะปิดกล้องแล้ว ซึ่งมันก็ชัดเจนว่ากับช้างต้องคุยกันด้วยความรู้สึกล้วนๆ และด้วยการกระทำที่ตรงไปมา แล้วจะสัมผัสซึ่งกันและกันได้
จริงๆ แล้ววิธีนี้ก็ใช้กับคนได้นะ แต่กับคน บางทีเราลืมไปเพราะเราพูดได้ เราฟังกันรู้เรื่อง ก็เลยให้ความสำคัญกับการพูดกันมาก ซึ่งก็ดี แต่บางที ถ้าให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากขึ้น ก็อาจจะเข้าใจกันมากขึ้นและละเอียดอ่อนกว่าเดิมด้วยซ้ำไป การทำงานเรื่องป๊อปอายทำให้เรายิ่งมั่นใจกับการใช้ความรู้สึกเพื่อทำความเข้าใจกับบท กับผู้กำกับ กับทีมงาน และสุดท้ายก็คือการแสดง
พอมาถึง ฉลาดเกมส์โกง ที่ต้องรับบทพ่อ มีอะไรที่เหมือนกับเวลาคุณเป็นพ่อนอกจอบ้างไหม
มันต้องมีอะไรเหมือนกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะพ่อทุกคนรักลูก ตอนที่เราไปสกรีนเทสต์ ทางโปรดิวเซอร์มาเล่าให้ฟังทีหลังว่า บาส (นัฐวุฒิ พูนพิริยะ) บอกว่า ถ้าเป็นถ่ายจริงนี่ก็ใช้ได้เลย มันคงพอดีกันน่ะ เพราะเรื่องนั้นถ้าสังเกตดีๆ ก็เป็นความรู้สึกลึกๆ เหมือนกัน เป็นความผูกพันระหว่างพ่อกับลูก ความเข้าใจและพร้อมที่จะให้อภัย ให้โอกาส
เวลาเราเลี้ยงลูก เราก็ใช้ความรู้สึกแบบนี้นี่ละ เรื่องรักลูกนี่แน่นอนอยู่แล้ว แต่มากกว่าความรักคือต้องเข้าใจและให้โอกาสเขาทำสิ่งที่ต้องการทำ แม้ว่าทำแล้วจะผิดพลาด ล้มเหลว หรือกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ถ้าเราดูแล้วมันอยู่ในวิสัยที่รับได้ เขาก็ควรจะได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่าถ้าพลาดแล้วจะเป็นยังไง เราต้องตัดใจและยอมเจ็บปวดที่จะปล่อยให้เขาพลาด ถึงแม้ว่าพ่อในเรื่องอาจจะไม่ได้ตั้งใจตรงๆ ขนาดนั้น เพราะเขาก็คงมีภาระเยอะ ต้องปากกัดตีนถีบ แล้วก็ไม่ได้เป็นพ่อในฝันแบบดีแสนดีด้วยนะ อาจจะเคยทำอะไรพลาดไป เพราะการที่แม่ทิ้งไป พ่ออาจจะเลวก็ได้ ใครจะรู้ หนังก็ละไว้ แต่เราว่า ด้วยจิตวิญญาณลึกๆ แล้วมันเหมือนกัน การกระทำก็เลยออกมาแบบเดียวกัน
ในขณะที่เรื่องนี้มีความเชื่อมโยง อีกเรื่องที่เรากำลังจะเล่นเป็นบทอีกแบบที่ไม่เหมือนตัวเราเลย แต่ถ้าถามว่าเรื่องนั้นเชื่อมโยงอย่างไร วิธีเชื่อมโยงก็คือ ถ้าเราเห็นว่าคนคนนั้นเป็นแบบไหน เราก็จะเห็นอีกแบบหนึ่งได้ชัดด้วย เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเล่นอะไรที่เราเป็นเสมอ ไม่ต้องเล่นอะไรที่เราเชื่อมโยงก็ได้ เพราะลึกๆ เราเชื่อว่ามันต้องมีอะไรที่เชื่อมกัน เราเป็นทุกอย่างได้หมดเพียงแค่ต้องหาให้เจอว่ามันเชื่อมกับเราอย่างไร เราสนใจเรื่องแบบนี้ในการแสดง เพราะฉะนั้นบทอะไรก็ได้นะ สนใจหมดเลย จะเป็นคนดี คนเลวทรามต่ำช้า คนเหี้ยสุดๆ หรือคนดีสุดๆ ในระดับที่เราไม่เคยดีขนาดนั้นมาก่อนก็ได้ เราก็อยากจะลองดูว่าดีสุดๆ หรือเหี้ยสุดๆ มันเป็นยังไง
สำหรับเรา นี่คือเสน่ห์ของศิลปะการแสดงนะ มันเป็นการทำให้ได้เรียนรู้ความเป็นคนในทุกๆ รูปแบบ เป็นการจำลองความเป็นสังคมโลกมนุษย์ได้สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะฉะนั้นก็น่าเสียดายถ้าจะปฏิเสธการจำลองในสิ่งที่เราไม่เคยเป็น
