“ขอให้พาเมียผมออกจากโรงพยาบาลมาที่นี่
“เขาชื่อ เออร์เนส แอรอน เป็นผู้ชาย และแน่นอน ผมเป็นเกย์ฮะ”
1
อาร์เทอร์ เบลล์ (Arthur Bell) เป็นนักข่าวผู้ไม่เคยละทิ้งอาชีพนี้ แม้จะเลยเวลางานไปแล้ว ดังนั้นพลันที่ได้รับโทรศัพท์จากแหล่งข่าวในเวลา 4 ทุ่ม ของวันที่ 22 สิงหาคม 1972 แจ้งข้อมูลว่า มีคู่หูเกย์ปล้นธนาคารในบรูกลิน แล้วจับตัวประกันไว้ตั้งแต่บ่าย 3 ทำให้เบลล์ซึ่งทำหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับเพศทางเลือก รีบแจ้ง บก.เพื่อขอตัวไปทำข่าวทันที
เมื่อได้รับอนุญาต ชายหนุ่มปะติดปะต่อเรื่องราว และตัดสินใจลองวัดดวงเสี่ยงโทรศัพท์ไปที่ธนาคารแห่งนั้น ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรขึ้นมา
“สวัสดีครับ ผมอาร์เทอร์ เบลล์ นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ The Village Voice นะ” ชายหนุ่มแนะนำตัวทันที “บอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในนั้น”
“อาร์เทอร์ ผมดีใจจริงๆ ที่ได้คุยกับคุณ”
นักข่าวหนุ่มชะงัก ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี น้ำเสียงก็ดูคุ้นชะมัด แต่นึกไม่ออกว่าใคร พอปลายสายพูดต่อมาว่า
“นี่จอห์นร่างจิ๋วนะ”
อาร์เทอร์รู้จักเจ้าของชื่อนี้ทันที
“จอห์นร่างจิ๋ว นายไปทำบ้าอะไรที่นั่นวะ”
“ก็ฉันเป็นคนปล้นธนาคารไง”
2
‘จอห์นร่างจิ๋ว’ มีชื่อจริงว่า จอห์น วอยโตวิช (John Wojtowicz) เกิดในครอบครัวเคร่งศาสนา พอเรียนจบ ม.ปลาย เจ้าตัวก็ตระเวนทำงานกับธนาคารหลายแห่ง และแต่งงานกับภรรยาสาวสวยในปี 1967
และเพราะไม่เรียนมหาวิทยาลัย เขาจึงโดนเกณฑ์ทหารไปรบที่เวียดนาม ในช่วงนั้นเองจอห์นผิวขาว ร่างเล็กค้นพบเพศที่แท้จริงของตัวเอง เขาชอบผู้ชาย
สงครามที่เวียดนามรุนแรงน่ากลัว แต่จอห์นสนุกกับการมีเซ็กซ์กับหนุ่มๆ อย่างสนุกสนาน
“ตอนเป็นทหาร เขามีความสุขมาก มากเสียจนต้องรักษาโรคหนองในถึง 4 ครั้งด้วยกัน”
เมื่อกลับมาอเมริกา เขามีลูก 2 คน จนเมื่อหญิงสาวจับได้ว่าจอห์นมีอะไรกับผู้ชาย ทุกอย่างจึงจบลงด้วยการแยกทาง แต่ไม่ใช่การหย่าร้าง ทั้งคู่ยังจดทะเบียนต่อเนื่องยาวนานอีกหลายสิบปี
ในโลกเมื่อ 40-50 ปีก่อน การหย่าเพราะค้นพบตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่สิ่งที่สังคมคุ้นเคย แม้จะมีความหลากหลาย แต่ทุกอย่างถูกกลบซ่อนทับเอาไว้
