1
“เฮ้ เพื่อน นายออกกำลังกายไม่ถูกต้องนะ”
ณ ห้องฟิตเนสของโรงแรมหรูกลางกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เสียงทักท้วงด้วยความเป็นมิตรจากชายหนุ่มรูปงาม กล่าวกับบุรุษอีกคนที่กำลังนอนออกกำลังกายซิตอัปอยู่
ทีแรกเมื่อบุรุษรายนี้ได้ยินเสียงเตือนเบาๆ เขาหันไปมองรอบห้อง นาทีนั้นไม่มีใครอยู่ นอกจากพวกเขา 2 คน นั่นหมายความว่าชายรูปงามกำลังคุยกับเขา
นี่คือจุดเริ่มต้นของบทสนทนาและมิตรภาพในเวลาต่อมา
ชายรูปงามถามว่า “นายเล่นสควอชหรือเปล่า”
“โชคไม่ดี ผมเล่นแต่เทนนิส”
หลังจากคุยกันสักพักทั้งสองก็ตกลงเริ่มตีสควอชกัน ความเป็นเพื่อนเกิดขึ้นตรงนั้น ชายรูปงามพามิตรใหม่ไปงานปาร์ตีที่บ้าน ได้พบกับภรรยาสาวสวย อดีตมิสยูนิเวิร์ส เขายังมอบของขวัญให้แก่เพื่อนใหม่
“เอาไปให้น้องสาวนายสิ”
“เขาดูหล่อ แข็งแรง ฉลาด ผมชอบเขา พูดว่าเราเป็นเพื่อนได้เต็มปากเลย” บุรุษพูดถึงชายรูปงาม
“เขาอาจเป็นคนที่น่ารักสุดในโลก แต่ผมไม่เคยลืมภารกิจที่ได้รับมอบหมาย”
นี่ไม่ใช่การก่อเกิดความสัมพันธ์แบบมิตรภาพ แต่เป็นแผนในการเข้าหา ที่จริงหัวหน้างานของบุรุษผู้นี้ เน้นย้ำมาว่า อย่าแม้แต่จะไปคุยกับเป้าหมายเด็ดขาด
แต่เขาก็ละเมิดคำสั่ง เป็นเพื่อนกับชายรูปงาม ผลที่ได้ก็คือ รู้ข้อมูลและรายละเอียดส่วนตัวอีกฝ่าย ทราบแม้กระทั่งการเดินทางจากที่พักไปโรงแรม เพื่อออกกำลังกายหรือไปทำงาน ทุกอย่างถูกส่งไปตามระบบให้องค์กรสายลับอิสราเอลหรือมอสสาด (Mossad) ประเมินทุกอย่าง
พอถึงเดือนตุลาคม 1978 คำสั่งจากผู้บังคับบัญชาก็ส่งตรงมายังเขา
“แผนลอบสังหารอนุมัติแล้ว”
เริ่มปฏิบัติดับชายรูปงาม สมญานาม เจ้าชายแดง หรือชื่อจริงว่า อาลี ฮัสซัน ซาลาเมห์ (Ali Hassan Salameh)
2
หากดูภายนอก เราจะไม่เชื่อว่า ซาลาเมห์คือผู้ก่อการร้าย แต่เขาเป็นจริงๆ ชายคนนี้เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการวางแผนให้กับกลุ่มกันยายนทมิฬ (Black September) ที่บุกเข้าในหมู่บ้านนักกีฬา เพื่อจับตัวประกันนักกีฬาอิสราเอลในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก 1972 ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี นับเป็นครั้งแรกที่โลกได้รู้จักองค์กรก่อการร้าย มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ ทุกอย่างจบลงด้วยโศกนาฏกรรม เมื่อนักกีฬาอิสราเอลทั้ง 11 รายเสียชีวิตทั้งหมด