บทนักสืบในเรื่อง เลือดข้นคนจาง ก็เป็นตัวอย่างของการจำลองสิ่งที่ไม่เคยเป็น
ใช่ เราไม่เคยยุ่งกับใครเลย ไม่เคยไปแบล็กเมลใครด้วย ซึ่งก็กลายเป็นว่าเราสนใจในเรื่องที่ไม่เคยทำ หลังจากถ่ายทำ ตัวเราเองก็ได้มาดูพร้อมๆ กับคนดูนี่ละ ดูแล้วยังขนลุกหน่อยๆ เลยนะ รู้สึกว่า ไอ้เหี้ยนี่มันเหี้ยจริง ไม่ได้ชมว่าตัวเองเล่นดี แต่ต้องชมผู้กำกับ บท การจัดแสง การตัดต่อ และการใช้เพลงประกอบด้วย
ซีนที่ทำให้เรารู้สึกอย่างนั้นคือซีนที่นั่งพูดโทรศัพท์อยู่ในรถ ทั้งที่ตัวนักสืบในเรื่องที่ไม่ได้มีลีลาแพรวพราวอะไร แต่มันคือความจริงของสถานการณ์ และทั้งที่มันมีบทอื่นๆ ที่เลวกว่านี้ โกงกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ แต่ว่าโมเมนต์นั้นมันทำให้เรารู้สึกแบบนั้น ซึ่งมันคือสิ่งที่ทำให้เราสนใจ เพราะจริงๆ แล้วมนุษย์จะดี จะชั่ว จะเลว มันไม่ได้จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหญ่โต แม้แต่เรื่องเล็กๆ ถ้าเลวก็คือเลว
อย่างกรณีนักสืบนี่เงินแค่ล้านเดียวเอง แต่มันคือความโลภของคนที่มีปัญญาแค่นั้นเอง จริงๆ จะเอาเงินทั้งสองทางก็ยังได้ ก็ยังเอาแค่ทางเดียว เห็นไหมว่าตัวละครนี้ไม่ได้ฉลาดอะไรนักหนา คาแรกเตอร์ก็เป็นอดีตนักข่าวบันเทิงมาก่อน อาจจะเคยแอบถ่ายรูปดาราหรือเขียนข่าวมั่วๆ ขายก็มีบ้าง ไม่ได้เลวหรือฉลาดอะไรมากมาย แต่โมเมนต์นั้นนั่นละที่มันเกิดจะแพรวพราวกว่าปกติเพราะความโลภ
เพราะฉะนั้นนี่คือการจำลองความเป็นมนุษย์ซึ่งไม่ใช่ว่าคนเลวต้องทำเรื่องที่เลวสุดๆ แค่นี้ก็เลวสุดแล้วสำหรับคนนี้ เพราะฉะนั้นพอเราเข้าใจ เราก็เอามาใช้ในชีวิตได้ สมมติว่าถ้าเราไม่เคยมีประสบการณ์จากละคร พอทำเรื่องเล็กๆ เราก็อาจจะรู้สึกว่าเรื่องแค่นี้เอง ไม่ได้เลวอะไรนักหนา แต่พอมีประสบการณ์จากเรื่องนั้น เราก็จะมองว่า เฮ้ย เรื่องนิดเดียวแต่คนดูตราหน้าเลยนะว่าเลวมาก ถึงได้บอกว่าเป็นเสน่ห์ของศิลปะการแสดงที่เราประยุกต์มาใช้ประโยชน์กับชีวิตได้ แล้วแต่ว่าจะดูยังไง เหมือนที่โบราณบอกว่า ดูหนัง ดูละครแล้วให้ย้อนดูตัว แต่อันนี้ไม่ได้ดูนะ เล่นละครแล้วย้อนดูตัวเลย
อย่างเรื่อง โฮมสเตย์ ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้
สาระแรกอยู่ที่บท เราไม่ได้อ่านหนังสือแต่ก็มีคนมาพูดถึงให้ฟังว่าเป็นบทประพันธ์ที่ยอดเยี่ยม ผู้กำกับเองก็มีส่วนมาก เพราะเราเป็นแฟนหนังเขา เห็นความตั้งใจในการทำงานมาตลอด เราชอบคนแบบนี้ที่ทำอะไรท้าทายและไม่หวั่นเกรงต่อความยากของงาน บทของเราในเรื่องนี้ก็ไม่ได้เยอะ เป็นบทรับเชิญ แต่มันน่าสนใจตรงที่เป็นคาแรกเตอร์ซึ่งเรายังไม่เคยเล่นแบบนี้ ก็เลยตื่นเต้นกับการเล่น ตอนติดต่อมาเขาก็บอกว่าเป็นเทวดา อีกอย่างที่เขาบอกก็คือ เพราะพี่เคยเป็นเทวดามาก่อน มันสำคัญมากเลยนะเรื่องนี้ พี่ต้องมาเล่นให้ผม แต่ครั้งนี้เราเป็นเทวดาอีกแบบ