กระนั้นโลกเราก็ยังมีผู้ไม่จำนน เหล่าเกย์ยุคแรกรวมตัวก่อตั้งชุมชน แม้จะเผชิญการรังแกจากตำรวจ แม้จะถูกสังคมเยาะเย้ยเหยียดประณาม แต่พวกเขายืนหยัดรวมตัว เพื่อเรียกร้องว่าสิ่งที่ทำนั้น สังคมควรรับรู้และยอมรับ
จอห์น อดีตทหารผ่านศึก เข้าร่วมชุมนุมและไปกินอยู่ในชุมชนแห่งนี้บ่อย จนคนในนั้นรวมถึงนักข่าวอย่างอาร์เทอร์เรียกเขาด้วยฉายาว่า จอห์นร่างจิ๋ว
ที่นั่นเขาได้พบสาวทรานส์นามว่า เอลิซาเบท อีเดน (Elizabeth Eden) หรือชื่อจริงแรกเกิดว่า เออร์นี แอรอน (Ernie Aron) ทั้งคู่แต่งงานกันในชุมชนเกย์เมื่อปี 1971 แม้กฎหมายจะไม่รับรอง แต่ก็สัญญาใจว่า จะอยู่กินกันอย่างสามีภรรยา
สิ่งเดียวที่แอรอนอยากได้มากที่สุดในชีวิตคือ การผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิง เอาอวัยวะที่เธอไม่ต้องการออก แม้จอห์นร่างจิ๋วไม่เห็นด้วย แต่เขายื้ออีกฝ่ายไม่ไหว ทั้งคู่ทะเลาะกันบ่อย เรื่องที่ฝ่ายชายไม่ยอมให้สาวทรานส์เข้ารับการผ่าตัด
จนเมื่อแอรอนพยายามฆ่าตัวตาย แม้ไม่สำเร็จ รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลในปี 1972 นั่นทำให้จอห์นร่างจิ๋วตัดสินใจครั้งสำคัญ เขาจะหาเงินมาให้เธอได้สมหวังมีฝันเป็นจริง เจ้าตัวพร้อมเพื่อนอีก 2 คน เลยวางแผนสุดช็อกโลก
เมื่อเคยเป็นพนักงานแบงก์มาก่อน จอห์นจึงรู้ว่าจะหาเงินจำนวนมากมาให้แอรอนได้อย่างไร
ก็ปล้นธนาคารน่ะสิ
3
ชายหนุ่มได้ข้อมูลในบาร์เกย์ว่า จะมีรถขนเงินนำธนบัตรมาให้ในช่วงบ่าย 3 ดังนั้นเขาจึงรวบรวมเพื่อน 2 คนที่เป็นชายแท้ โดยทั้งหมดตัดสินใจจะลงมือปล้นแบงก์แล้วแบ่งเงินกัน คาดว่าจะได้กันคนละแสนดอลลาร์สหรัฐฯ
น่าจะเพียงพอให้คนรักเขาแปลงเพศได้
ต่อมาอาร์เทอร์ไปสัมภาษณ์แอรอน ได้คำตอบมาว่า “จอห์นปล้นแบงก์ด้วยเหตุผล 2 ข้อ อันแรกให้ฉันได้ผ่าตัด ลำดับต่อมา เราจะได้หนีไปด้วยกัน”
แม้จะเป็นแผนที่ดี ทว่าสาวทรานส์ก็ขมวดคิ้วสงสัย “แต่ฉันไม่คิดว่า เขาจะเป็นจอมวางแผนในเรื่องแบบนี้ได้นะ”
เพราะไม่ใช่อาชญากรมืออาชีพ แต่เข้าข่ายโจรกระจอก ลางหายนะเลยปรากฏให้เห็นตั้งแต่แรก
เริ่มจากแก๊ง 3 วายร้ายหวังจะลงมือในวันที่ 21 สิงหาคม พวกเขาตระเวนหาแบงก์เพื่อลงมือ แต่ธนาคารแรก จอห์นดันลืมปืนไว้ในรถ เสียฤกษ์การก่อเหตุ พอธนาคารที่ 2 เขาดันไปเจอเพื่อนแม่ เลยไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้จอห์นได้ไปดูหนังดังเรื่อง The Godfather (1972) ซึ่งมีนักแสดงอย่าง อัล ปาชิโน (Al Pacino) แสดงนำ สร้างแรงบันดาลใจให้เขามาก พอบ่าย 3 โมง วันที่ 22 สิงหาคม ทั้ง 3 คนพบธนาคารที่หมายปอง รอให้ลูกค้ารายสุดท้ายออกจากแบงก์ จึงบุกเข้าไปพร้อมอาวุธปืน โดยไม่คิดจะปิดบังใบหน้า ก่อนยื่นกระดาษให้กับเสมียนธนาคารว่า
