*บทความมีเนื้อหาเปิดเผยตอนจบของหนัง 

ลองจินตนาการถึงวันที่อยู่ดีๆ ร่างกายของคุณก็พังพินาศ ขัดขวางคุณจากการการงานหรือแม้แต่การดำรงชีวิตที่คุ้นเคยมาตลอด ร่างกายกลายเป็นฝันร้ายและเป็นกรอบกรงที่เราสร้างเงื่อนไขอะไรด้วยไม่ได้ เรื่องราวเช่นนั้นเกิดขึ้นกับ ‘รูเบน’ (ริซ อาห์เมด) มือกลองวงดูโอเมทัลที่ออกทัวร์กับแฟนสาว ‘ลู’ (โอลิเวีย คุก) ใช้ชีวิตและออกทัวร์อย่างแสนเสรีในรถบ้าน ก่อนที่รูเบนจะพบว่าวันหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ความหวังเดียวที่เขายังหล่อเลี้ยงไว้ได้คือการผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียม 

ท่ามกลางความริบหรี่ของชีวิต รูเบนถูกแยกออกจากแฟนสาวแล้วไปหัดใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนคนหูหนวกอันแสนสงบ เขาพบกับ ‘โจ’ (พอล ราซี) หัวหน้าชุมชนที่หูหนวกจากเสียงระเบิดสมัยออกรบในสงครามเวียดนาม ผู้สอนให้เขายอมรับสภาวะที่ตัวเองกำลังเผชิญ ซึ่งในด้านหนึ่งแล้ว มันย่อมหมายความว่าให้รูเบนล้มเลิกจะหวนกลับไปมีวิถีชีวิตแบบเดิมนั่นเอง

Sound of Metal งานแจ้งเกิดของ ดาริอุส มาร์เดอร์ ก่อนหน้านี้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักสมัยร่วมเขียนบทใน The Place Beyond the Pines (2012, ดีเร็ก เชนแฟรนซ์) และหนังที่ว่าด้วยเรื่องของมือกลองหนุ่มหูดับนี้ก็ส่งให้มาร์เดอร์ขึ้นแท่นคนทำหนังหน้าใหม่น่าจับตาทันที เพราะมันไม่เพียงแค่เล่าถึงความทุกข์ตรมของคนที่กำลังจะสูญเสียวิถีชีวิตเดิมๆ หากแต่วิธีทำหนังมันยังละเมียดและสื่อความหมายผ่านงานดีไซน์เสียงและงานกำกับอันแยบยล 

“ความเงียบมันเหมือนสีขาวบนภาพน่ะ ถ้าคุณวาดภาพสีน้ำ สีขาวจะเป็นส่วนที่คุณไม่ต้องวาดเลย แต่ทางเดียวเลยนะที่คุณจะมองเห็นสีขาวได้คือเมื่อสีขาวนั้นถูกล้อมรอบด้วยสีอื่น เช่นเดียวกัน ผมว่าความเงียบก็น่าสนใจเมื่อมันถูกห้อมล้อมด้วยเสียงอื่นๆ” มาร์เดอร์อธิบาย 

“ในหนังมันมีคำอยู่สองคำ คือคำว่า สงบนิ่ง (stillness) และคำว่า เงียบ (silence) ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกันเสมอไปก็ได้

“คนหูหนวกที่เขาไม่ได้ยินเสียง ก็ไม่ได้แปลว่าเขากำลังสงบใจอยู่ ความสงบนิ่งมันคือสภาวะการดำรงอยู่ ในเนื้อตัวคุณอาจจะมีเสียงเดือดดาลของเมทัลดังก้องอยู่ อาจจะมีความเดือดดาลข้างใน และคุณก็อาจจะมีสัตว์ประหลาดแฝงเร้นอยู่ในความเงียบก็ได้ทั้งนั้น”

 หนังเปิดด้วยเสียงเพลงเดือดดาลจากคู่รักเมื่อรูเบนกระหน่ำหวดกลองโดยมองไปยังแผ่นหลังของลูอย่างวางใจและเข้าอกเข้าใจ พวกเขาสื่อสารกันโดยปราศจากคำพูดบนเวทีเล็กๆ แห่งนั้น ตื่นมาใช้ชีวิตร่วมกันบนรถบ้านเพื่อพร้อมจะออกเดินทางไปยังที่แห่งใหม่ที่ยังไม่เคยสำรวจ เสียงแห่งความเดือดดาลจากเมทัลร็อกจึงเป็นเสียงแรกที่หนังใช้พาคนดูไปทำความรู้จักกับรูเบน ก่อนจะขยับไปสู่เช้าวันใหม่แห่งความสงบเมื่อเขาตื่นเช้าขึ้นมาทำอาหารเพื่อสุขภาพกิน ดริปกาแฟ และเปิดเพลงคลาสสิกเต้นรำกับคนรักในรถบ้าน และในฉับพลันทันที ทั้งรูเบนและคนดูก็พบไปพร้อมๆ กันว่า มีบางอย่างเกี่ยวกับการได้ยินที่ผิดปกติไปจากเดิม