บทรับเชิญของคุณต้องทำให้คนดูเห็นความเชื่อมโยงกับนักแสดงอีกหลายคนในเรื่องเดียวกัน มีการเตรียมตัวสำหรับบทนี้อย่างไรบ้าง
เราคุยกับผู้กำกับเยอะเลยว่ามันจะออกมายังไง ได้แค่ไหน โอ๋ (ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ) ก็บอกว่า เต็มที่เลยพี่ เราก็เลยนำเสนอหลายๆ อย่าง อย่างเช่นที่แลบลิ้นกินวิตามินนั่น เราก็เสนอเขา ในบทตอนแรกไม่ได้มีอย่างนั้น เราเสนอด้วยว่าในบรรดาผู้คุมทั้งหมดควรมาเจอและแลกเปลี่ยนกันไหม เพื่อจะได้หาจุดร่วมให้เจอ ให้รู้สึกว่าเป็นคนคนเดียวกัน แต่มันต้องใช้เวลาและเป็นเรื่องคิวด้วย โอ๋เลยใช้วิธีทำงานกับปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) ลองให้เขาเล่นหลายๆ แบบจนได้ข้อสรุปว่ามีการกะพริบตาเป็นจุดร่วม ส่วนที่เหลือก็ต่างคนต่างเล่น แต่ความที่ผู้กำกับเขาทำงานกับปีเตอร์มาแล้ว เขาจะรู้อยู่ในใจว่าแค่ไหนคือพอดี ซึ่งมันก็เป็นวิธีทำงานที่ดีอีกแบบหนึ่ง
ทุกครั้งที่มีโอกาส เราจะพยายามบอกว่า เราไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดงที่มีความสามารถมาก ไม่ใช่นักแสดงที่ผู้กำกับบอกว่าเล่นอย่างนี้ๆๆ แล้วจะเล่นได้เลย คือเราอาจจะพอเล่นได้ แต่มันทำให้ดีกว่านั้นได้ถ้าได้คุยกัน ทำความเข้าใจกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครติดต่อมาให้เราเล่น อย่าเกรงใจเรา ให้เราทำทุกอย่างที่ขวางหน้า เราชอบ เรายินดี
ล่าสุดคุณเพิ่งได้รับการเสนอชื่อให้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบชายของ Asian Television Awards จากซีรีส์เรื่อง Missing ของสิงคโปร์ คาแรกเตอร์ของคุณในเรื่องนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องนั้นก็เป็นพ่อเหมือนกัน เป็นคนสิงคโปร์ที่มีเหตุจำเป็นต้องทำงานบางอย่างที่ผิดกฎหมาย ก็เลยมาที่เมืองไทยและกลับสิงคโปร์ไม่ได้ ต้องทิ้งลูกไว้ที่นู่น ตลอดสามสิบกว่าปีที่อยู่ไทยก็แอบดูแลลูกห่างๆ ผ่านทางญาติ ส่วนลูกที่เข้าใจว่าพ่อตายไปแล้วมารู้ทีหลังก็โกรธและไม่เข้าใจ ซึ่งพอบทมันเป็นคนสิงคโปร์ที่อยู่ไทย มันก็สมเหตุสมผลที่เราจะเล่นได้ ไม่ได้ต้องพูดภาษาอังกฤษสำเนียงสิงคโปร์ แต่พูดเหมือนคนเอเชียที่พูดภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป
อย่างบทรับเชิญในเรื่อง The Deadline ที่ต้องเล่นตั้งแต่ตัวละครอายุสามสิบจนถึงเจ็ดสิบกว่า อะไรยากกว่ากันระหว่างกลับไปเล่นบทหนุ่มกับเล่นบทที่แก่เกินอายุจริง
จริงๆ แล้วสำหรับเราไม่มีอะไรยากกว่ากันนะ เพราะถ้าองค์ประกอบอื่นมันลงตัว อย่างเช่นวิกผมและการแต่งหน้า ก็จะช่วยให้เราดูตามวัย แล้วการแสดงระหว่างอายุสามสิบกับเจ็ดสิบมันไม่ได้ต่างกันมาก เพราะมันก็ยังเป็นคนเดิม นอกจากคนคนนั้นป่วย หรือมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่ทำให้เปลี่ยนไป แต่โดยธรรมชาติของคนถ้าสังเกตดีๆ ไม่ได้ต่างอะไรกันมากหรอก สิ่งที่ต่างก็คือ หนึ่ง ผมบาง สอง ผมหงอก สาม เหี่ยวย่น ซึ่งทั้งหมดนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับการแสดงโดยตรงแล้ว เสียงเองก็อาจจะแหบแห้งลงไปบ้างนิดหน่อยเท่านั้น เพราะฉะนั้นในการแสดงมันจึงจำเป็นต้องเข้าใจในรายละเอียดเหล่านี้
