ใครที่กำลังมองหาสถานที่เดินเล่นในวันหยุดกับครอบครัว ตอนนี้มีงานนิทรรศการหนังสือที่น่าสนใจคือ ‘เทศกาลหนังสือภาพสำหรับเด็ก กรุงเทพฯ 2568’ (Bangkok Children’s Picture Book Festival) ซึ่งจัดตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน-14 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC ติดกับไปรษณีย์กลางบางรัก กรุงเทพฯ
งานจัดขึ้นภายใต้ธีมมหัศจรรย์แห่งนิทาน แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนังสือเด็ก แต่ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นเด็กเท่านั้นที่จะอ่านหนังสือนิทานได้ เพราะที่นี่เปิดกว้างให้คนทุกวัยเข้ามาเดินเล่น ทำความรู้จักกับหนังสือภาพสีสันสดใสนับพันเล่ม และหากถูกใจเล่มไหนก็สามารถกดซื้อผ่านทางออนไลน์ได้ 

นอกจากเดินเล่นอ่านหนังสือเด็กในงานเทศกาลฯ The Momentum ยังมีโอกาสได้พูดคุยกับ คิม จงสถิตย์วัฒนา CEO แห่งนานมีบุ๊คส์ สำนักพิมพ์ซึ่งเป็นเจ้าภาพในการจัดงานปีนี้
“เราหวังว่าเทศกาลนี้จะเป็นกระบอกเสียงที่ทำให้คนคิดว่า หนังสือเด็กมันเท่ คนยุคใหม่ต้องอ่านหนังสือภาพ และไม่ใช่แค่เด็ก เพราะหลายเล่มเราก็อ่านเป็นความเพลิดเพลินส่วนตัว” เธอเล่า
ทั้งนี้ยังชวนคุยถึงประเด็นความสำคัญของหนังสือที่ส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก อย่างที่โทรศัพท์กับโซเชียลฯ มอบให้ไม่ได้ พร้อมทั้งแนะนำหนังสือเด็กที่น่าสนใจ 3 เล่ม ในฐานะคุณแม่ท่านหนึ่ง รวมไปถึงเรื่องที่อยากให้ภาครัฐสนับสนุนงบประมาณแก่ห้องสมุดโรงเรียน เพื่อเลือกซื้อหนังสือให้เหมาะกับความต้องการของเด็กในแต่ละชุมชน
หนังสือคือตัวเชื่อมความสัมพันธ์
ในยุคที่โซเชียลฯ เข้ามามีบทบาทกับชีวิต ไม่ใช่แค่กับผู้ใหญ่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายครอบครัวแนะนำให้เด็กรู้จักกับโทรศัพท์มือถือและโลกโซเชียลฯ ก่อนจะเข้าโรงเรียนเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันว่า โทรศัพท์มือถือและการเลี้ยงลูกด้วยจอส่งผลเสียต่อพัฒนาการเด็ก ทำให้สมาธิสั้น และยังทำให้เด็กมีภาวะวิตกกังวลมากขึ้น พ่อแม่จึงตระหนักและปรับวิธีการเลี้ยงลูก
“ในยามที่โทรศัพท์มือถือกับโลกโซเชียลฯ แพร่กระจายไปในสังคมอย่างมาก หนังสือภาพสำหรับเด็กจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะผลวิจัยทั่วโลกได้พิสูจน์แล้วว่า โซเชียลฯ และการดูโทรศัพท์มือถือมันส่งผลกระทบในแง่ลบต่อพัฒนาการของเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มปฐมวัย และมีบทพิสูจน์ว่าทำให้เด็กมีภาวะสมาธิสั้น ทำให้เด็กมีภาวะวิตกกังวลมากขึ้นด้วย”