 สิ่งหนึ่งที่ทรงพลังมากที่หนังทำสำเร็จคือมันหว่านเพาะความรู้สึกหวาดหวั่นบางอย่างลงในเนื้อตัวคนดูตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นมา มันคือภาวะที่เราตระหนักได้ว่ากำลังจะสูญเสียวิถีชีวิต เงื่อนไขในการดำรงชีพแบบเดิมซึ่งเราพอใจและอิ่มเอมกับมันไปตลอดกาล รูเบนเองก็ไม่ต่างกัน หนังอธิบายเรื่องราวของเขาผ่านบทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ หรือเมื่อกล้องจับไปยังรอยสักหรือท่อนแขนที่เต็มไปด้วยแผลเป็นจากการกรีดข้อมือของลู ก็พอจะเป็นการบอกอยู่นัยๆ ว่าคนทั้งสองผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากและบทเพลงเมทัลอาจเป็นหนึ่งในวิธีประคับประคองชีวิตของพวกเขา การสูญเสียการได้ยินจึงไม่ได้หมายความว่ากำลังจะเสียงานที่ใช้ดำรงชีพ แต่มันยังหมายถึงเรื่องราวกับตัวตนของเขาถูกทำลายลงไปด้วย

 รูเบนพบว่าเงื่อนไขเดียวที่จะนำเขากลับไปสู่การ ‘นิยามตัวตนเดิม’ อีกครั้งคือการผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียม ซึ่งใช้เงินหลายหมื่นเหรียญฯ ระหว่างนั้นเขาถูกส่งไปปรับสภาพและเรียนรู้การใช้ชีวิตยังชุมชนคนหูหนวกของโจ ที่ด้านหนึ่งก็ทำโครงการเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ด้วย นี่จึงเป็นนิยามใหม่ที่ชีวิตยัดเยียดให้รูเบนซึ่งเขาเลือกปฏิเสธไม่ได้ มากไปกว่านั้น ก้าวแรกของการอยู่ในชุมชนนี้จึงไม่ใช่การเรียนรู้ภาษามือหรือทักษะอื่นๆ ที่จำเป็นของคนที่บกพร่องทางการได้ยิน หากแต่โจสั่งให้เขาไปทำในสิ่งที่น่าประหลาดอย่างยิ่ง นั่นคือการตื่นเช้ามาเพื่อนั่งเฉยๆ ในห้องทำงาน หากทนไม่ไหวให้เขียนระบายลงในสมุดจด แล้วกลับไปนั่งใหม่อีกรอบจนกว่าจะค้นพบ ‘ความสงบ’ อันเป็นสิ่งที่โจปรารถนาให้สมาชิกใหม่อย่างรูเบนค้นพบระหว่างมาพักที่นี่

 หนังตั้งคำถามว่าภายใต้ความเงียบเชียบอันชวนทุกข์ตรมของรูเบนนั้น เขาได้ยินอะไร สำหรับโจหรือสมาชิกชุมชนคนอื่นๆ ที่แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่ยอมรับในนิยามใหม่ที่ชีวิต (หรือในนามของพระเจ้า) มอบให้ย่อมเชื่อว่าการไม่สามารถได้ยินเสียงใดๆ ก็เปิดประตูไปสู่การ ‘ได้ยิน’ เสียงใหม่ๆ ในรูปแบบอื่นๆ นั่นเพราะทั้งโจและรูเบนมองภาวะการไม่ได้ยินเสียงนี้คนละแบบ