มีผู้กำกับคนไหนที่คุณอยากร่วมงานด้วยเป็นพิเศษหรือเปล่า
เราอยากร่วมงานกับทุกคนเลย ใครก็ได้ แม้กระทั่งผู้กำกับใหม่ ทำหนังเรื่องแรก ไม่มีประสบการณ์มาก่อนเลย เราก็ยินดี ถามว่าไม่อยากร่วมงานกับผู้กำกับคนไหนบ้างดีกว่า พูดอย่างนี้แล้วตื่นเต้นอยากรู้ว่าเป็นใครใช่ไหม (หัวเราะ) เป็นใครก็ได้ที่ไม่สนใจว่าจะทำงานให้ดีและไม่ให้เวลาในการทำงาน เพราะฉะนั้นก่อนจะเริ่มงานกับใคร เราจะคุยเยอะเลย คุยเป็นชั่วโมง สุดท้ายคนที่ยอมคุยกับเราเป็นชั่วโมง เราร่วมงานด้วยทั้งนั้น
ทุกวันนี้เราปฏิเสธงานน้อยมาก เพราะไม่ชอบปฏิเสธอะไรใคร เราให้โอกาสหมด แม้งานจะไม่ดี เราก็จะบอกว่า ยังไม่สนใจนะแต่เห็นช่องว่างว่าถ้าเป็นอย่างนี้ๆ ได้จะดีมากเลย แล้วเราจะสนใจอยากร่วมงานด้วย ลองทำแบบนี้กันดูไหม สุดท้ายก็หายไปหมดเลย (หัวเราะ) ซึ่งไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น คือไม่ใช่ว่าเราเป็นคนดีอะไรอย่างนั้นนะ แต่เราอยากทำงานที่ดี มันก็เลยเป็นไปอย่างนั้นเอง
ตอนที่ ฉลาดเกมส์โกง ได้กระแสตอบรับดีมาก มีบางสื่อเขียนข่าวว่า ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ แจ้งเกิดจากบทนี้ เวลาเห็นสื่อเขียนถึงแบบนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างทั้งที่จริงๆ คุณก็ทำงานในวงการมานานแล้ว
เรายังไม่เคยเห็นเองนะ แต่ถ้าเขาเขียนอย่างนั้นจริงก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะก็ถูกของเขา เราหายไปนาน ตอนที่โปรโมทเรื่องนี้ก็ยังบอกเลยว่ารู้สึกตัวเองเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ ผมชื่อ ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ เพราะฉะนั้นก็ต้องขอบคุณด้วยซ้ำไปที่เขาบอกว่าเราแจ้งเกิด
การกลับมารับงานแสดงมีผลต่อวิธีเขียนบทหนังที่กำลังทำอยู่ไหม
มีเหมือนกันนะ พอเริ่มมาอยู่ในกองถ่ายและได้อยู่กับธุรกิจภาพยนตร์จริงๆ ก็จะเห็นอะไรต่างๆ นานา ทั้งในแง่มุมที่มันเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้มากขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสเราให้เหมือนได้มาฝึกงาน วันที่ถ่ายเรื่องป๊อปอายแรกๆ เราบอกทุกคนว่า เรากำลังจะทำหนังของตัวเองอยู่ ถือโอกาสนี้ฝากเนื้อฝากตัวและฝึกงานด้วย ตอนนี้ก็ยังรู้สึกอย่างนี้อยู่
การทำงานแสดงในวัยนี้กับตอนที่อายุน้อยกว่านี้มากๆ ไฟในการทำงานเท่าเดิมไหม
ไม่ลดเลย แต่มันรู้สึกว่ามีพลังกว่าเก่าเพราะโฟกัสได้มากขึ้น นึกออกไหมว่าพลังของคนหนุ่มสาวก็จะอยากทำอะไรหลายอย่าง สะเปะสะปะพอสมควร กระจายไปหมด ซึ่งก็ดีไปอีกแบบเพราะถือเป็นประสบการณ์ ถ้าในวันนั้นเราโฟกัสได้ มันก็อาจจะเกิดประโยชน์บางอย่างมากขึ้น แต่ก็อาจจะพลาดอะไรบางอย่างไปเช่นกัน แต่ละช่วงวัยก็มีธรรมชาติของมันและมีข้อดีต่างกัน เพราะจริงๆ แล้วถ้าไม่มีการที่ไปสะเปะสะปะไปแตะนู่นนี่ไว้ในวันนั้น ก็อาจจะทำให้วันนี้ไม่เข้าใจทั้งหมดแบบที่อยู่ก็ได้
