ในชีวิตประจำวันของเราตั้งแต่เล็กจนโต เรามีบ้านเป็นสถานที่แรกหรือ First Place และที่ทำงานหรือสถานศึกษาเป็นสถานที่ที่สำคัญรองลงมาเรียกว่า Second Place กล่าวคือที่ที่เราไปทำหน้าที่ตามบทบาทที่สังคมกำหนดนั่นเอง

ทว่าในทางสังคมวิทยา ยังมีอีกพื้นที่อีกประเภทหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ Third Place แปลตรงตัวคือสถานที่ที่ 3 แต่ความหมายตามคำนิยามคือ สถานที่ที่ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ที่ทำงาน แต่เป็นที่ที่เราไปใช้เวลาเพื่อพักผ่อน พบปะ และเชื่อมโยงกับคนอื่น

เรย์ โอลเดนเบิร์ก (Ray Oldenburg) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน บัญญัตินิยามของคำนี้เอาไว้ ว่าหมายถึง ‘พื้นที่กลาง’ ที่ทำให้ชุมชนแน่นแฟ้น มีไมตรีต่อกัน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนต่างพื้นเพมาเจอกันได้ในบริบทที่ไม่เป็นทางการนัก เช่น ตลาด สวนสาธารณะ ห้องสมุดชุมชน ร้านกาแฟ หรือกระทั่งโต๊ะปิงปองและโต๊ะหมากรุกริมถนน

เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่โอลเดนเบิร์กใช้อธิบายถึง Third Place คือ ที่แห่งนี้ควรเข้าถึงได้ง่ายและต้อนรับทุกคน หากเป็นสมัยก่อนคนไทยส่วนใหญ่คงนึกถึงวัดเป็นที่แรกๆ เพราะเป็นศูนย์กลางที่ดึงดูดคนในพื้นที่ใกล้เคียงให้มาเจอกัน ความมหัศจรรย์แสนธรรมดาสามัญที่ทำให้ลานวัดต่างจากคาเฟ่ โคเวิร์กกิงสเปซ หรือคราฟต์บาร์เก๋ๆ คือ คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าเข้าเพื่อนัดพบใครในลานวัด

น่าเสียดายที่ในยุคสมัยปัจจุบันที่การนัดพบกันในลานวัดดูล้าสมัยและเทสต์ไม่ดีสักเท่าไร คนเมืองจึงไร้ซึ่ง Third Place อื่นใดมาทดแทนลานวัด โดยเฉพาะ Third Place ความเสี่ยงต่ำ ประเภทที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อรีดไถค่าเข้าและคัดกรองคนเข้าด้วยธรรมเนียมจุกจิก

รู้ตัวอีกที สถานที่สำหรับออกเดตก็มิใช่ที่ที่คนรากหญ้าจะสามารถเข้าไปได้โดยง่ายอีกแล้ว อยากนั่งจิบกาแฟในร้านบรรยากาศดีๆ ด้วยกันก็ต้องเสียเงินซื้อเครื่องดื่มไปเท่ากับครึ่งหนึ่งของค่าแรงขั้นต่ำ แล้วถ้าอยากดูหนังสักเรื่องก็ต้องคิดเสียว่า วันนี้ทั้งวันทำงานไปฟรีๆ 

แทบไม่ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมกิจกรรมสันทนาการทั้งหลาย อยากเล่นกีฬา? โปรดสแกนจ่ายค่าเช่าคอร์ต อยากเข้าบุ๊กคลับ? โปรดสแกนจ่ายค่าเมมเบอร์ชิป

ทำไม Third Place ถึงสำคัญต่อการมีรัก

มนุษย์เรามีโอกาสตกหลุมรักสูงขึ้นเมื่อประสาททั้งห้าทำงานประสานกัน เราอาจตื่นเต้นกับรูปถ่ายเซลฟีของคนแปลกหน้าหรือดาราในโซเชียลฯ ดูดีอยู่ทุกวัน แต่หากไม่ลงทุนแรงและเวลามหาศาล ความรู้สึกผูกพันก็อาจไม่เกิดขึ้น ต่างจากการได้สบตา อ่านภาษากาย สัมผัสกลิ่นเฉพาะตัวของอีกฝ่ายที่เจือจางอยู่ในอากาศ และแลกเปลี่ยนปฏิกิริยาเคมีในบทสนทนาซึ่งหน้า