หลังโศกนาฏกรรม มอสสาดไม่รอช้า เปิดปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธ (Wrath of God) ไล่สังหารผู้อยู่เบื้องหลังองค์กรนี้ทั้งหมด พวกเขาเชือดฆ่าทีละราย โดยมีซาลาเมห์เป็นเป้าหมายสำคัญ
กระนั้นการฆ่าเขาไม่ใช่ง่าย อิสราเอลใช้เวลาถึง 5 ครั้งในการลงมือ แต่ผลออกมาล้มเหลว นั่นก็เพราะชายรูปงามอาศัยในกรุงเบรุต ห้อมล้อมด้วยบอดี้การ์ด แถมยังมีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง เพราะเขามีส่วนร่วมในการป้องกันดูแลเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกา ในเลบานอน ไม่ให้ถูกฆ่าถูกสังหาร เจ้าตัวจึงเป็นข้อมูลสำคัญของซีไอเอ อีกทั้งยังเป็นหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการทหารขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์อีกด้วย
ที่สำคัญในปี 1973 มอสสาดดันไปสังหารเด็กเสิร์ฟร้านอาหารในนอร์เวย์ เพราะเข้าใจผิดว่าคือซาลาเมห์ สร้างความขายหน้า จนต้องพักปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธไว้ชั่วคราว
กระนั้นเมื่อรู้ว่า จริงๆ แล้วซาลาเมห์อยู่ในเลบานอนมาโดยตลอด มอสสาดจึงส่งทีมสอดแนมไปตรวจตรา ให้แน่ใจว่าใช่จริงๆ ไม่พลาดเหมือนครั้งก่อนอีก
สายลับที่ส่งไปยอมรับว่า การไล่ล่าชายคนนี้ยากลำบากมาก แถมงานก็โดดเดี่ยว เสี่ยงตาย หากพลาดเพียงนิดชีวิตคงหาไม่ และหากอยากให้ใครเชื่อ เขาต้องทำตัวเองให้เชื่อก่อนว่า เป็นฝ่ายเดียวกับศัตรู การไปออกกำลังที่โรงแรมหรูกลางกรุงเบรุตนานกว่า 6 เดือน ค่อยๆ ทำให้ซาลาเมห์เชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู แค่คนทั่วไปที่น่าคบหา
และนั่นนำไปสู่การส่งถ่ายข้อมูลจากสายลับสู่ทีมมอสสาด มันได้รับการยืนยัน ซาลาเมห์อยู่ที่นั่นจริงๆ
“นายรู้ได้ไง”
“เขากลายเป็นเพื่อนของผมไงละ”
3
ซาลาเมห์เป็นลูกของวีรบุรุษของปาเลสไตน์ ที่ถูกกองทัพอิสราเอลสังหารในสงครามเมื่อปี 1948 โดยทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้ เจ้าตัวจบการศึกษาจากเยอรมนี และเรียนเรื่องการทหารที่อียิปต์กับสหภาพโซเวียต
ชายคนนี้หล่อเหลา ชอบใส่เสื้อปลดกระดุม โชว์แผงขนหน้าอก หุ่นดี เพราะชอบชกมวย ดูแลตัวเอง เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ที่สาวๆ ติดจนได้รับฉายาว่า เจ้าชายแดง (The Red Prince)