อย่างที่คุยกันว่าศาสตร์การแสดงทำให้ได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตมากขึ้น เวลาอยู่กับลูก คุณได้เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการงานมาสอนเขาบ้างหรือเปล่า
เรื่องนี้ไม่ต้องรอเรื่องการแสดงเลย เพราะเราใช้วิธีนี้อยู่แล้วตั้งแต่เขาเกิด ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องสอนนะ แล้วก็ไม่ได้มีหลักการสอนเรื่องชีวิต เรื่องความเป็นมนุษย์อย่างที่ว่า แต่เราคิดว่าโดยพื้นฐานมันคือความเข้าใจซึ่งกันและกัน ใช้ความเข้าใจเป็นหลักเลย พอเราพยายามเข้าใจเขามากเท่าไหร่ ก็จะเห็นความเป็นมนุษย์ของเขามากเท่านั้น ในขณะเดียวกัน เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเข้าใจเขามากที่สุด มันเป็นวิธีเดียวกัน เพราะฉะนั้นเรื่องการทำความเข้าใจนี่เราทำมาก่อนอยู่แล้วและเอาวิธีนี้มาใช้ในการแสดงด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เอาการแสดงมาใช้ในการเลี้ยงลูก เพราะการเลี้ยงลูกด้วยวิธีพยายามเข้าใจลูกถือเป็นสุดยอดในการเข้าใจมนุษย์แล้ว
เด็กนี่คือมนุษย์ที่ใสที่สุดเลยนะ โกรธก็โกรธเลย เกลียดก็เกลียดเลย ตีก็ตีเลย นั่นคือทาสแท้ของความเป็นมนุษย์สุดๆ แล้ว และในการเป็นพ่อแม่ เราเข้าใจความเป็นมนุษย์ผ่านเด็กอยู่แล้ว เพียงแต่สุดท้ายเราไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการเข้าใจความเป็นมนุษย์ที่แท้จริง แต่เราเข้าใจเพียงเพราะว่าเขาเป็นลูก เป็นหลานเรา เข้าใจว่าเขายังเด็ก ยังไร้เดียงสา ยังไม่รู้ภาษา ก็เลยเข้าใจ ให้อภัย และยกโทษ แต่พอโตขึ้นมาก็ไม่ยกโทษ ไม่ให้อภัย ไม่เข้าใจ แล้วก็มองว่านี่ไม่ใช่ลูกกู หลานกู ทั้งที่จริงๆ แล้วมันเรื่องเดียวกันนะ เพราะวันที่คนเราขาดสติ มันคือการแสดงทาสแท้ความเป็นมนุษย์ออกมา ไม่ต่างจากเด็ก
เพราะฉะนั้นการเลี้ยงลูกนี่คือการเข้าใจมนุษย์สุดๆ แล้ว แต่น่าเสียดายที่ว่าเราไม่ได้เอาไปใช้กับมนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ทุกวัยกัน
ลูกชายติดตามผลงานของคุณบ้างไหม
เขาสนใจผลงานเราในระดับปกติ ไม่ได้พิเศษอะไร เหมือนลูกที่สนใจงานพ่อทั่วไป ก็มีตื่นเต้นพอสมควร แต่ก็ไม่ได้พิเศษอะไร เพราะเขาก็ไม่ได้ดูหนังพ่อทุกเรื่องนะ อย่างป๊อปอายนี่เขาดูแล้วชอบมาก แต่ฉลาดเกมส์โกงเหมือนจะยังไม่ได้ดู เขาคงรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของเด็กสี่คนมากกว่าเรื่องของพ่อ เขาชอบดูหนังอยู่แล้วก็คงดูออกว่าโฟกัสของหนังคือเรื่องอะไร
แต่น่าแปลกใจว่าพอเริ่มต้องคิดเรื่องเข้ามหาวิทยาลัย เราก็คุยกันว่าจะเรียนอะไร ปรากฏว่าเขาอยากเรียนฟิล์ม อยากเป็นผู้กำกับ ซึ่งเซอร์ไพรส์มากเพราะเราไม่เคยแนะนำด้านนี้เลย ถ้าจะชวน ยังชวนเรื่องดนตรีมากกว่า เพราะตอนเด็กก็พาไปเรียนเปียโน ตีกลอง เรียนกีตาร์ เกิดมาเขาก็เห็นห้องอัดอยู่แล้ว ขณะที่เรื่องการแสดง เรากลับมาแสดงตอนเขาเริ่มโตแล้ว และก็ไม่ได้พาเขาไปกองถ่ายด้วย แต่เขาสนใจอาชีพทางด้านหนังมากกว่า มันก็คงเป็นวิถีของเขา เราก็พร้อมสนับสนุน
