ว่ากันว่าเมืองที่ดีควรเป็นเมืองที่ออกแบบเอื้อให้คนอยู่มีคุณภาพชีวิตที่ดี เดินได้ หายใจสะดวก มีต้นไม้และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ที่พร้อมรองรับทุกความแตกต่างหลากหลาย และทุกเงื่อนไขของการใช้ชีวิต

แต่เมืองที่ควรปลอดภัยกลับเต็มไปด้วย ความแออัด ขยะ ฝุ่น PM2.5 สายไฟรุงรัง พื้นที่ปลูกต้นกล้วยรกร้าง และขบวนรถติดบนถนน

เมืองที่ไม่ได้ออกแบบและพัฒนาให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น อาจไม่ได้ส่งผลแค่กับสิ่งมีชีวิตอีกต่อไป เพราะ ณ วันนี้ แม้แต่ ‘ผี’ ก็ยังอยู่ ‘ไม่ได้’

The Momentum ชวนอ่าน ‘ตำนานชีวิตผี’ ว่าถ้าต้องย้ายมาอาศัยและหากินในกรุงเทพฯ ผีแต่ละตนจะมีคุณภาพชีวิตแบบไหนกันแน่

เพราะบางทีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเหนือธรรมชาติ อาจเป็น ‘เมือง’ ที่เราอาศัยอยู่ในทุกวันนี้ก็ได้

ผีกระสือสูดฝุ่นจนปอดดำ ทำให้แสงหายไป

เมื่อพูดถึง ‘ผีกระสือ’ หลายคนคงนึกถึงภาพหญิงสาวที่กลางวันใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไป แต่ตกดึกกลับถอดหัวพร้อมไส้ออกไปหากินในยามค่ำคืน แสงสีเขียวจากอวัยวะภายในลอยละล่องอยู่กลางอากาศ ตามหาของเน่าเสียหรือสิ่งปฏิกูลกินเป็นอาหาร โดยเฉพาะรกเด็กของโปรดที่สืบทอดตำนานด้วยการกินน้ำลายจากรุ่นสู่รุ่น

แต่ในยุค 2568 หากกระสือตัดสินใจลงหลักปักฐานอยู่ในกรุงเทพฯ คงต้องเผชิญศัตรูตัวใหม่ที่ไม่ใช่พระอาทิตย์หรือหมาในซอย แต่นั่นคือ ‘ฝุ่น PM2.5’ ที่พร้อมทำให้แสงสว่างในร่างหรี่ลงทุกครั้งที่หายใจ

เมืองหลวงที่อากาศนิ่งเหมือนต้องคำสาป

ช่วงปลายปีคือฤดูที่คนกรุงเทพฯ คุ้นชินกับ ‘ม่านฝุ่น’ ที่ปกคลุมทั่วเมืองราวกับฉากในหนังผี แต่แทนที่บรรยากาศจะหลอน กลับมีแต่เพิ่มค่าฝุ่นในปอด 

สาเหตุมาจากหลายปัจจัยทั้งความหนาแน่นของประชากร ปัญหารถติด เขม่าควันจากท่อไอเสีย ฝุ่นจากการก่อสร้าง รวมถึงอากาศเย็นปลายปีที่ทำให้ชั้นมวลอากาศปิด ลมไม่สามารถพัดผ่านได้ 

สำหรับผีกระสือยุคใหม่ นี่คือฝันร้าย เพราะต่อให้ออกหากินตอนกลางคืน แทนที่จะมีแสงสว่างนำทาง กลับได้ปอดหรืออวัยวะภายในที่เต็มไปด้วยเขม่าควัน หรือกลายเป็นสีดำหม่นแทน

แม้ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษจะชี้ว่า ปริมาณฝุ่น PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงทั่วประเทศในช่วงปี 2563-2566 มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง แต่ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ตัวเลขกลับดีดขึ้นอีกครั้ง สะท้อนว่าปัญหามลพิษทางอากาศยังคงวนกลับมาเหมือนฤดูกาลหนึ่งของประเทศไทย

สำหรับกรุงเทพฯ ภาพรวมค่าฝุ่นเฉลี่ยรายปีแทบไม่ต่างจากค่าเฉลี่ยของประเทศ และยังเกินมาตรฐานติดต่อกันทุกปี เฉลี่ยสูงกว่าเกณฑ์ถึง 1.6 เท่า แม้ในช่วงล็อกดาวน์จากโควิด-19 ซึ่งกิจกรรมในเมืองลดลงอย่างมาก ค่าฝุ่นกลับไม่ได้ลดตาม มีเพียงปีเดียวที่ดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งขึ้นอีกกว่า 13% ในปี 2566 จากการเพิ่มขึ้นของแหล่งกำเนิดฝุ่นทั้งในและนอกเมือง

