เสน่ห์ของเสื้อวินเทจแบบอังกฤษมักเริ่มต้นจากเสียงเสียดสีเบาๆ ของผ้าเก่าที่ผ่านกาลเวลา เสียงที่เหมือนเล่าเรื่องความทรหดของอากาศเย็นชื้นริมชายฝั่ง ความคลาสสิกที่ไม่พยายามเอาใจใคร แต่กลับดึงดูดสายตาจากความเรียบง่ายอันทรงพลัง นั่นคือจิตวิญญาณที่หลายคนหลงใหลในสไตล์อังกฤษยุคเก่า และหากพูดถึงแบรนด์ที่ทำให้ภาพเหล่านี้ชัดขึ้นมาได้ทันที ชื่อของ Barbour มักถูกพูดถึงเป็นลำดับต้นๆ ในฐานะแบรนด์ที่นิยามคำว่า Timeless ได้อย่างแท้จริง

Barbour ก่อตั้งขึ้นในปี 1894 โดย จอห์น บาร์บัวร์ (John Barbour) ที่เมืองเซาท์ชีลดส์ บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอังกฤษ จุดเริ่มต้นคือการผลิตเสื้อออยล์สกิน (Oilskin) เสื้อผ้าทำจากผ้าหนาที่เคลือบด้วยน้ำมัน เพื่อปกป้องชาวประมงและนักเดินเรือจากลมหนาวและฝนที่โหมกระหน่ำอยู่ตลอดปี เป็นเสื้อที่เคลือบน้ำมันที่มีความทนทาน เหมาะกับคนทำงานกลางแจ้ง 

ในเวลาต่อมา แบรนด์ค่อยๆ ขยายขอบเขตไปสู่โลกของแฟชั่นในศตวรรษที่ 20 จนได้รับความนิยมในหมู่นักล่าสัตว์ นักขี่ม้า ไปจนถึงชนชั้นสูงของอังกฤษ แจ็กเกต Barbour Waxed Jacket กลายเป็นไอเทมซิกเนเจอร์ที่ยังคงผลิตด้วยมือในโรงงานเดิมมาจนถึงปัจจุบัน และนำพาให้แบรนด์ได้รับพระราชทานตราราชวงศ์อังกฤษจาก สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2, เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ และเจ้าชายแห่งเวลส์

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่เซาท์ชีลดส์ วันนี้ Barbour ขยายธุรกิจไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก พร้อมภาพลักษณ์ที่ยังคงยืนหยัดในความทนทาน ฟังก์ชัน และสไตล์แบบอังกฤษขนานแท้ ในโอกาสที่แบรนด์เปิดสาขาแรกในประเทศไทย 

     

The Momentum มีโอกาสพูดคุยกับ นีล พาร์กเกอร์ (Neil Parker) Managing Director, Global Distributors ของ Barbour เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังปรัชญา ความท้าทายในการขยายแบรนด์ไอคอนระดับโลก และมุมมองต่อการเดินทางบทใหม่ของ Barbour ในตลาดไทยที่กำลังเปิดประตูต้อนรับเสน่ห์อังกฤษเหนือกาลเวลาแบบเต็มตัว

ผู้บริหาร Barbour เล่าถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเปิดร้านในไทยเป็นสาขาแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่า “ผมมองว่าเมืองไทยเป็นบ้านหลังที่ 2 และก็เลือกอาศัยอยู่ในไทย ดังนั้นเมื่อต้องขยายสาขาในภูมิภาคนี้ จึงเริ่มคุยกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องทันที และผมรู้สึกยินดีมาก เพราะเรามองเห็นความเป็นไปได้ระยะยาว

“กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่สำคัญมากสำหรับเรา เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยพลัง ผู้คนจากทั่วโลก และมีผู้มาเยือนกว่า 40 ล้านคนต่อปี เรามองว่ากรุงเทพฯ คือประตูสู่เอเชีย และเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการเปิดร้านแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อนาคตเรายังสนใจพื้นที่อื่นด้วย เช่น ภูเก็ตและเชียงใหม่ แต่กรุงเทพฯ ยังคงเป็นศูนย์กลางหลัก รวมถึงมีแผนเปิดแฟล็กชิปสโตร์ด้วย”