“นี่คือข้อเสนอที่คุณปฏิเสธไม่ได้”
มันเป็นแรงบันดาลใจที่จอห์นได้มาจากประโยคเด็ดของหนังที่เขาไปดูนี่เอง
หากการปล้นสำเร็จ ทั้งสามคงดูเท่ แต่เพราะมันเกิดความอลหม่าน เพราะพนักงานกดปุ่มแจ้งตำรวจ จนบุกมาล้อมแบงก์ได้ทัน ทำให้พวกเขาไปไหนไม่ได้ เลยต้องจับตัวประกันซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารจำนวน 7 คน แบ่งเป็นหญิง 6 คนและชาย 1 คน
ส่วนเงินสดที่คิดว่าจะได้หลายแสน ปรากฏว่า รถขนเงินเอาธนบัตรมาส่งแบงก์ตั้งแต่ 11 โมงเช้าแล้ว มีลูกค้าถอนเต็มไปหมด ผลก็คือ พวกเขาจะได้เงินรวมกันเหลือเพียง 2.9 หมื่นเท่านั้น
ทีแรกจอห์นมีโอกาสหนีไปได้ระหว่างชุลมุน แต่เพื่อนร่วมแก๊งของเขาไม่เฉลียวทัน ในฐานะหัวหน้ากลุ่มเลยต้องติดอยู่ในธนาคารพร้อมมิตร โดยมีตัวประกันและเงินเพียงน้อยนิด เมื่อตำรวจเจรจา เจ้าตัวขออาหาร โค้ก และรถ ที่จะพาทั้งหมดไปขึ้นเครื่องบิน เพื่อไปลงสักแห่งสักเมืองในโลกใบนี้
อย่างไรก็ดีตำรวจไม่สนใจทำตามข้อเรียกร้อง ระหว่างการเจรจา จอห์นขอให้พาเมียซึ่งอยู่โรงพยาบาลมาที่นี่ เจ้าหน้าที่ตกลง เพราะคิดว่าจะได้มาช่วยยุติเหตุจับตัวประกัน แต่เมื่อถามชื่อ พวกเขาก็ฉงน
“ขอให้พาเมียผมออกจากโรงพยาบาลมาที่นี่ เขาชื่อ เออร์เนส แอรอน เป็นผู้ชาย และแน่นอน ผมเป็นเกย์ฮะ”
มันกลายเป็นข้อมูลเด็ดไปถึงสื่อ นี่คือแก๊งเกย์ที่ปล้นเอาเงินไปให้เมียตัวเองแปลงเพศ ประเด็นข่าวนี้โด่งดังไปทั่วทั้งอเมริกา
พลันที่อาร์เทอร์ทราบเรื่อง และโทร.หาจอห์นร่างจิ๋วเพื่อสอบถามข้อมูล อีกฝ่ายก็ย้ำว่า “เพื่อนผม 2 คนไม่ได้เป็นเกย์นะ ผมเป็นคนเดียว และเอางี้เดี๋ยวผมจะแจ้งตำรวจให้ไปรับคุณมาที่แบงก์ เพื่อช่วยเป็นตัวกลางเจรจาตกลง”
นักข่าวหนุ่มมึนงง ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็มาหาเขาถึงบ้าน แล้วพาตัวขึ้นรถไป ระหว่างนั้นตำรวจพาตัวภรรยาสาวของจอห์น ซึ่งตามกฎหมายยังไม่ได้หย่า มาช่วยเจรจา แต่พลันที่ข่าวปรากฏออกไป คนแห่มุง เพราะไม่เคยเห็นการปล้นที่เรียกร้องข้อเสนอสุดพิสดารนี้มาก่อน