 บทสนทนาหนึ่งระหว่างโจและรูเบนที่ทั้งสองผลัดกันเล่าถึงประสบการณ์การเสพติด รูเบนเล่าอย่างขอไปทีว่าเขาเคยติดเฮโรอินและเลิกมาได้สี่ปีแล้วซึ่งคือภายหลังจากที่คบหากับลู ขณะที่โจบอกว่า เขาเองก็เคยติดแอลกอฮอล์มาก่อน “ลูกและเมียทิ้งผมไป ไม่ใช่เพราะผมหูหนวก แต่เป็นเพราะแอลกอฮอล์” ซึ่งมันอธิบายวิธีคิดที่เขามองภาวะไม่ได้ยินเสียงอย่างหมดจด โจไม่ได้มองว่ามันเป็นสภาวะด้อยค่าหรือย่ำแย่จนทำให้ลูกเมียต้องทิ้งเขา สิ่งที่เป็นเงื่อนไขของการพลัดพรากคือเหล้ากับเบียร์ต่างหาก ตรงกันข้ามกับรูเบนซึ่งแม้เมื่อเข้ามาใช้ชีวิตในชุมชนแห่งนี้ เขาก็ยังปักหลักเชื่อมั่นว่ามันคือความบกพร่องที่กระชากเขาออกจากโลกที่เคยอยู่และสิ่งที่เขานิยามตัวเองไว้ และด้วยการเข้าใจภาวะเช่นนี้คนละอย่างนี่เอง ที่ผลักให้รูเบนออกเดินทางเพื่อแก้ไขในสิ่งที่เขารู้สึกว่าบกพร่องนั่นคือการดิ้นรนผ่าตัดให้ได้

 หนังหล่อเลี้ยงทั้งรูเบนและคนดูมาตลอดว่า แม้ค่ารักษาจะแพงหูฉี่แค่ไหนก็ตาม แต่มันเป็นทางเดียวที่รูเบนเชื่อว่าจะทำให้เขากลับมา ‘back on track’ สู่เส้นทางชีวิตรูปแบบเดิมได้อีกครั้ง – คำถามคือ มันจริงแค่ไหน

 ข้อเท็จจริงคือการผ่าตัดไม่ได้ทำให้มนุษย์กลับมาได้ยินแบบเดิม ตรงข้ามคือมันสร้างคลื่นความถี่เสียงที่ทำให้เส้นประสาทเข้าใจว่ากำลังได้ยินเสียงจนส่งสัญญาณไปยังสมองอีกต่อหนึ่ง สิ่งที่รูเบนพบคือเสียงรอบตัวนั้นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่เสียงแบบที่เขาเคยรู้จักมาทั้งชีวิต และก็ไม่ใช่เสียงที่เขาเพิ่งทำความรู้จักเมื่อสมัยแรกเริ่มหูหนวกอีกเช่นกัน มันกลายเป็นภาวะกลับไม่ได้และไปไม่ถึงของตัวชายหนุ่มเอง การกลับไปสู่ห้วงชีวิตแบบเดิมไม่ได้นี้ยังถูกย้ำเตือนเมื่อเขาดั้นด้นไปหาลูถึงฝรั่งเศส ที่บ้านของพ่อผู้ร่ำรวยของเธอที่เคยผลักไสจนทำให้เธอต้องระหกระเหินและได้รับการกอบกู้ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่กับรูเบนตลอดสี่ปี  กับทุกอย่างรอบตัวที่เขาไม่อาจแฝงฝังตัวเองลงไปอยู่ด้วยได้เลยไม่ว่าจะพิจารณาในแง่มุมใด เขาเป็นอดีตเด็กบ้านแตกที่ใช้ชีวิตเร่ร่อนและแนบชิดกับเพลงเมทัลซึ่งด้านหนึ่งก็ใช้เพื่อป่าวร้องตะโกนความกราดเกรี้ยวของชีวิต ได้แต่จ้องมองคนรักที่คืนดีกับพ่อและใช้ชีวิตในฐานะลูกสาวของคนมีอันจะกิน ร้องเพลงและพูดภาษาฝรั่งเศสที่เขาได้ยินไม่ชัด ฟังไม่เข้าใจ และอ่านปากเพื่อจับใจความไม่ได้ มันจึงเป็นฉากที่ชวนใจสลายที่ทำให้รูเบนยอมรับได้สักทีว่าชีวิตเขาไม่มีทางกลับไปเช่นเดิมอีกแล้ว นำมาสู่องก์สุดท้ายที่แม้จะเจ็บปวดทว่าก็งดงามมากๆ นั่นคือเมื่อเขาเข้าถึงสิ่งที่โจพร่ำบอกอย่าง ‘ความเงียบ’ และ ‘ความสงบ’ ซึ่งปรากฏกายพร้อมกันในวันที่เขาแตกสลาย หากก็พร้อมจะผลิบาน ในเช้าวันนั้น

Tags: ,