คิมแนะนำว่า พ่อแม่สามารถอ่านเพิ่มเติมจากหนังสือ ‘The Anxious Generation’ เขียนโดย โจนาธาน ไฮด์ท (Jonathan Haidt) ชื่อไทย ‘คนรุ่นใหม่ วัยวิตก’ แปลโดย พลอยแสง เอกญาติ สำนักพิมพ์ Bookscape

และเธอได้เสริมถึงความสำคัญและพลังของหนังสือเด็ก
“หนังสือภาพสำหรับเด็กมีพลังหลายด้านมาก เช่น พลังแห่งจินตนาการ และหนังสือภาพมันช่วยแก้ได้ทุกเพนต์พอยต์ของพ่อแม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่สุด เช่น ลูกไม่ยอมเลิกใส่ผ้าอ้อม ลูกไม่ยอมฉี่ในโถส้วม หรือกระทั่งว่าลูกไม่ยอมอาบน้ำ ไปจนถึงเรื่องคุณตาตาย เราจะคุยกับเขาอย่างไรว่า คุณตาไม่อยู่แล้วนะหรือสัตว์เลี้ยงตายไปแล้ว
“บางครั้งเราก็ไม่รู้จะใช้คำพูดอะไร แต่มันมีหนังสือภาพที่ช่วยได้ หรือบางครั้งลูกบอกว่าปวดท้อง ไม่อยากไปโรงเรียน แต่ความจริงอาจจะไม่ใช่ปวดท้อง อาจเป็นความรู้สึกวิตกกังวล ไม่อยากที่จะเจออะไรบางอย่าง หนังสือภาพก็ช่วยทำให้เราคุยกับเรื่องอารมณ์ความรู้สึกได้ ซึ่งมันเป็นอานุภาพที่สำคัญ โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่มีโซเชียลฯ”
โดยเธอบอกว่า สิ่งที่โซเชียลฯ มอบให้ไม่ได้คือ ปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริง เพราะการอ่านหนังสือกับเด็ก พ่อแม่จะได้ชวนลูกพูดคุย และเด็กจะได้ฝึกสังเกต ฝึกตั้งคำถาม ทั้งนี้หนังสือเด็กไม่ได้ช่วยแค่เรื่องพัฒนาการ แต่ยังเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว
“เวลาเราพูดถึงหนังสือภาพ ความจริงเราไม่ได้พูดถึงแค่หนังสือ แต่เรากำลังพูดถึงการอ่านหนังสือร่วมกัน มันเป็นช่วงเวลาที่เราแสดงความรัก เราอ่านกับลูก ลูกเรานั่งตัก เรากอดแล้วเราก็อ่านด้วยกัน เพราะฉะนั้น ได้การกอด ได้ฟังเสียงของแม่ ลมหายใจอุ่นๆ ที่พูดออกมา แม้เราอ่านไม่เก่ง แต่ไม่สำคัญ ลูกจะคิดว่าเราอ่านเก่งสุดยอดเสมอ” 

เมื่อถามว่าในต่างประเทศ ครอบครัวให้ความสำคัญกับการอ่านหนังสือกับเด็กมากน้อยเพียงใด คิมได้ยกตัวอย่างประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่เธอใช้ชีวิตอยู่
“ช่วงโควิด-19 ที่เยอรมนี วงการหนังสือเด็กบูมมาก เพราะว่าในยามที่เด็กๆ ต้องอยู่บ้าน สิ่งที่พ่อแม่ต้องทดแทนให้ลูกคือ การอ่านหนังสือกับลูก หรือให้ลูกอ่านนิยาย อ่านวรรณกรรมเยาวชน เพราะฉะนั้นในโลกที่พัฒนาแล้วเขาให้ความสำคัญกับการอ่านตั้งแต่เด็กๆ อย่างมาก โดยเฉพาะการอ่านหนังสือแบบออกเสียงให้คนฟัง ไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่ต่อเด็ก บางครั้งอาจจะเด็กต่อผู้ใหญ่ หรือผู้ใหญ่ต่อผู้ใหญ่ มันเป็นกิจกรรมทางสังคม แม้ทุกคนจะอ่านหนังสือเองได้ แต่เราอาจจัดกิจกรรมให้ครอบครัวให้มาอ่านหนังสือด้วยกัน มันเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายและไม่แพง มันเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกันและได้ยินเสียงกัน” เธอเล่าถึงตัวอย่างในต่างประเทศ