แม้ว่าความสนใจเขากับการที่พ่อทำงานด้านนี้จะธรรมดา แต่เรารู้สึกได้ว่าเขาแอบภูมิใจในพ่อนะ แค่ไม่ได้แสดงออก เพราะบางทีพอเรามีหนังเรื่องใหม่ เขาก็ส่งให้เพื่อนดูเล่นๆ หรือเวลาพ่อทำอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ถ่ายรูปส่งให้เพื่อนใน Snapchat เพื่อนๆ ลูกเขาก็ชอบเรานะ เพราะบ้านเราเป็นพ่อแม่ที่ให้อิสรภาพเต็มที่ พ่อแม่หลายคนที่เป็นฝรั่งยังมีข้อจำกัดมากกว่า อย่างเรื่องจะดื่มอะไร เราก็ให้เขาดื่มนะ บอกว่ามาดื่มที่บ้านเลย เอาเพื่อนมาด้วย ตั้งก๊วนก็ได้ จะสูบบุหรี่ก็ได้เลย เขาลองสูบทีนึงแล้วก็สำลัก เราถือว่าลูกจะได้รู้ว่าเป็นยังไง อยากลองอะไรให้มาลองกับพ่อเลยนะ เพื่อนๆ เขาเลยชอบใจมาก บอกว่าพ่อยูนี่สุดยอดเลย
ปกติแล้วเสาร์-อาทิตย์ชวนลูกไปไหนหรือมีกิจกรรมอะไรในครอบครัวบ้างหรือเปล่า
ไม่ค่อยมี นอกจากเขาจะชวน เพราะพอเป็นวัยรุ่นแล้ว หลังๆ เราชวนแล้วเขาก็ไม่ค่อยไป เวลาอยู่บ้านก็ไม่มีอะไร แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ต้องมีอะไรก็ได้นะ แต่ให้รู้ว่าอยู่ ให้รู้ว่ามี เมื่อไรที่เขานึกถึงพ่อ พ่อก็อยู่ตรงนั้นน่ะ แค่นั้นพอแล้ว
ดู๋ (สัญญา คุณากร) เคยถามว่า พี่เอกหยุดงานทั้งหมดไปทำอะไร เราก็บอกเขาว่า ไปเลี้ยงลูกอย่างเดียว เขาก็ถามต่อว่า ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น เราตอบว่า ต้องขนาดนั้นเลยล่ะ ซึ่งก็แล้วแต่แต่ละคนนะ คนอื่นทำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเราทำได้ เราก็ทำสิ เพราะว่าเรื่องลูกนี่สุดยอดแล้ว เราทิ้งทุกอย่างแล้วเอาเรื่องลูกเป็นอันดับหนึ่งเลยประมาณสิบห้าปี
เขาก็ถามอีกว่า แล้วพี่มีหลักเกณฑ์การเลี้ยงลูกยังไง แรกๆ เราก็อ่านตำรานะ แต่อ่านแล้วรู้สึกว่ายังไงก็จำได้ไม่หมดก็เลยเลิกอ่าน แล้วเลี้ยงแบบอยู่กับเขา เมื่อไรเขาต้องการเรา เราก็อยู่ตรงนั้น ส่วนเรื่องว่าจะสอนอะไร ก็สอนสิ่งที่เขาถามตรงนั้น เพราะพอเราอยู่กับเขาตลอดเมื่อเขาต้องการ เมื่อนั้นเราจะรู้เองว่า จะคุยอะไรกับเขา เลี่ยงคำว่า ‘สอน’ ไปได้เลย เพราะไม่สอน แต่ใช้คำว่า คุย เราคุยในสิ่งที่เขาสนใจ ตอนนั้นเขาสนใจอะไรก็คุยเรื่องนั้น เราใช้วิธีนี้มาตลอด จนถึงวันนี้ก็ยังใช้อยู่ แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ เพราะเรารู้สึกว่าลูกเป็นเด็กเลี้ยงง่าย แม่เขาก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน
แต่กับเด็กบางคนอาจจะยากด้วยธรรมชาติที่มีมากับตัวเขาหรือเปล่า
ยากก็ต้องยอมรับว่ายาก ยากแล้วพ่อแม่ต้องเหนื่อยขึ้นแน่นอน ถ้าเรายอมรับได้ มันก็จะเหนื่อยสิบแค่เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าไม่ยอมรับ จากเหนื่อยสิบมันจะกลายเป็นเหนื่อยร้อยเปอร์เซ็นต์เอานะ ถ้ายอมรับแล้วยอมเหนื่อยสิบ เรายังมีอีกเก้าสิบที่จะใช้แก้ปัญหา พอแก้ปัญหาได้ ก็จะลดความเหนื่อยลงได้