คำว่าเจ้าชายมาจากชีวิตสุดรุ่มรวย ส่วนคำว่าแดงนั้นมาจากอุดมการณ์ที่เป็นนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ต้องการให้ปาเลสไตน์มีดินแดนของตัวเอง และขับไล่อิสราเอลออกจากตะวันออกกลาง
แม้มอสสาดอยากฆ่าเขาแค่ไหนก็ตาม แต่บุญคุณที่ช่วยดูแลเจ้าหน้าที่อเมริกา ทำให้ซีไอเอคอยปกป้องดูแล โดยมีเงื่อนไขว่า องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์จะต้องและห้ามสังหารพลเรือนอเมริกันโดยเด็ดขาด แลกกับเงินและการสนับสนุนทางการเมือง อีกทั้งเจ้าชายแดงยังเป็นตัวเชื่อมทางข่าวกรองระหว่างสหรัฐฯ กับปาเลสไตน์อีกด้วย
ฐานันดรศักดิ์นี้ทำให้เขายากจะแตะต้องได้ กระนั้นอิสราเอลถือว่าเจ้าตัวต้องรับผิดชอบในโศกนาฏกรรมโอลิมปิกที่เยอรมนี จึงเพียรพยายามตามหาไล่ล่า จนพบตัว ได้ข้อมูล แผนฆ่าจึงเริ่มขึ้น
สายลับที่เป็นเพื่อนกับซาลาเมห์พบว่า แม้ทีมบอดีการ์ดของเจ้าชายแดงจะเปลี่ยนเส้นทางทุกวัน เพื่อไม่ให้ศัตรูจับทางได้ แต่ถึงที่สุดแล้วถนนในเลบานอนไม่ได้มีทางเลือกมากนัก
มอสสาดรู้ว่า เป้าหมายจะออกจากบ้านเวลาใด และจะต้องใช้ถนนเลนเดียวขับไป 300 เมตร จนถึงทางแยก บังคับเลี้ยวขวา ซึ่งตรงนั้นจะมีจุดที่ให้รถจอด
“ถ้าเราเอารถไปจอดตรงนั้น มันจะเป็นคาร์บอมบ์ปลิดชีพเขาได้”
อิสราเอลสั่งเฟอร์นิเจอร์จากต่างแดน และติดระเบิดก่อนให้สายลับที่เป็นเพื่อนกับซาลาเมห์ ขับรถนำมันออกจากจอร์แดน มุ่งหน้าไปยังซีเรียก่อน แล้วจากซีเรียถึงค่อยพาข้ามายังเลบานอน ทีแรกเจ้าหน้าที่ตรงด่านก็สงสัยเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าว แต่ไม่ได้ตรวจค้น แค่ยกมือให้ผ่านไป
เมื่อเฟอร์นิเจอร์ที่มีระเบิดน้ำหนัก 100 กิโลกรัมอยู่ภายใน เข้ามาถึงกรุงเบรุตแล้ว เจ้าหน้าที่มอสสาดอีกรายได้ไปลักรถโฟล์กสวาเก้นสีแดง ก่อนจะประกอบระเบิดแล้วเอาไปไว้ที่จุดจอดรถ ซึ่งขบวนรถของซาลาเมห์จะต้องขับผ่าน
โดยผู้ได้รับมอบหายที่จะกดให้ระเบิดทำงาน หาใช่ชายหนุ่มกำยำไม่ แต่กลับเป็นเพียงหญิงสาวร่างอรชร ใบหน้างดงาม นามว่า เอริกา แชมเบอร์ส (Erika Chambers)
4