หนังสือ 3 เล่ม ที่ควรอ่านกับเด็ก
นอกจากดำรงตำแหน่งผู้บริหารสำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์ ชีวิตส่วนตัวของคิมยังเป็นคุณแม่ โอกาสนี้จึงได้แนะนำหนังสือเด็ก 3 เล่ม ที่พ่อแม่ควรอ่านกับลูก
เล่มแรกคือ ‘หนึ่งวันสุดพิเศษ’ โดย คาซาอิ มาริ (Kasai Mari)
“คาซาอิ มาริ เป็นนักเขียนที่เป็น ‘Featured Artist’ ประจำเทศกาลหนังสือภาพสำหรับเด็กปีนี้ จุดเด่นของเล่มนี้เป็นการปลุกจินตนาการให้กับเด็กๆ ตัวเล่มหนังสือมีการเจาะเป็นหน้าต่าง เปิดออกมาก็จะเห็นห้องต่างๆ ในรายละเอียดของภาพที่สวยงามมันทำให้เราสามารถชวนคุยกับเด็กๆ ได้ เช่น ชุดกระโปรงที่มีโบว์ติดอยู่มันอยู่ตรงไหนของหน้านะ แล้วเราชอบห้องไหนนะ นอกจากได้ฝึกสังเกต ยังทำให้เราได้อ่านไปด้วยเล่นไปด้วยกับลูก” 
เล่มถัดมาชื่อว่า ‘เจ้าความกลัวตัวจิ๋ว’ จาก ลุค สคริเวน (Luke Scriven) เป็นหนังสือที่ชวนคุยเรื่องความกลัวกับเด็ก โดยคิมได้ยกตัวอย่างว่า ลูกสาวตัวน้อยก็เธอก็มีความกลัวตามช่วงวัยเช่นกัน
“ลูกทุกคนจะมีความกลัวแล้วแต่ช่วงวัย อย่างลูกเราตอนนี้กลัวเรื่องความมืด จะไม่ยอมไปเข้าห้องน้ำเองตอนกลางคืน เล่มนี้ก็จะเอาความกลัวออกมาให้เรามองเห็น แล้วทำให้เห็นความจริงว่า มันอาจจะเป็นเพื่อนเราก็ได้ มันตัวจิ๋ว ไม่ได้ตัวใหญ่ ไม่ได้บอกว่าห้ามให้ทุกคนไม่มีความกลัว แต่เราอยู่ร่วมกันได้ ถ้าเราควบคุมมันได้ ให้มันเหลือแค่ตัวจิ๋ว” 
สุดท้ายคือหนังสือเด็กที่พาไปเรียนรู้ความหลากหลายของแต่ละครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่มีทั้งพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง มีพี่น้องหลายคน ครอบครัวที่พ่อแม่มีความต่างทางเชื้อชาติ ไปจนถึงเพื่อนที่อาจเติบโตมากับปู่ย่าตายาย หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า ‘ครอบครัวรอบตัวฉัน’ เขียนโดย เฟลิซิตี บรูคส์ (Felicity Brooks) 
ทั้งนี้คิมยังให้คำแนะนำสำหรับครอบครัวที่มีเวลาน้อย หรือเข้าไม่ถึงหนังสือเหล่านี้
“สำหรับเราคิดว่า หากไม่ได้มีเวลาเยอะ อย่างน้อยควรจัดเวลาก่อนนอนอ่านหนังสือให้ลูกฟัง แค่ 20 นาทีก็ได้ เพราะเชื่อว่าการให้ของขวัญเด็กด้วยการอ่านหนังสือร่วมกันเป็นเรื่องที่ดี ไม่ว่าเราจะเป็นแม่ คุณน้า คุณป้า หรือตายาย และเข้าใจว่าสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ ไม่ใช่ทุกคนมีเงินซื้อหนังสือเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นอยากชวนให้ยืมหนังสือจากห้องสมุด เพราะห้องสมุดมีหนังสือที่หลากหลาย” 