อย่างที่เราคุยกันเรื่องตั้งจิตแต่แรก มันไม่ได้ใช้กับเรื่องงานได้อย่างเดียวนะ เรื่องนี้ก็ใช้ได้ เพราะฉะนั้นถ้าแต่งงานกับใครแล้วคิดว่าจะมีลูกด้วยกัน ให้ตั้งจิตตั้งใจให้ดีว่าเราปรารถนาที่จะได้เด็กแบบไหน แต่ทั้งนี้ก็ต้องเผื่อใจว่าถ้าเขาไม่เป็นอย่างนั้นด้วย เราตั้งใจได้แต่ต้องไม่คาดหวัง เสร็จแล้วก็ต้องเรียนรู้เขา เพราะพอเราเรียนรู้เขา เราก็จะรู้วิธีที่จะรับมือได้ ถ้าเจอเด็กเลี้ยงยาก เราก็ไม่ควรโทษเขา แต่ต้องเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัย แล้วก็ไม่ควรโทษตัวเองด้วย ต้องเข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยเช่นกัน จากนั้นก็เรียนรู้ที่จะแก้ไข
ถึงตอนนี้คุณจะยังลงรายละเอียดไม่ได้ แต่อยากทราบว่าบทหนังที่เขียนอยู่เป็นแนวไหน
แนวจำลองความเป็นมนุษย์นี่ละ บอกแบบนี้น่าจะชัดเจนที่สุด เมื่อเราสนใจเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าตัวละครจะเป็นคนในสังคมไหน อาชีพไหน วัยไหน ก็พูดเรื่องนี้เรื่องเดียว
เราเคยพูดกับคนใกล้ชิดบางคนว่า พอทำงานไปสักระยะ เริ่มจากงานเพลงก่อน เราเขียนเพลงกี่เพลงๆ สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนหลายเพลงเลยนะ เราเขียนเพลงเดียวมาตลอด พอคิดจะทำหนังก็คงเป็นเรื่องเดียวเหมือนกัน และเป็นเรื่องเดียวกับที่เขียนเพลงด้วย
ในความคิดเรา ผิดถูกยังไงไม่รู้ แต่เรารู้สึกว่าผู้กำกับก็ดี คนแต่งเพลงก็ดี ไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่จริงๆ แล้วทุกคนทำหนังเรื่องเดียว เขียนเพลงเพลงเดียว เพราะว่าในชีวิตแต่ละคนสนใจอยู่ไม่กี่เรื่องหรอก ถ้าย้อนดูตัวเองจริงๆ ลึกๆ เราสนใจเรื่องใหญ่ๆ เรื่องเดียว อาจจะมีเรื่องอื่นนิดๆ หน่อยๆ บ้าง แต่มันเป็นแค่องค์ประกอบเฉยๆ ลองถามตัวเองดูก็ได้ว่า เราสนใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็จริง แต่พอดูให้เข้าไปถึงแก่น มันเป็นแก่นเดียวกันอยู่ดี อย่างเราเองพอคุยอะไร สุดท้ายมันก็จะโยงกลับมาเรื่องนี้ แค่นี้ก็พอบอกได้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเท่าเรื่องนี้
ถ้าอย่างนั้นถือเป็นความโชคดีหรือเปล่าที่ในวัยนี้คุณยังทำได้ทำงานที่เปิดโอกาสให้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ในเรื่องที่ตัวเองสนใจ
ใช่ เพราะงานการแสดงมันจำลองความเป็นคนอยู่แล้ว ตรงที่สุดในทุกมิติ ทั้งร่างกาย เสื้อผ้า ความคิด และองค์ประกอบอื่นๆ
การได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ในอายุนี้ช่วยอะไรได้บ้าง
จริงๆ อายุเท่าไหนก็ดีทั้งนั้น แต่สำหรับเรา การเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ผ่านงานศิลปะต่างๆ ที่เราสนใจหรือการใช้ชีวิตทั่วไป มันก็เรียนรู้ได้หมด แต่งานศิลปะการแสดงมันเจาะจงบังคับให้เราต้องเรียนรู้ชัดๆ ละเอียดๆ ส่วนสิ่งอื่นๆ ก็มาประกอบกัน