 ในโลกที่แม้แต่ผู้ใหญ่ลียังเลือกส่งลิงก์ซูมแทนที่จะตีกลองประชุม โอกาสที่คนส่วนใหญ่จะได้ทำความรู้จักกันผ่านเหตุบังเอิญ แล้วปะทะสังสรรค์จุดประกายเคมีแห่งรักจึงน้อยลงกว่าสมัยก่อนมาก

นอกจากนี้ผังเมืองและวิธีการออกแบบชุมชนแนวตั้งแบบเดิมๆ ยังส่งผลให้คนเชื่อมถึงกันน้อยลงโดยธรรมชาติอีกด้วย มีงานวิจัยมาถึง 57 ชิ้นที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเหงากับสภาพแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Built Environment) โดยครอบคลุมเนื้อหามากมายหลายด้าน ตั้งแต่การออกแบบย่านที่อยู่อาศัย อาคาร พื้นที่สาธารณะ โครงสร้างระบบขนส่ง ไปจนถึงพื้นที่ธรรมชาติ

ผลวิจัยชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า สภาพแวดล้อมที่ออกแบบมาโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์จะเปิดโอกาสผู้คนทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเหงาได้ เช่น

– พื้นที่ส่วนกลางที่มีต้นไม้ร่มรื่นหรือโต๊ะเก้าอี้นั่งสบาย ช่วยให้ผู้พักอาศัยแวะพูดคุยกับเพื่อนบ้านนานขึ้น

– โซนสำหรับทำกิจกรรมสันทนาการที่จัดไว้โดยเฉพาะอย่างห้องอ่านหนังสือ สวนบนดาดฟ้า ช่วยให้ผู้ที่มีความชอบคล้ายกันหากันเจอเร็วขึ้น

– การมี Third Place ให้เลือกหลากหลายใกล้ๆ ชุมชนในระยะเดินถึง ทำให้คนในชุมชนบังเอิญเจอกันบ่อยขึ้น และมีโอกาสได้แนะนำคนแปลกหน้าในชุมชนให้คนอื่นได้รู้จักกันมากขึ้น

และในขณะเดียวกัน

– การอาศัยอยู่ในห้องสตูดิโอขนาดเล็ก ส่งผลให้เรามีแนวโน้มจะรู้สึกเหงาง่ายและบ่อยขึ้น เพราะห้องอาจไม่สะดวกสบายพอจะชวนเพื่อนหรือคู่เดตมาใช้เวลาด้วยกัน

– การอาศัยอยู่ในพื้นที่เช่าที่ไม่สามารถตกแต่ง ต่อเติม และใส่ความเป็นตัวเองลงไป อาจทำให้ผู้เช่ารู้สึกแปลกที่อยู่เสมอ แม้จะอยู่ในชุมชนนั้นๆ มานานแล้ว

– ชาวเมืองที่มีรายได้ต่ำและอาศัยอยู่ในย่านที่ค่าครองชีพถูก มีแนวโน้มจะได้เจอเพื่อนน้อยกว่าชาวเมืองกลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ สาเหตุคือ ย่านที่ค่าครองชีพถูกมักมีระบบขนส่งที่ไม่ได้ประสิทธิภาพ ทั้งยังอยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางของเมือง ซึ่งเป็นบริเวณที่มี Third Place ผุดขึ้นมากกว่า

สุดท้ายแล้ว แม้จะยังไม่มีสถาปนิก นักผังเมือง หรือนักวิจัยคนใดที่สามารถชี้ขาดได้ว่า สภาพแวดล้อมแบบใด องค์ประกอบไหนที่จะช่วยเยียวยาความเหงาและตอบโจทย์กระบวนการพบรักของคนทุกคน แต่ประเด็นสำคัญคือการกระจายพื้นที่บรรยากาศดีๆ ที่เข้าถึงง่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนได้พบปะ พักผ่อน สื่อสาร และตกหลุมรักกัน

อ้างอิง

https://www.sydney.edu.au/news-opinion/news/2023/02/02/the-cities-we-create-lead-to-isolation-and-loneliness.html 

https://www.psychologytoday.com/us/blog/social-instincts/202411/2-reasons-why-third-spaces-are-essential-for-finding-love 

https://www.newyorker.com/humor/shouts-murmurs/the-worst-city-to-find-love-is-wherever-you-yes-you-live 

Tags: , , , ,