***เขียนจากการชมรอบการแสดงเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568***
นักการละครหญิง ปานรัตน กริชชาญชัย เป็นที่รู้จักกันในแวดวงละครเวทีไทยร่วมสมัยมานานนับทศวรรษ แนวทางถนัดของเธอคือ การดัดแปลงบทละครคลาสสิกอมตะจากโลกตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ มาทำให้เป็นงานละครตลกชวนหัว รั่วฮากันทุกมุก สร้างความสนุกหรรษาด้วยการจิกกัดทางภาษาและคารม นิยมบิลด์ให้นักแสดงแข่งกัน ‘เล่นใหญ่’
และไม่ว่างานต้นฉบับจะเคร่งเครียดจริงจังเนื้อหาเปี่ยมไปด้วยพลังความดราม่ากันอย่างไร ทุกครั้งที่ปานรัตนหยิบมาเล่าใหม่ด้วยบริบทแบบไทยๆ ทุกเรื่องก็จะกลายเป็นหัสคดีที่ไม่นำพาสาระ มุ่งกระตุกต่อมฮาของผู้ที่มาดู เพราะรู้ว่าผู้คนที่ซื้อตั๋วเข้ามาชมละคร ก็ล้วนต้องการพักผ่อนหย่อนใจ สำราญไปกับการได้รับความบันเทิง
ในปีนี้ปานรัตนกลับมานำเสนอความสนุกรื่นเริงให้กับคอละครเวทีกันอีกครั้ง ปักหลักตั้งคณะจัดแสดงกันในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ที่โรงละคร ‘ล้านนาอารีย์เธียเตอร์’ ซอยอารีย์ 2 ใช้ประโยชน์ของอาคารบ้านเรือนไทย นำบทละครสั้นอเมริกันเรื่อง The Actor’s Nightmare (1981) ของ คริสโตเฟอร์ ดูรัง (Christopher Durang) มาเล่าและปรับโฉมใหม่ให้มีความเป็นไทยๆ ไปด้วยกัน ได้กับบรรยากาศสถานที่ ย้อนเวลาทะลุมิติทวิภพไป 90 ปี เพื่อติดตามชีวิตหลังม่านของคณะนักแสดงละครไทยประยุกต์ ที่สมาชิกทุกรายล้วนภูมิใจในความ ‘มีของ’ ของตน อลหม่านอลวนกระหายอยากเป็นคนที่จะ ‘โดนแสง’ แก่งแย่งแข่งขันกันจนไม่เป็นอันสมัครสมานสามัคคี ในยุคสมัยที่การแสดงยังไม่มีตำแหน่งที่เรียกว่า ‘ผู้กำกับ’ คอยกำหนดควบคุม ทุกคนจึงต้องมะรุมมะตุ้มกันอยู่บนเวที เพื่อทำตัวให้เป็นที่จดจำได้มากที่สุด
กระทั่งสุภาพบุรุษจากโลกยุคปัจจุบันที่ทุกคนเรียกขานกันว่า ‘กวิน’ (กวิน พิชิตกุล) ดื่มกาแฟในร้าน Starbucks อยู่ดีๆ ก็มีอันต้องทะลุมิติเวลาหลงกลายมาเป็นหนึ่งในนักแสดงของคณะละครฟ้อนขับที่ครบเครื่องไปทั้งฉิ่งฉับกรับโหม่งและโจงกระเบน ทั้งที่เขาเองก็ไม่เคยได้เล่นได้ซ้อมเตรียมความพร้อมๆ ใดๆ มาก่อน แต่ด้วยปรัชญา ‘The Show Must Go On’ เขาก็ต้องใจอ่อนยอมตกกระไดพลอยโจนโหนเรือไปตามน้ำ พยายามทำหน้าที่ของตนด้วยความฉงนแบบคนที่ไม่เคยอ่านบท ด้นสดแบบน้ำขุ่นๆ ไป เพราะเขามิได้มีทักษะใดๆ ในทางนี้เลยสักนิด ซึ่งนิมิตฝันร้ายของยอดชายนายกวินนี้เอง ที่มือดัดแปลงบทและผู้กำกับ ปานรัตนหยิบโครงเรื่องจากบทละคร The Actor’s Nightmare ของดูรังมาละเลงเล่าใหม่ ในขณะที่ตัวเรื่องต้นทาง ชายผู้โชคร้ายที่ต้องกลายมาเป็นนักแสดงจำเป็นเขาชื่อ จอร์จ สเปลวิน (George Spelvin) และทำมาหากินเป็น ‘นักบัญชี’ ผู้มีประสบการณ์บนเวที = 0 แต่ต้องมารับบทบาทเป็นตัวละครในบทละครดังอย่าง Private Lives (1930) ของ โนแอล โควาร์ด (Noël Coward), The Tragedy of Hamlet, Prince of Denmark (1601) ของ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare), A Man for All Seasons (1960) ของ โรเบิร์ต โบลต์ (Robert Bolt) และ Endgame (1957) ของ ซามูลเอล เบกเกตต์ (Samuel Beckett)

ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri

ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri
ทว่าปานรัตนก็ไม่ได้คิดจะเดินเรื่องตามบทละครของดูรังแบบเก็บทุกเม็ด พอเดินเรื่องให้กวินเดินทางไปในโลกอดีตได้สำเร็จ ปานรัตนก็เลือกที่จะเล่าเรื่องใหม่ ใส่มุกตลกวงในการสร้างทำละคร ซึ่งคนดูที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ผู้กำกับอยากจะ ‘กัดแซะ’ ทีมงานตำแหน่งไหนในแต่ละโปรดักชันละครโรงเล็กร่วมสมัยกันบ้าง เนื้อหาของ ‘ฝันร้ายกลางเดือนร้อน’ จึงอ้างอิงถึงกระบวนการสร้างสรรค์งานการแสดงแบบไทยๆ ในปีที่ผลัดแผ่นดินจากรัชกาลที่ 7 สู่รัชกาลที่ 8 แวดล้อมไปด้วยฉากหลังในแบบลำตัดยี่เก แหล่เห่เพลง ‘ป๊ะโท่นป๊ะโท่นป๊ะโท่นโท่น’ โหนลูกคอร่ายรำกันอย่างบันเทิงเริงใจ
ในขณะที่โครงเรื่องของการเดินทางข้ามเวลาก็หาได้มีการพัฒนาหรือล้วงหามูลเหตุอะไรใดๆ (นอกเหนือจากการ ‘ประชด’ ให้กวิน นักแสดงรุ่นน้องผู้ช่ำชองด้านการแสดง มารับตำแหน่งเป็นสเปลวินในเรื่องนี้) เพราะไม่รู้ว่าจะทู่ซี้ขยี้ปมกันไปทำไม มาร้องรำทำเพลงกันให้เบิกบานหฤทัยกันดีกว่า ซึ่งก็เป็นลีลาในแบบไม่นำพาเนื้อหาสาระตามแบบฉบับที่ ปานรัตนเลือกใช้อย่างเสมอมา

ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri
อย่างไรก็ดีมุกตลกส่วนที่ว่าด้วยเบื้องหลังคนทำละคร โดยเฉพาะในตอนซุ่มซ้อมเตรียมความพร้อมก่อนจะแสดง ก็อาจจะแฝงประสบการณ์เฉพาะกลุ่มเฉพาะวงการจนไม่อาจสื่อสารกับผู้ชมในวงกว้างได้อย่างทั่วถึงนัก แต่ผู้กำกับปานรัตนก็ชดเชยให้ด้วยการ ‘จัดหนัก’ หักมุมขยุ้มต่อมฮากันด้วยลีลาตลกสังขาร และการปรามาสด่าทอระหว่างกัน ห้ำหั่นต่อปากต่อคำจนไฟลุก! ความหรรษาส่วนนี้เองที่ทำให้ละครดูสนุกและน่าติดตาม แม้ว่าหากจะลองพิเคราะห์เนื้อความในตัวบทจริงๆ มันจะอุดมไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า การ ‘บูลลี’ ที่นับว่าเป็นเรื่องที่ ‘ไม่โอเค’ กันแล้วในยุคสมัยนี้

ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri
‘แก่ชราไม่มีเรี่ยวแรง’ หนึ่งล่ะ
‘ขาดทักษะจนต้องไปใช้แรงงาน’ อีกหนึ่งล่ะ
‘กริยาเยี่ยงวานร’ อีกหนึ่งล่ะ
หรือ ‘เป็นกะเทยร่างยักษ์ปักหลั่นที่ดันทุรังจะเป็นอิสตรี’ อีกหนึ่งล่ะ
ล้วนเป็นวาทกรรมต้องห้ามที่ความ Politically Correct ไม่อนุญาตให้ใครด่าทอใครๆ ในลักษณะนี้ได้อีกแล้ว แม้ว่าเนื้อหาเรื่องราวจะมีน้ำเสียงของการหยอกแซวในแบบคนโบราณอยู่ก็ตาม แต่ทำไมความตลกโปกฮาเหล่านี้ จึงดูมีความ ‘โอเค’ ในฝันร้ายกลางเดือนร้อน เพราะมองอีกมุมก็อาจกลายเป็นละครแสนหยาบคาย เต็มไปด้วยมุกตลกตกสมัยมองคนอื่นแต่ในแง่ร้ายที่ไม่มีใครเขาคิดจะขำไปด้วย
ตัวช่วยสำคัญเลยน่าจะเป็นการเล่นบทบาทเป็น ‘ตัวตลก’ ของนักแสดงบนเวทีทั้งหกในละครเรื่องนี้ (กฤษณะ พันธุ์เพ็ง, ศุภสวัสดิ์ บุรณเวช, เศรษฐ์สิริ นิรันดร, จตุพร สุวรรณสุขุม, สรวิศ ชินแสงทิพย์ และกวิน พิชิตกุล โดยมี ประดิษฐ ประสาททอง ในชุดคอซองบานแบบเชกสเปียร์ทำหน้าที่ขับร้องเล่าเรื่องราวทั้งหมด) บทบาทที่พร้อมยอมทิ้งทุกเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองไว้ข้างเวที ยอมเป็นเบี้ยล่างให้ทุกคนได้ดูหมิ่นและย่ำยี แลกกับความสะใจที่แปรเปลี่ยนมาเป็นเสียงหัวเราะจากผู้ชม ให้สมกับการได้ชื่อว่าเป็น ‘ดาวตลก’ เพราะในความตลกทั้งหลาย เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีใครสักคนหนึ่งซึ่งเป็นฝ่าย ‘ซวย’ แบบไม่อาจยื่นมือไปช่วย และด้วยความโชคร้ายอะไรเหล่านี้ ก็จะทำให้เรื่องเล่ากลายเป็นงาน ‘หัสคดี’ จี้เส้นคนดูที่มาชมได้
อาชีพของการเป็นตัวตลกจึงคือการเต็มใจถูก ‘ด้อยค่า’ เพื่อแลกกับความสนุกหรรษาของผู้ชม อารมณ์ขันต่างๆ ในฝันร้ายกลางเดือนร้อน จึงยังเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในวงการละครแม้ว่าจะดู ‘ลดทอน’ คุณค่าความเป็นมนุษย์กันอย่างไร ซึ่งก็นั่นล่ะ แล้วเราจะไปซีเรียสตั้งแง่รังเกียจส่อเสียดด้วยข้อหาเหล่านี้กันไปทำไม
‘มหรสพ’ เขามีไว้เพื่อความบันเทิงเริงใจ เอาเป็นว่าถ้ามันยังทำให้คุณหัวเราะได้ ก็ไม่ต้องไปดัดจริตคิดวิเคราะห์ว่ามันเป็นเพราะอะไรกัน

ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri
ที่มาภาพ: Chayut Sunthornsiri
Tags: A Midsummer's Nightmare, ละครเวที, Screen and Sound, ฝันร้ายกลางเดือนร้อน