กว่าเมียหญิงของจอห์นจะฝ่ามวลชนมาพบได้ก็สุดทุลักทุเล แม้นจะขอร้องให้วางอาวุธ แต่อีกฝ่ายไม่สนองตอบ ทุกอย่างเกิดขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของอเมริกันมุง แม้เอฟบีไอจะย้ำให้มอบตัว แต่จอห์นก็ยืนยันให้พาเขาไปขึ้นเครื่องก่อน ถึงจะปล่อยตัวประกัน ขนาดพาแม่มา เขาก็ยังไม่จำนน
“ผมอยากเจอเมียผมเท่านั้น”
ตำรวจจึงยอมพาตัวแอรอนจากโรงพยาบาล แต่สาวทรานส์ไม่ขอพบ โดยย้ำว่าแม้ผู้ชายคนนี้จะมีเสน่ห์น่ารัก แต่แท้จริงแล้วเขาอารมณ์รุนแรง ชอบทำร้าย ชอบควบคุม จึงไม่ขอเจอหน้าโดยเด็ดขาด
“ชีวิตคู่ของเรามีแต่ปัญหา” แอรอนบอกกับอาร์เทอร์นักข่าวหนุ่ม
นั่นทำให้ความตึงเครียดเกิดขึ้น ตำรวจไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยชวนคุยไปเรื่อย ระหว่างนั้นเหล่าตัวประกันก็เริ่มอ่อนล้า แม้นจะย้ำในตอนหลังว่า ตอนที่ถูกจับก็ไม่คิดโกรธแค้นจอห์นร่างจิ๋วเลย เพราะอีกฝ่ายไม่ใช่คนก้าวร้าว ออกจะสุภาพ ตอนพนักงานส่งพิซซ่าเอาอาหารมาให้ เขายังหยิบเงินสดจากธนาคาร ส่งให้เป็นทิปด้วย ที่สำคัญบุรุษรายนี้ยังออกมาเย้วๆ ตะโกนปลุกระดมมวลชน เพื่อกันไม่ให้เขาถูกยิงจากสไนเปอร์ของเอฟบีไอบนตึกสูงด้วย
เวลาผ่านไปกว่า 14 ชั่วโมง ทุกฝ่ายเหนื่อยล้ากว่าเดิม เจ้าหน้าที่ซึ่งระดมกำลังกันมากว่า 2,000 นายเริ่มหมดความอดทน ในที่สุดเอฟบีไอบอกว่า จะจัดรถแวนพาตัวประกันและผู้ก่อเหตุทั้งสามไปสนามบิน และจะซื้อตั๋วให้จอห์นมุ่งหน้าสู่ยุโรป ส่วนแอรอนจะให้ตามไปทีหลัง
ในที่สุดเวลาตี 5 ของวันที่ 23 สิงหาคม ชายหนุ่มตกลงและออกจากแบงก์ เพื่อมุ่งหน้าสู่สนามบิน เมื่อไปถึง หนึ่งในแก๊งของจอห์นลงมาก่อน แล้วกระสุนของเอฟบีไอก็ปลิดชีพเขาในทันที
จอห์นร่างจิ๋วรีบยกมือขอยอมแพ้ เพื่อไม่ให้ถูกเป่าหัว เจ้าหน้าที่เข้ารวบตัว ทุกอย่างเป็นอันสิ้นสุด
ตัวประกันทั้งหมดปลอดภัย หนึ่งในนั้นเผยห้วงความคิดของจอห์นก่อนโดนจับว่า
“เขาไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดจะยืดเยื้อถึงเพียงนี้ ทีแรกคิดว่าเข้าไป แล้วก็เอาเงินออกมา ง่ายๆ แค่นั้น”
4
แม้ข้อเรียกร้องปล้นธนาคารของจอห์นร่างจิ๋วจะน่าขันแค่ไหนในสายตาของคนยุคนั้น แต่ลูกขุนและศาลไม่ตลกด้วย เขาต้องโทษจำคุกถึง 20 ปีทีเดียว
ชุมชนเกย์และนักกิจกรรมสายสีรุ้งทั้งหลายต่างถกกันว่า ควรช่วยเหลือเขาแค่ไหน แต่ส่วนใหญ่มองว่า การก่อเหตุนี้เป็นตัวปัญหาที่จะสร้างภาพจำผิดๆ ให้กับกลุ่มเกย์ได้ ในที่สุดก็มีมติว่า ปล่อยชายคนนี้ติดคุกไปดีกว่า