สำหรับกลุ่มเป้าหมายในไทยของ Barbour ไม่ได้โฟกัสแค่ลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ได้จำกัดกลุ่มลูกค้าด้วยอายุ แต่มองที่ไลฟ์สไตล์และความชอบของลูกค้ามากกว่า โดยใช้เสน่ห์จากความวินเทจ ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ที่มีอายุกว่า 130 ปี คุณภาพสินค้า และดีไซน์ที่คลาสสิกเหนือกาลเวลาในการดึงดูดลูกค้า

“Barbour ไม่ใช่แบรนด์ที่ตามเทรนด์แฟชั่นเร็ว และจะไม่ทำเช่นนั้น เรามุ่งสร้างสินค้าที่คงทนและมีความหมาย” พาร์กเกอร์กล่าว

ด้านโอกาสทางธุรกิจและการเติบโต พาร์กเกอร์มองว่า ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความโดดเด่น และมีโอกาสเติบโตมาก เพราะมีทั้งนักท่องเที่ยว นักเดินทางจากทั่วโลก รวมถึงคนไทยที่มีจำนวนไม่น้อย สิ่งที่แบรนด์สามารถตอบโจทย์ได้คือ การนำเสนอสินค้าที่ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่รองเท้า แจ็กเกต เสื้อเชิ้ต เดรส และองค์ประกอบอื่นๆ ทั้งหมดอยู่ภายใต้เอกลักษณ์ความเป็น British Heritage

นอกจากนี้ Barbour ยังเป็นแบรนด์ที่ทำ Collaboration อีกมากมาย ตั้งแต่ Paul Smith, Gucci ไปจนถึง Levi’s สิ่งเหล่านี้ช่วยดึงดูดผู้ชมใหม่ๆ เข้ามารู้จักแบรนด์มากขึ้น

ความยั่งยืน อีกหนึ่งเทรนด์ที่แบรนด์แฟชั่นไม่อาจมองข้ามได้

วันนี้ผู้คนทั่วโลก รวมถึงชาวไทย สนใจเรื่องความยั่งยืน ผู้บริหาร Barbour เล่าว่า “เราทำเรื่องนี้จริงจังและทำมานานแล้ว หนึ่งในบริการสำคัญคือ บริการ Re-wax แจ็กเกต ที่มีมาหลายสิบปี ผมมีแจ็กเกตอายุเกือบ 40 ปีที่ยังใช้อยู่ เพราะสามารถส่งรีแว็กซ์ ซ่อม และปะชุนได้ตลอด ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการในไทยเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ ผู้บริหาร Barbour ยังเสริมอีกว่า “เราสร้างเสื้อผ้าที่มีอายุการใช้งานยืนยาว เช่น เสื้อยืด Barbour ที่ใส่ได้หลายปี ไม่ใช่แค่ไม่กี่ครั้งแล้วทิ้ง คณะกรรมการบริหารของเราก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะความยั่งยืนของ Barbour คือสินค้าที่อยู่กับคุณได้นานที่สุด”

คอนเซปต์ของร้านแรกในไทย

ร้านนี้ออกแบบเป็นพิเศษ ทีม Barbour ทำงานร่วมกับเจ้าของพื้นที่เพื่อสร้างอะไรที่แตกต่าง เช่น ด้านหน้าร้านจะไม่มีหน้าต่างแบบเดิมๆ แต่ใช้ทั้งดิจิทัลและองค์ประกอบของ Heritage

“เรานำแจ็กเกตเก่าแก่ต้นแบบมาโชว์ รวมถึงสร้าง Retail Theatre เพื่อเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งร้านในอนาคตก็จะมีคอนเซปต์พิเศษแตกต่างกันไปเช่นกัน” พาร์กเกอร์กล่าว

การถ่ายทอดความ Heritage ผ่านสินค้า

พาร์กเกอร์เล่าว่า “อย่างเสื้อเชิ้ตที่ผมใส่อยู่เป็นลาย Barbour Tartan ซึ่งออกแบบโดย เฮเลน บาร์บัวร์ (Helen Barbour) ลูกสาวของ เดม มาร์กาเรต (Dame Margaret) ในปี 1998 เธอค้นคว้าประวัติแบรนด์ย้อนหลังไปตั้งแต่ปี 1894 เพื่อสร้างลาย Tartan ที่เป็นเอกลักษณ์ของครอบครัว เป็นลายที่ปัจจุบันถูกคุ้มครองและไม่สามารถลอกเลียนแบบได้”