เมืองที่ดีที่สุดในโลก ที่ค่าฝุ่นติดอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน

เมื่อไม่นานมานี้ Time Out เพิ่งจัดอันดับให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของโลกปี 2568 ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้คนมีความสุข รู้สึกปลอดภัย และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่ในอีกด้านหนึ่ง นี่คือเมืองที่เผชิญกับมลพิษทางอากาศรุนแรงเป็นประจำทุกปี อันเนื่องมาจากฝุ่น PM2.5

กรุงเทพฯ มักมีฝุ่นเกินค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ถึง 2 เท่า โดยเฉพาะในช่วงปลายปีไปจนถึงต้นปี ที่ทั้งเมืองจมอยู่ใต้ม่านฝุ่นหนาทึบจนแยกไม่ออกว่าแสงนั้นมาจากดวงไฟถนน หรือเครื่องในกระสือที่ยังพอเรืองแสงอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ประชาชนกำลังเผชิญกับฝุ่นในทุกลมหายใจ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ออกแนวทางร่วมกับกระทรวงพลังงาน กรมควบคุมมลพิษ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเดินหน้ามาตรการป้องกันและแก้ปัญหาฝุ่นจิ๋ว 

เช่น การประกาศเขตควบคุมฝุ่น ห้ามรถบรรทุก 6 ล้อเข้ากรุงเทพฯ ในบางพื้นที่ และการเปิดให้รถยนต์ลงทะเบียนสีเขียว สำหรับรถบรรทุก 6 ล้อขึ้นไปที่เข้ากระบวนการบำรุงรักษารถ ทั้งการเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนไส้กรองอากาศ และติดตั้งตัวกรองอนุภาคไอเสียดีเซล เพื่อยกเว้นมาตรการในเขตมลพิษต่ำ

เมื่อฝุ่นกัดกินปอดทั้งคนและผี

ข้อมูลจาก Nation thailand (25 มีนาคม 2568) เปิดเผยข้อมูลว่า ค่าเฉลี่ย PM2.5 ทั่วกรุงเทพฯ อยู่ที่ 51.2 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของไทยที่อยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (เฉลี่ย 3 ชั่วโมง) อย่างชัดเจน และยังมีอีกหลายวันของปีที่กรุงเทพฯ มีฝุ่น PM2.5 สูงกว่าปกติ

นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผู้ป่วยจาก 13 กลุ่มโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศ ไม่ว่าจะเป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด ปอดอักเสบ โรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2567 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษากว่า 12 ล้านรายทั่วประเทศ เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2563

สำหรับกรุงเทพฯ ตัวเลขผู้ป่วยจากกลุ่มโรคเหล่านี้อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 2 แสนรายต่อปี และมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยปี 2567 มีผู้ป่วยมากถึง 337,076 ราย มากกว่าปี 2563 ที่อยู่ที่ราว 2.96 แสนราย ทั้งที่ในช่วงนั้นยังมีปัจจัยจากการระบาดของโควิด-19 เข้ามาเกี่ยวข้อง

และอีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ เพศหญิงมักมีความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับปอดและทางเดินหายใจมากกว่าเพศชายถึง 1.13 เท่า นี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ผีกระสือได้รับผลกระทบจากฝุ่นมากกว่าผีกระหัง

อย่างไรก็ตาม ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้แค่ทำให้ท้องฟ้าขมุกขมัว แต่ยังค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ทั้งในดวงตา ผิวหนัง หัวใจ และปอด ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายในหลายระบบและหากร่างกายได้รับฝุ่นในปริมาณมาก อาจถึงขั้นแน่นหน้าอก หายใจลำบาก หรือเหนื่อยง่าย ซึ่งจำเป็นต้องรีบพบแพทย์ทันที

ในตำนาน ผีกระสืออาจกลัวแดด แต่ในกรุงเทพฯ ยุคฝุ่นหนาเช่นนี้ กระสืออาจต้องกลัวอากาศยามเช้าหรือช่วงที่มีแดดมากกว่า เพราะแทนที่จะได้ออกหากินในความมืด ร่างนั้นอาจค่อยๆ หม่นลงไปพร้อมแสงที่หายไปในหมอกพิษของเมือง