หลังติดคุก อาร์เทอร์ทำข่าวอย่างละเอียด คุยกับหลายฝ่าย และพบว่า ข้อเรียกร้องในการปล้น เพื่อจะเอาไปให้เมียแปลงเพศน่าจะไม่ใช่ เมื่อสืบสวนไปลึกๆ อาร์เทอร์เจอว่า จอห์นร่างจิ๋วติดหนี้พวกมาเฟียในนิวยอร์ก ซึ่งเป็นเจ้าของบาร์เกย์หลายแห่งในเมืองนี้ คือออกเงินกู้ให้ทำกันอย่างลับๆ และหากใครเบี้ยวหนี้ก็จะใช้ให้ก่ออาชญากรรม หาเงินมาคืน
การตีแผ่ของอาร์เทอร์ทำให้จอห์นร่างจิ๋วโดนโทษหนัก และยิ่งทำให้นักกิจกรรมเกย์จำนวนน้อยต่างพากันไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเขา แม้นชายคนนี้จะยืนยันว่า ที่ทำไปทั้งหมดเพื่อเมียต่างหาก แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ยกเว้นฮอลลีวูด
วงการมายารีบส่งคนเขียนบทไปสัมภาษณ์เรื่องราวตอนก่อเหตุ จนถูกนำไปสร้างเป็นหนังเรื่อง ปล้นกลางแดด หรือ Dog Day Afternoon (1975) โดยมี อัล ปาชิโน (Al Pacino) แสดงนำด้วย และเงินค่าลิขสิทธิ์ของภาพยนตร์นี้ ถูกส่งไปให้จอห์นตอนเป็นนักโทษ ซึ่งเจ้าตัวก็เจียดเงินบางส่วนจัดปาร์ตี้และซื้ออาหารให้เพื่อนร่วมเรือนจำด้วย
จอห์นร่างจิ๋วย้ำว่า ทุกสิ่งที่ทำลงไปไม่เกี่ยวกับมาเฟีย แต่เพราะรักเมียต่างหาก (โว้ย)
“เพราะความรักเป็นสิ่งที่แปลก บางคนอาจดื่มด่ำกับมันมากกว่าคนอื่น”
เขาจึงอาจรู้สึกลึกซึ้งถึงสิ่งดังกล่าวมากกว่าแอรอนหรือใครหน้าไหน จึงลุกขึ้นมาปล้นธนาคาร
ระหว่างติดคุก เขาพบนักโทษชายที่ศึกษาเรื่องกฎหมาย และกลายเป็นเมียในเรือนจำของเขา โดยคนรักได้ช่วยจอห์นยื่นอุทธรณ์ อ้างว่าเขาลงมือก่อเหตุเพราะมีปัญหาสภาพจิต จนติดคุกได้เพียง 5 ปีก็ออกมาเป็นเสรีชนอีกครั้ง
กระนั้นเวลาของโลกภายนอก ผ่านไปไวมาก เลยไม่มีใครสนใจไยดีกับเขาอีก แม้เรื่องราวจะถูกสร้างเป็นหนัง แม้จะเป็นบุคคลมีชื่อเสียง แต่ตัวตนเขายังเป็นที่น่ารังเกียจ ไม่มีใครยอมรับในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นเกย์หรือเพศอะไรก็ตาม
ทุกคนไม่อยากข้องเกี่ยวอดีตอาชญากรสุดบ้าบิ่นคนนี้
นั่นทำให้จอห์นร่างจิ๋วย้ายไปอยู่กับแม่ ทั้งสองจะอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต ระหว่างนั้นชายหนุ่มพยายามหางานมั่นคงทำ พร้อมกับมีความรักเรื่อยมา
แม้จะเป็นเกย์ ซึ่งยุคนั้นห้ามแต่งงาน แต่จอห์นย้ำเสมอว่า ถ้าเขาคบกับใคร และเมื่อมีความสัมพันธ์อย่างจริงจัง เขาจะแต่งงาน ไม่ว่ากฎหมายจะไม่อนุญาตก็ช่างมัน ฉันไม่แคร์
“เพราะความรักคือสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อผมชอบใคร ก็จะแต่งงานกับเขา เพื่อเป็นข้อผูกมัดระหว่างกัน ในสังคมชายหญิง พวกคุณยังแต่งงานกันได้เลย แล้วทำไมคนที่เป็นเกย์ จะทำแบบนั้นไม่ได้ล่ะ”