เอริกาเกิดที่อังกฤษในครอบครัวเชื้อสายยิว พ่อเป็นวิศวกรออกแบบรถแข่ง เมื่อเรียนจบได้ย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย ก่อนเดินทางไปอิสราเอล เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ซึ่งครอบครัวของหญิงสาวส่วนใหญ่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็ถูกตาต้องใจมอสสาด จนได้รับการดึงเข้ามาทำงานข่าวกรองทันที
ก่อนวันลอบสังหาร เธอเพิ่งถูกมอสสาดคัดเลือกให้มาเป็นสายลับได้เพียง 2-3 ปีเท่านั้น การส่งเธอเข้าไปในเลบานอนนั้น ไม่มีการใช้นามแฝงหรือทำหนังสือเดินทางปลอมเหมือนสายลับคนอื่น แต่เป็นชื่อสกุลจริง
เพราะอิสราเอลเห็นควรว่า การที่เธอมีหนังสือเดินทางอังกฤษเป็นตัวเธอเองนี่แหละ น่าจะเหมาะสำหรับงานนี้ เนื่องจากไม่มีคนกล้าสงสัยว่า หญิงสาวผิวบลอนด์จะเป็นสายลับหรือเพชฌฆาตได้ โดยเอริกาได้แทรกซึมเป็นเจ้าหน้าที่การกุศลช่วยเหลือเด็กเลบานอนในค่ายผู้ลี้ภัย
ที่สำคัญการที่เธอถือหนังสือเดินทางอังกฤษนั้น หากในกรณีเลวร้าย การลอบสังหารล้มเหลว เอริกาก็สามารถลี้ภัยไปยังสถานทูตได้ด้วย
หญิงสาวเช่าหอพัก ไม่ไกลจากจุดลอบสังหาร สามารถสังเกตเห็นขบวนรถซาลาเมห์แล่นผ่าน และนี่จะเป็นผลงานครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต
“เธอไม่เคยฆ่าใครมาก่อน” สายลับที่เกี่ยวข้องในปฏิบัติการนี้บอกกับสื่อหลังผ่านเหตุนี้มาหลายปี
“ที่สำคัญเราได้ถามว่า รู้ไหมเอริกา หลังจากผ่านเรื่องนี้ไป เธอจะต้องตัดขาดจากครอบครัว นามสกุล เพื่อนฝูงทุกอย่าง เพราะไม่นานศัตรูจะรู้ว่าเธอเป็นใคร ที่สำคัญเมื่องานมันสำเร็จ เธอจะกลับไปอังกฤษไม่ได้ตลอดชีวิต”
“เธอตอบว่าไง” นักข่าวถามอดีตสายลับ
“เอริกาบอกว่า ตกลงตามนั้น ทุกอย่างคุ้มค่า ฉันพร้อมจะลงมือแล้ว”
5
22 มกราคม 1979 อากาศในเบรุตค่อนข้างเย็น เอริกาลงจากหอเพื่อให้อาหารแมวจรจัดที่ริมถนน อันเป็นกิจวัตรที่เจ้าตัวทำอยู่เป็นประจำทุกวัน คนแถวนั้นเห็นเจ้าหน้าที่การกุศลผู้น่ารัก อัธยาศัยดี พอกล่าวทักทาย อีกฝ่ายก็ตอบกลับ ไม่มีใครสงสัยหรือรู้เลยว่าฉากหลังเจ้าตัวคือใคร
เมื่อให้อาหารแมวเสร็จ หญิงสาวจะไปนั่งที่ระเบียง วางขาตั้ง แล้ววาดภาพ อันเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่วันนี้มันแตกต่างออกไป เธอจ้องมองไปยังรถโฟล์กสวาเก้นสีแดงที่จอดทิ้งไว้ มืออีกข้างที่ไม่ได้จับพู่กัน ถือปุ่มกดระเบิด
สายลับมอสสาดที่เฝ้าสังเกตการณ์ตรงจุดลอบสังหาร ส่งสัญญาณ ขบวนรถซาลาเมห์จะถึงบริเวณดังกล่าว ตอนประมาณ 15.30 น.