เราทำงานกับทีมตลาดเพื่อเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ให้คนไทยได้รู้ว่า ไม่ใช่แค่เชิ้ตลายตารางทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของแบรนด์

ไม่ว่าจะทำกิจกรรมไหน สิ่งแรกที่นึกถึงต้อง Barbour

ผมอยากให้ Barbour ถูกมองว่าเป็น Premium British Lifestyle Brand ที่มี Heritage และคุณค่าในตัวเอง เราไม่อยากเป็นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย แต่ต้องการเป็นแบรนด์ที่ดีที่สุด สินค้าทุกชิ้นถูกออกแบบเพื่อการใช้งานจริง เช่น เสื้อสำหรับขี่มอเตอร์ไซค์ เสื้อสำหรับขี่ม้า หรือเสื้อตกปลา หวังว่าเวลาคนไทยคิดว่า อยากได้แจ็กเกตสำหรับกิจกรรมใดๆ ก็ตาม คำตอบแรกคือ Barbour

3 สไตล์จาก Barbour ที่เหมาะกับคนไทย

สำหรับตลาดประเทศไทย Barbour มองเห็นความต้องการเสื้อผ้าที่คงเอกลักษณ์ของแบรนด์ แต่ตอบโจทย์อากาศร้อนชื้นมากขึ้น จึงเลือกนำเสนอไลน์สินค้าอย่าง 

– Lightweight Jackets ซึ่งเหมาะทั้งสำหรับนักเดินทางและคนที่ชอบความเป็น Barbour แบบเรียบเท่โดยไม่เน้นโลโก้เด่นชัด 

– Shirt Collection ที่สวมใส่ได้ทั้งโอกาสทางการและลำลอง พร้อมลาย Tartan อันเป็นเอกลักษณ์

– Polo Shirt with Barbour Tartan ที่น้ำหนักเบา ระบายอากาศดี และตอบโจทย์อากาศเมืองร้อนอย่างแท้จริง

เมื่อถามถึงการมีคอลเลกชันเฉพาะเมืองร้อนหรือ Asia Fit พาร์กเกอร์อธิบายว่า Barbour เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับตลาดเอเชียอย่างจริงจัง โดยเฉพาะคอลเลกชัน 52 Week Summer ซึ่งออกแบบให้สวมใส่ได้ตลอดทั้งปีในภูมิอากาศแบบร้อน ตั้งแต่ดูไบจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้แบรนด์ยังพัฒนา Asia Fit ในหลายไอเทม เพื่อให้สัดส่วนเสื้อผ้าเหมาะกับรูปร่างของลูกค้าเอเชียมากยิ่งขึ้น แม้ดีไซน์จะเหมือนเวอร์ชันยุโรป แต่สัดส่วนถูกปรับให้ใส่แล้วลงตัวกับชาวไทย

สำหรับการเปิดร้านแห่งแรกในไทย พาร์กเกอร์กล่าวทิ้งท้ายว่า Barbour กำลังลงทุนครั้งสำคัญในตลาดเอเชีย ทั้งในด้านการพัฒนาสินค้าและการขยายช่องทาง เพื่อผลักดันภูมิภาคนี้ให้เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในอนาคต โดยไฮไลต์ใหญ่ของการเปิดร้านในไทย คือการเปิดตัวคอลเลกชัน Autumn/Winter 2025 ที่คัดสรรและออกแบบเป็นพิเศษสำหรับสภาพอากาศเขตร้อน ภายใต้คอนเซปต์ 52 Weeks Summer ซึ่งรวมถึงไอเทมซิกเนเจอร์ของ Barbour เช่น แจ็กเกตกันฝน เสื้อผ้ากันละอองน้ำ และเสื้อผ้าที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสียูวี ไอเทมที่สามารถสวมใส่ได้จริงในทุกฤดูกาลของประเทศไทย

Tags: , , , , ,