ต้องใช้เวลาผ่านไปหลายสิบปี สิ่งที่จอห์นร่างจิ๋วหวังถึงเป็นจริง
5
หลังเกิดเหตุ แอรอนย้ายจากนิวยอร์กไปทำงานเป็นโสเภณี ก่อนติดโรคเอดส์ เสียชีวิตในปี 1987 จอห์นไม่เคยมีโอกาสได้พบอดีตคนรักรายนี้อีกเลยนับตั้งแต่วันที่ลงมือปล้น
ปี 2006 จอห์นร่างจิ๋วป่วยเป็นมะเร็ง เจ้าตัวปฏิเสธการรักษา ยังคงใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลิน และให้สัมภาษณ์เป็นบางครั้ง สุดท้ายความตายก็มาเยือน พรากวิญญาณเขาไปจากโลก ทิ้งไว้กับตำนานที่กลายเป็นหนัง เป็นเรื่องเล่าจนถึงทุกวันนี้
แม้สิ่งที่ทำจะน่าขัน แต่เมื่อกาลเวลาผันผ่าน เหตุการณ์ปล้นแบงก์วันนั้นก็สะท้อนมุมมองความรักที่ยิ่งใหญ่ของเขาที่มอบให้กับคนรักได้อย่างน่าสนใจ
หากเรื่องราวนี้เกิดขึ้นช้ากว่านี้สัก 30-40 ปี จอห์นคงไม่ต้องทำผิดกฎหมาย และแอรอนก็คงไม่ต้องลำบากที่จะแปลงเพศ
ทั้งสองคงได้รับการยอมรับในโลกที่หลากหลายและเห็นคนเท่ากัน
แต่ประวัติศาสตร์ไม่มีคำว่าถ้า ทุกสิ่งเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป เหลือให้จดจำกันในปัจจุบัน อย่างไรก็ดีสิ่งที่จอห์นร่างจิ๋วย้ำกับนักข่าวอยู่เสมอก็คือ การกระทำเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 22 สิงหาคม 1972 นั้น ถูกต้องแล้ว
“ผมฝันถึงเหตุการณ์วันนั้นบ่อยมาก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รำลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วก็ถามตัวเองว่า เราจะออกไปทำแบบเดิมอีกไหม พอมาคิดอย่างละเอียดดูแล้ว ก็ได้คำตอบว่า
“ใช่สิวะ ยังไงกูก็จะไปปล้นเหมือนเดิม”
“แม้จะรู้ว่าต้องลงเอยอย่างนี้เหรอ ชุมชนเกย์ก็ไม่สนใจ แอรอนก็ไม่กลับมา” นักข่าวถามย้ำ
จอห์นร่างจิ๋วพยักหน้าย้ำอย่างหนักแน่น “ผมไม่เสียใจในสิ่งที่ทำลงไปในวันนั้น และไม่เสียใจต่อผลที่ตามมาหรอก”
ต่อให้ย้อนเวลาไปอีกครั้ง
“ผมจะยังคงทำเหมือนเดิม”
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bbc.com/news/magazine-31457718
https://www.nytimes.com/1973/04/24/archives/robber-sentenced-in-a-holdup-to-payfor-sex-change.html
https://www.villagevoice.com/the-bank-robbery-that-would-become-dog-day-afternoon/
Tags: เกย์, Haunted History, LGBTQIA+, ปล้นธนาคาร, Dog Day Afternoon