และถ้าอากาศสะอาดพอ วันหนึ่งบางทีเราอาจได้เห็นผีกระสือกลับมาส่องแสงสดใสอีกครั้ง แต่จนกว่าจะถึงวันนั้น เธอคงต้องพกเครื่องวัด PM2.5 ติดตัว พร้อมแมสก์ N95 เพื่อพาตัวเองออกหาอาหารยามค่ำคืน

จากยายสปีด สู่ยาย ‘สโลว์’

เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักและคุ้นหูกันดีกับตำนานยายสปีดที่ถูกเล่าขานกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งตำนานดังกล่าวมาจากอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยเล่ากันว่า ‘ยายสปีด’ เป็นคนแก่ที่มีความแค้นและพยายามจะเอาชีวิตเด็กแว๊นทุกคน เนื่องจากเธอเสียชีวิตเพราะถูกเด็กแว๊นขับรถชน

ในตำนานเล่าต่อว่า ยายสปีดมีผมสีขาวโพลน เห็นชัดแม้ในที่มืด โดยเธอชอบกระโจนขึ้นมาเกาะหลังคนขี่มอเตอร์ไซค์ หรือวิ่งไล่จนกว่าพวกเขาจะหนีได้ 

แต่หากยาย ‘สปีด’ ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ คงไม่ได้สปีดอีกต่อไป เพราะรถติดมาก ติดแบบผีไม่ต้องวิ่งไล่ให้เหนื่อย เพราะแค่เดินตามเฉยๆ ก็ทัน แถมมีมอเตอร์ไซค์ให้เกาะเต็มไปหมด และต่อให้ยายจะอยากวิ่งมากแค่ไหน ก็ไม่มีช่องให้วิ่งอยู่ดี

ในเมืองที่รถติดจนผีวิ่งไม่ได้ ตำนานยายสปีด คงต้องอัปเดตชื่อเป็น ‘ยายสโลว์’ 

ประชากรผีตานีล้นเมือง เพราะแห่กันปลูกกล้วยช่วยลดภาษีที่ดิน

ผีตานีหรือ ‘นางตานี’ เป็นผีผู้หญิงตามตำนานไทยที่สิงสถิตอยู่ในต้นกล้วยตานี ผีตานีมักปรากฏในร่างของหญิงสาวสวย นุ่งห่มผ้าสไบ ใส่ผ้าซิ่นสีเขียว ผมยาว กลิ่นหอม โดยมากมักจะใจดี ไม่ดุร้าย หากไม่มีใครไปลบหลู่ 

ผีตานีนั้นขึ้นชื่อเรื่องความหึงหวงรุนแรง หากชายใดเคยเสพสังวาสกับนางตานี นางตานีจะดูดซับพลังชีวิตของฝ่ายชาติไปจนหมดสิ้น ทำให้ร่างกายซูบผอม แก้มตอบ เหมือนอดข้าว และถึงแก่ชีวิต ขณะเดียวกัน หากมีสัมพันธ์กับนางตานีแล้วไปมีความสัมพันธ์กับสตรีคนอื่นหลังจากนั้น นางตานีจะตามหักคอชายผู้นั้นทันที 

สันนิษฐานว่าความเชื่อเรื่องผีตานีคล้ายกับความเชื่อว่าด้วย ‘นางไม้’ ‘นางตะเคียน’ หรือพราย สะท้อนให้เห็นความเคารพต่อธรรมชาติของคนไทยในอดีต ขณะที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาอธิบายไว้ว่า คนไทยสมัยก่อน ไม่นิยมปลูกกล้วยตานีไว้ใกล้เรือน อาจเป็นอุบายไม่ให้ปลูกในบริเวณบ้าน เพราะกล้วยตานีเป็นต้นใหญ่ เติบโตเร็ว กินที่มาก หรือเพราะมีคติเดิมที่ใช้ใบตองกล้วยตานีรองพื้นโลงศพ ซึ่งเป็นลางร้าย

ความเชื่อว่าด้วยผีตานี ยังทำให้คนไทยไม่กล้าตัดใบตองกล้วยตานีทั้งใบเข้าในเรือน โดยต้องเอามาเฉพาะใบตองหรือหักก้านออกเสียก่อน เพราะการนำเข้าบ้านทั้งใบถือเป็นลางร้าย 

แต่ในวันนี้ ในพื้นที่เมือง ดูท่าจะมีประชากรผีตานีล้นเมือง เพราะ ‘ต้นกล้วย’ นั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน

เรื่องการปลูกกล้วย เริ่มต้นจากการบังคับใช้เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 เพื่อ ‘ลดภาษี’

เพราะหากพื้นที่รกร้างว่างเปล่า ไม่มีการใช้ประโยชน์ เก็บที่ดินไว้เก็งกำไร เก็งราคาเพียงอย่างเดียว จะต้องเจอภาษีในอัตราสูงสุด 0.3% และอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นอีก 0.3% ทุก 3 ปีที่ปล่อยรกร้าง

ทว่าหากเป็นพื้นที่เกษตรกรรมด้วยการปลูกกล้วย อัตราภาษีจะเริ่มต้นเพียง 0.01% เท่านั้น โดยเกณฑ์การปลูกกล้วยเพื่อลดภาษีตามหลักเกณฑ์ขั้นต่ำของการประกอบเกษตรกรรมที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด จำเป็นต้องปลูกต้นกล้วย 200 ต้น ต่อ 1 ไร่ เพื่อให้เห็นว่าเป็นการประกอบเกษตรกรรมจริง

เปรียบเทียบง่ายๆ หากที่ดินแปลงงามของคุณสนนราคาที่ 10 ล้านบาท แต่ปล่อยให้รกร้าง คุณต้องเสียภาษีที่ดิน 3 หมื่นบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี ทว่าหากเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ด้วยการปลูกกล้วย 200 ต้นต่อไร่ คุณจะเสียภาษีเพียงปีละ 1,000 บาทเท่านั้น 

ทั้งนี้แม้จะมีพืชอื่นให้เลือกปลูกเพื่อเป็นพื้นที่เกษตรกรรม แต่กล้วยก็ถือเป็นพืชที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆ เพราะปลูกง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ไม่ต้องดูแลมาก อีกทั้งยังรื้อถอนง่าย หากต้องการใช้ที่ดินเพื่อปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้าง การกำจัดต้นกล้วย ถือว่าง่ายมากเมื่อเทียบกับการกำจัดไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อื่นๆ 

ด้วยเหตุนี้ ต้นกล้วยจึงเต็มเมืองไปหมด ตั้งแต่ย่านรามอินทรา แจ้งวัฒนะ ศรีนครินทร์ เกษตร-นวมินทร์ เรื่อยไปจนถึง พระราม 9 เอกมัย ทองหล่อ ก็มีป่ากล้วย

และนั่นอาจอธิบายได้ว่า ทำไมในวันนี้ ‘ผีตานี’ ถึงกลับมาครองเมืองอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะมนตร์ดำหรือคำสาปโบราณ แต่เพราะ ‘ภาษีที่ดิน’

เมื่อที่ดินทุกแปลงกลายเป็นสวนกล้วยจำเป็น เมื่อทุกเจ้าของที่กลายเป็นเกษตรกรจำเป็น เมืองทั้งเมืองจึงมีประชากร ‘ผีตานี’ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางพื้นที่มีหนาแน่นจนเกือบกลายเป็น ‘ชุมชนผีตานีในเขตกรุงเทพฯ’

คืนนี้ ถ้าเดินผ่านซอยเปลี่ยวกลางกรุงแล้วเห็นใบกล้วยพลิ้วไหว อย่าเพิ่งตกใจว่าเป็นผี เพราะนั่นอาจเป็นแค่เสียงลมแห่งนโยบายภาษี ที่กำลังพัดพาให้ผีตานีถือครองที่ดินแทนมนุษย์ไปทีละไร่ ทีละแปลง

เปรตเดินขอส่วนบุญที่ไหนดี ไม่ให้สะดุดสายไฟ

‘เปรต’ หนึ่งในผีไทยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตนหนึ่ง มีเอกลักษณ์สำคัญคือ ตัวสูงเท่าต้นตาล มีปากเท่ารูเข็ม พร้อมเสียงโหยหวนยามค่ำคืน จึงเป็นเหตุให้หลายครอบครัวมักหยิบยกตำนาน เรื่องเล่ามาหลอกให้เด็กๆ ในบ้านให้รีบเข้านอน

ปกติแล้ว ผีเปรตจะไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง แต่จะปรากฏกายตามสถานที่ต่างๆ ที่มีบุญกุศลจำนวนมาก เช่น วัด เพื่อขอส่วนบุญส่วนกุศล