เอริกาพร้อมแล้ว เธอคือสายลับมอสสาด การใช้นิ้วกดลงบนปุ่ม ก็เหมือนเหนี่ยวไกปืนสังหาร ความแค้นที่เจ้าชายแดงทำกับคนยิวก็จะสิ้นสุดลง พี่น้องอิสราเอลที่ถูกสังหารในโอลิมปิกที่เยอรมนีจะได้รับความเป็นธรรมด้วยอาญาทมิฬนี้
เธอเห็นแล้ว รถเชฟโรเลตของซาลาเมห์ขับผ่าน เสี้ยววินาทีนั้นมาถึง ไม่มีการลังเลหรือชักช้า
นิ้วของเอริกากดลงที่ปุ่ม
ระเบิดน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ทำงานอย่างเที่ยงตรง สมบูรณ์
เสียงกัมปนาทรุนแรง แรงบึ้มทำให้โฟล์กสวาเก้นแหลกเละ และทำให้รถของเจ้าชายแดง กระเด็นขึ้นไปบนฟ้า ไม่มีทางที่คนในนั้นจะรอดได้เลย
ภารกิจสำเร็จ
6
ในรถของเจ้าชายแดงมีบอดีการ์ด 4 ราย พวกเขาตายคาจุดเกิดเหตุ ส่วนซาลาเมห์บาดเจ็บสาหัส ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดีแรงระเบิดได้สังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่จากความแค้นอะไรด้วยเลย มีราษฎรบาดเจ็บ 16 ราย และเสียชีวิต 4 รายด้วยกัน
พยานในหอพักจะเล่าในเวลาต่อมาว่า แชมเบอร์สหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เธอเก็บข้าวของในห้อง เหมือนไม่เคยพักอาศัยอยู่ที่นี่
2 วันหลังโศกนาฏกรรมมีการจัดพิธีศพให้กับเจ้าชายแดง มีผู้เข้าร่วมนับหมื่น ลูกชายคนโตของซาลาเมห์นั่งตักอยู่กับ ยัสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat) ผู้นำองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้าเจ็บปวด
ตอนรู้ข่าวการลอบสังหาร อาราฟัตถึงพูดออกมาว่า “เราสูญเสียสิงห์ไปแล้ว และคนที่ทำเรื่องนี้จะต้องรับผิดชอบ”
กระนั้นไม่เคยมีใครถูกจับกุม ไม่มีใครโดนดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน
หลังเกิดเหตุ แชมเบอร์ส มือสังหารได้รับการยกย่องที่อิสราเอลว่า เป็นวีรสตรี ได้รับเหรียญกล้าหาญชั้นสูงสุดจากการฆ่าคน แลกกับการต้องปิดบังตัวตนและไม่อาจเดินทางออกนอกประเทศได้ เธอต้องอยู่ในอิสราเอล เปลี่ยนชื่อและแหล่งกบดาน เพื่อป้องกันการล้างแค้นจากศัตรู ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในตอนนี้
ที่ผ่านมามีสื่อพยายามขุดคุ้ย แต่ไม่มีใครได้คุยกับเธอ หรือสัมภาษณ์หญิงสาวแม้แต่รายเดียว
จะมีก็เพียงสายลับที่เคยเป็นเพื่อนกับซาลาเมห์เล่าว่า แชมเบอร์สถูกหลอกหลอนจากความเสียใจที่พบว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่งแค่เดินผ่านมายังจุดเกิดเหตุและโดนลูกหลงจากระเบิด เสียชีวิตไปด้วย
โดยเขาสรุปปฏิบัติการครั้งนั้นผ่านคำสัมภาษณ์กับสื่อว่า
“มันคงจะโง่เกินไป ที่จะบอกว่าพวกเราอยากจะปัดความรับผิดชอบในเรื่องนี้ แต่ก็ดังที่พวกอเมริกันชอบโม้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น มันคือ ลูกหลง มีคนบริสุทธิ์ถูกฆ่า บางทีเราก็คิดถึงมันเหมือนกันนะเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ เช่นเดียวกับมิตรภาพระหว่างผมกับซาลาเมห์
“แต่นี่คือสงคราม และสงครามก็คือสงคราม”
ความตายของซาลาเมห์ ถือเป็นจุดจบของปฏิบัติการพระเจ้าพิโรธ ทุกอย่างประสบความสำเร็จในแง่มุมของอิสราเอล แต่สำหรับโลกใบนี้มันเป็นความเจ็บปวด มีผู้ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตในกรณีนี้มากเกินไป
และที่สำคัญความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับ ไม่เคยจบสิ้นเหมือนปฏิบัติการดังกล่าว มันยังคงขัดแย้งอย่างรุนแรงและรุนแรงขึ้น
จนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.ynetnews.com/articles/0,7340,L-5064777,00.html
https://nypost.com/2019/06/08/how-a-cia-agent-and-the-red-prince-terrorist-became-dangerously-close/
https://www.theguardian.com/world/2010/feb/19/mossad-israel-olympics
Tags: อิสราเอล, Haunted History, ลอบสังหาร, กันยายนทมิฬ, มอสสาด, เจ้าชายแดง, The Red Prince