รัฐต้องสนับสนุนให้ห้องสมุดลงทุนกับหนังสือ
ในมุมมองของคิม สนับสนุนให้พ่อแม่ผู้ปกครองหันมายืมหนังสือจากห้องสมุดใกล้บ้าน แต่ทั้งนี้เธอกล่าวว่า ห้องสมุดเองควรลงทุนกับหนังสือให้มีความหลากหลายด้วยเช่นกัน
แม้การบริจาคหนังสือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน หรือแม้แต่สำนักพิมพ์จะช่วยให้ห้องสมุดมีหนังสือเพิ่มมากขึ้น แต่รัฐควรสนับสนุนเงินให้กับห้องสมุดโรงเรียนกับห้องสมุดประชาชน เพื่อให้ห้องสมุดจัดสรรซื้อหนังสือเอง เพราะแต่ละประชากรในแต่ละชุมชนมีความต้องการหนังสือที่แตกต่างกัน 
“การบริจาคเป็นเรื่องที่ดี อยากบอกภาครัฐให้ช่วยลงทุนกับห้องสมุดโรงเรียนและห้องสมุดประชาชน ช่วยจัดเงินให้ห้องสมุดสามารถซื้อหนังสือที่หลากหลายได้ทุกปี โดยห้องสมุดต้องซื้อเอง เพราะแต่ละโรงเรียน แต่ละบริบทชุมชน เขาอยากได้หนังสือไม่เหมือนกัน เราต้องการให้ห้องสมุดลงทุนซื้อหนังสือที่หลากหลาย เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงหนังสือ เพราะถ้าเรามองว่าประเทศจะเจริญได้ต้องมีคนที่ดี คนจะดีต้องได้อ่านหนังสือที่ดีและหลากหลาย เพราะคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน ก็ชอบหนังสือไม่เหมือนกัน ห้องสมุดควรมีหนังสือหลายแบบ คนที่เข้ามาอ่านก็จะได้เจอหนังสือสัก 1-2 เล่มที่ตรงกับความต้องการ” เธอกล่าว 
ปัจจุบันหลายองค์กรที่ต้องการส่งเสริมด้านการศึกษาและเรียนรู้ อาจตัดสินใจลงทุนกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างคอมพิวเตอร์หรือไอแพด
“โรงเรียนจำเป็นต้องมีคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ปัจจัย 4 ของโรงเรียนหรือชุมชนควรจะเป็นหนังสือ มันไม่ควรมีอะไรมาทดแทน และไม่ใช่หนังสือ E-book”
คิมเสริมว่า การจับสัมผัสหนังสือเล่มทั้งการเปิดหนังสือทีละหน้า การจดจ่อกับเนื้อหา การรอคอย และการกวาดสายตาอ่านหน้าคู่ซ้ายขวาเป็นสิ่งแตกต่างจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
อย่างไรก็ตาม หนังสือยังเป็นสื่อที่มีความสำคัญต่อมนุษย์ ไม่เพียงแค่ช่วยเสริมพัฒนาการของเด็ก แต่ยังช่วยเพิ่มมุมมองใหม่ๆ พร้อมมอบจินตนาการให้กับผู้ใหญ่ได้อีกด้วย
และสำหรับใครที่กำลังเบื่อหน้าจอโทรศัพท์กับโซเชียล สามารถไปเดินเล่นในงานเทศกาลได้จนถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2568 ที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ TCDC กรุงเทพฯ เวลา 10.30-19.00 น. (หยุดวันจันทร์) 
Tags: นานมีบุ๊คส์, Feature, หนังสือเด็ก, คิม จงสถิตย์วัฒนา




