หลายคนรู้จัก FOMO หรือ Fear of Missing Out เป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เพราะมันกำลังได้รับความนิยมในหมวดหมู่บทความเชิงจิตวิทยาสังคม แต่เพราะมัน ‘ตรง’ กับชีวิตจริงของใครหลายคนมนุษย์เราเกลียดกลัวการถูกทำให้ ‘ตกรุ่น’ ไม่ต่างจากหุ่นกระป๋องในนิยายไซไฟ
นี่จึงเป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่เลือกวิ่งตามทุกเทรนด์ เกาะทุกกระแส แคร์ในทุกเรื่อง เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสังคม ซึ่งผลที่ตามมาคือแรงกดดันมหาศาลในการใช้ชีวิต
จากข้อมูลสำนักงานสถิติแห่งชาติ ไตรมาส 3 ปี 2567 ระบุว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดียในกลุ่ม Gen Z กว่า 58% รู้สึกว่าโซเชียลฯ สร้างแรงกดดันและเกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่น นำมาสู่ปัญหาด้านจิตใจและความเครียด สะท้อนให้เห็นว่าผลเสียของพฤติกรรมที่เกิดจากความพยายามในการวิ่งตามเทรนด์ไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงจากค่านิยมของสังคมบนโลกออนไลน์ที่ทั้งรวดเร็ว ฉาบฉวย และไม่ยั่งยืน
ขณะที่บางคนรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ไม่มี iPhone รุ่นล่าสุด ไม่ได้ไปเที่ยวสวนสนุกในต่างประเทศ หรืออิจฉาที่บางคนได้รวมตัวกับกลุ่มเพื่อนในงานปาร์ตี้ คนอีกกลุ่มหนึ่งกำลังรู้สึกโล่งอกที่ไม่ถูกเชิญไปงานเลี้ยงรุ่น มีความสุขทุกครั้งที่ได้เก็บตัวอยู่ในบ้านเงียบๆ และไม่สนว่าใครจะใช้โทรศัพท์รุ่นอะไร ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้เรียกว่า JOMO (Joy of Missing Out) ขั้วตรงข้ามกับ FOMO ที่มองว่าการ ‘พลาดโอกาส’ และไม่วิ่งตามใครคือความสุขอย่างหนึ่ง
ดร.ซูซาน อัลเบอร์ส โบว์ลิง (Susan Albers-Bowling) นักจิตวิทยาจาก Cleveland Clinic ให้คำอธิบายเพิ่มเติมว่า JOMO คือแนวคิดที่โอบรับการค้นพบความสุขและความพึงพอใจในตนเอง รวมถึงการเลือกที่จะไม่ตามกระแส และให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเป็นอันดับแรก แทนที่จะทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับกิจกรรมที่ทำตามคนอื่น และไม่มีความหมายในเชิงลึกต่อตัวเอง นอกจากนี้พฤติกรรมแบบ JOMO ยังเป็นลักษณะที่เชื่อมโยงกับบุคลิกภาพบางประเภท เช่น อินโทรเวิร์ต (Introvert) ที่มีนิสัยชอบเก็บตัวและไม่ชอบการเข้าร่วมหรือเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม
JOMO อาจเป็นนิสัยติดตัวของใครบางคน ทว่าแนวคิดในการดำเนินชีวิตในลักษณะนี้ถือเป็นสิ่งที่สามารถเยียวยาผลกระทบจากการใช้ชีวิตบนพื้นฐานความคิดแบบ FOMO ได้เป็นอย่างดี เนื่องจาก JOMO เป็นแนวคิดในการใช้ชีวิตที่ไม่ยึดโยงกับกระแสนิยมฉาบฉวยและโฟกัสกับสิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ ทำให้ไม่ถูกกระตุ้นจากความกลัวการตกกระแส ช่วยให้ตระหนักถึงคุณค่าภายใน ดำรงอยู่กับปัจจุบันขณะ และลดการเปรียบเทียบตนเองกับภาพชีวิตที่สมบูรณ์แบบบนโซเชียลฯ ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกไม่พอใจและความกดดันในชีวิต
ถึงแม้ผู้คนร้อยละ 44 จะไม่สามารถเลิกใช้โซเชียลฯ ได้ ทว่าในปัจจุบันเทรนด์การพักจากโซเชียลฯ หรือ Social Detox ที่คล้ายกับ JOMO กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากการรับรู้ถึงผลกระทบทางลบต่อสุขภาพจิตได้รับการพูดถึงในวงกว้าง สะท้อนให้ถึงพฤติกรรมการใช้โซเชียลฯ ที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เผชิญกับความรู้สึกด้านลบเมื่อใช้ชีวิตแบบยึดโยงกับโซเชียลมีเดียมากเกินไป
“Your time is limited, so don’t waste it living someone else’s life. Don’t be trapped by dogma — which is living with the results of other people’s thinking. Don’t let the noise of others’ opinions drown out your own inner voice. And most important, have the courage to follow your heart and intuition.”
(เวลาของคุณมีจำกัด ดังนั้นอย่าเสียเวลาไปใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดกับดักของหลักคำสอน ซึ่งก็คือการใช้ชีวิตตามผลลัพธ์จากความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงความคิดเห็นของคนอื่นมากลบเสียงภายในของคุณเอง และที่สำคัญที่สุด จงกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจและสัญชาตญาณของคุณเอง) ส่วนหนึ่งจากสุนทรพจน์ของ สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ในพิธีสำเร็จการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Standford University ในปี 2005
ข้อดีของการพลาดบางอย่างไปคือ การที่เราได้เป็นตัวเองในแบบที่เราเลือกที่จะเป็น ไม่ต้องโหยหา ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่คนอื่นมี ใช้เวลาอยู่กับตัวเองให้มากที่สุด โฟกัสกับช่วงเวลาและความสัมพันธ์ที่คุ้มค่า เพราะบางทีสิ่งที่พลาดไปในวันนี้ อาจสร้างสิ่งที่ดีกว่าในวันข้างหน้า
“Something you’re missing made you who you are.”
ที่มา:
– https://www.psychologytoday.com/us/blog/happiness-is-state-mind/201807/jomo-the-joy-missing-out
– https://health.clevelandclinic.org/jomo-the-joy-of-missing-out
– https://www.nesdc.go.th/wordpress/wp-content/uploads/2025/04/article_20250313110807.pdf
Tags: Psychology, social media, Knowledge, Wisdom, Human Behavior, Social Detox