แต่สำหรับกรุงเทพฯ เมืองใหญ่แห่งนี้คงไม่น่าเป็นที่ภิรมย์เท่าไรสำหรับเปรตให้มาเดินขอส่วนบุญ เนื่องจากมหานครแห่งนี้เต็มไปด้วย ‘สายไฟ’ หลายร้อยเส้นทับถมอยู่บนเสาไฟฟ้า ซ้ำร้ายเสาไฟฟ้าบางต้นมีสายไฟฟ้าและสายสื่อสารม้วนขดอยู่เป็นจำนวนมาก

ปกติแล้ว การนำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดินนั้นเป็นโครงการที่ซับซ้อนและมีหลายตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.), การไฟฟ้านครหลวง (MEA) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เข้ามาบูรณาการและจัดการร่วมกัน

ฐิติวุฒิ เงินคล้าย รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันการไฟฟ้านครหลวงมีแผนดำเนินการเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็น ‘สายไฟฟ้าใต้ดิน’ รวมระยะทางทั้งสิ้น 313.5 กิโลเมตร ภายในปี 2572 ซึ่งดำเนินการแล้วเสร็จกว่า 88.8 กิโลเมตร อยู่ระหว่างการดำเนินการ 224.7 กิโลเมตร

ทั้งนี้พื้นที่ในกรุงเทพฯ ที่ได้นำสายไฟฟ้าและสายสื่อสารลงดินแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย เหมาะสำหรับให้เปรตหลายตนได้เดินแสวงหาส่วนบุญมีในหลายพื้นที่ เช่น ถนนศรีอยุธยา เขตราชเทวี ถนนชิดลม และถนนวิทยุ เขตปทุมวัน

ผีพรายอยู่ในคลองไม่ไหว เพราะ ‘เหม็น’ น้ำสกปรกเกิน

ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมา ว่ากันว่า ‘ผีพราย’ คือวิญญาณของคนที่ตายในน้ำ และต้องอาศัยอยู่ในน้ำ คอยหลอกหลอนหรือพยายามเอาชีวิตคนที่มาเล่นน้ำ แม้ไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าผีพรายอาศัยอยู่ในน้ำสะอาดหรือน้ำสกปรก แต่สำหรับแม่น้ำลำคลองในกรุงเทพฯ คงทำให้ผีพรายอยู่ลำบากเป็นแน่ 

เพราะคลองในกรุงเทพฯ บางแห่งเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล แค่ผีพรายจะขยับตัวแหวกว่ายไปทางไหนก็ชนเข้ากับขยะชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ ลองจินตนาการว่า หากผีพรายจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำที คงมีรองเท้าแตะ ถุงพลาสติก หรือกล่องนมติดอยู่ที่ตัวเต็มไปหมด ทั้งตัวยังเหนียวเนอะไปด้วยคราบน้ำมันเพราะคนชอบเททิ้งลงในคลอง

และหากจะมีผีพรายในแม่น้ำเจ้าพระยา ในบางฤดูก็แทบมองไม่เห็นผิวน้ำ เพราะปกคลุมด้วยผักตบชวา ผีพรายจะโผล่ขึ้นมาหลอกดึงคนลงไปในน้ำ คงต้องรวบรวมพลังโผล่ทะลุกองผักตบชวาขึ้นมาด้วยความยากเย็น แถมด้วยเรือด่วนที่สัญจรตลอดวัน สร้างคลื่นในน้ำให้ผีพรายอยู่ลำบากมากขึ้นไปอีก

นี่ยังไม่นับว่า คลองหลายสายของชุมชนในกรุงเทพฯ ที่เผชิญปัญหาตื้นเขิน ไม่ได้รับการขุดลอก ในเมืองหลวงที่คนต่างย้ายเข้ามาปักหลักหางานทำ แต่สำหรับผีพรายคงต้องอพยพออกไปอยู่ในจังหวัดที่แม่น้ำลำคลองสะอาดกว่านี้

ที่มา:

https://www.nationthailand.com/thailand/bangkok/40047816

https://www.bangkokpost.com/thailand/special-reports/2952621/tackling-roots-of-pm2-5-air-pollution-in-thailand

https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/1162440

https://multimedia.anamai.moph.go.th/news/260166-01/

https://ratchaburi.prd.go.th/th/content/category/detail/id/57/iid/336234

https://policywatch.thaipbs.or.th/article/life-94#title-1

http://thaihealth.or.th/เผยสถานการณ์โรคปอดยังน/

Tags: , , , , , , , , , , , , ,