เมื่อก่อนเราชอบเรียนรู้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ ยังจำได้เลยว่าชอบมองคนบนรถเมล์มาตั้งแต่เด็ก ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรด้วยนะ แต่ในความที่แต่ละคนไม่ได้ทำอะไร เราจะเห็นว่าเขาทำอยู่เยอะแยะเลยในหัวของเขา เราก็ชอบมอง คงเหมือนที่บางคนชอบถ่ายรูปคนอื่นในโมเมนต์ที่เขาไม่รู้ตัว วันนั้นเราสนใจแล้วก็แค่นั้น แต่วันนี้ ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องอายุเท่านี้ก็ได้ พอเห็นปุ๊บ มันจะสะท้อนกลับมาที่ตัวเรามากขึ้น เมื่อก่อนเห็นแล้วก็สนใจเข้าไปในเรื่องของเขา แต่ทุกวันนี้มันจะกลับเข้ามาที่ตัวเรามากขึ้น มันก็ตรงกับที่บอกว่าดูหนัง ดูละคร แล้วย้อนดูตัว
ลองสังเกตเองก็ได้ อย่างคนบนรถเมล์หรือคนเดินถนน เรามองเขาแล้วก็มองตัวเอง ไม่ต้องไปกำหนดกฎเกณฑ์ด้วยว่าจะมองตัวเองยังไง เอาแค่ว่าเรารู้สึกยังไง มันจะเกิดการเรียนรู้อีกแบบหนึ่งที่เป็นความรู้สึกเฉพาะตัว ถ้าลองทำแล้วจะรู้ว่ามันสนุกมากกับการมองโลก มองผู้คน มองชีวิต มองทุกสรรพสิ่ง อย่างเวลาดูหนัง เราก็อยากลองชวนให้ดูแบบนี้ เพราะเวลาไปเทศกาลหนังแล้วต้องแนะนำหนังที่เราเล่น เราก็จะชวนให้ดูแบบนี้ ให้ลองดูว่าจะรู้สึกยังไง และอาจจะทำให้หนังน่าสนใจมากขึ้น
ความสนุกของการดูสิ่งต่างๆ ด้วยความรู้สึกแบบนี้อยู่ตรงที่เราไม่สามารถคาดเดาพล็อตได้ด้วยหรือเปล่า
ใช่ เพราะตัวเราเองนี่แหละคาดเดาได้ยากที่สุดแล้ว จึงทำให้สนุกที่สุด เมื่อก่อนเราสนุกที่ดูเขา แต่วันนี้ดูปุ๊บแล้วเราสนุกกับการคิดว่า เอ๊ะ ทำไมเรารู้สึกแบบนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า มันทำให้ได้เรียนรู้ตัวเราให้กระจ่างมากขึ้น
เมื่อเราเรียนรู้ตัวเองได้กระจ่างขึ้น หมายความว่าเราเรียนรู้โลกกระจ่างขึ้นโดยอัตโนมัติ พอเข้าใจตัวเอง เราจะเข้าใจผู้คนทั้งโลกได้ง่ายเลย
Fact Box
ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2501 มีผลงานในวงการบันเทิงมาแล้วหลากหลายงาน ทั้งในฐานะนักแสดง ดีเจ ศิลปิน นักแต่งเพลง และผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Music Bugs
ก่อนหน้าที่จะเว้นช่วงจากงานแสดง ธเนศสร้างชื่อจากผลงานละครโทรทัศน์ อย่างเช่นเรื่อง 38 ซอย 2 และ เทวดาตกสวรรค์ และมีงานเพลงในยุคนั้นทั้งหมด 4 ชุด คือ แดนศิวิไลซ์, คนเขียนเพลง บรรเลงชีวิต, กดปุ่ม และร็อกกระทบไม้
หลังค่ายเพลงปิดตัวลง เขาห่างหายจากการรับงานในวงการบันเทิงเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการเลี้ยงลูก ก่อนที่จะกลับมารับงานแสดงอีกครั้งเมื่อ 2 ปีก่อน และได้รางวัลสุพรรณหงส์ สาขานักแสดงสมทบยอดเยี่ยม จากเรื่อง ฉลาดเกมส์โกง รวมถึงได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมในปีเดียวกัน จากเรื่อง ป๊อปอาย มายเฟรนด์
ปัจจุบัน ธเนศอยู่ในระหว่างเขียนบทภาพยนตร์ของตัวเอง และยังสนุกกับการรับงานแสดง ไม่ว่าบทนั้นจะใกล้ตัวหรือไกลตัวเขาก็ตาม