ไม่มีใครดีเลิศหรือมีชีวิตที่น่าอิจฉาไปเสียหมดทุกด้าน พวกเราล้วนแหว่งวิ่น ขาดหาย ไม่สมบูรณ์พร้อม และไม่เคยดีพอตามบรรทัดฐานที่สังคมในแต่ละยุคตั้งไว้ โดยเฉพาะในโลกโซเชียลมีเดียที่ทุกอย่างมาไวไปไว การวิ่งตามเทรนด์หรือพยายามทำตัวให้โดดเด่นบนอินเทอร์เน็ต จึงไม่ต่างจากม้าแข่งที่ต้องวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่มีเส้นชัยเป็นของตัวเอง
ความพยายามในการสร้างตัวตนบนสังคมออนไลน์ค่อนข้างจริงจัง และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ สังเกตจากการ ‘ซื้อขายไลฟ์สไตล์’ ผ่านกลุ่มรับเช่าชุดและกระเป๋าแบรนด์เนม หรือแม้กระทั่งกลุ่มรับซื้อขายภาพหน้าจอหรือภาพถ่ายติดโทรศัพท์ยี่ห้อดัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ตนเองดูดี แม้ชีวิตจริงจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น
ในงานวิจัยเชิงสังคมเรียกพฤติกรรมลักษณะนี้ว่า Digital Mask หรือตัวตนบนโลกออนไลน์ ที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง เช่น ความเป็นส่วนตัว หรือการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งตัวตนใหม่นี้อาจจะตรงหรือไม่ตรงกับตัวตนในชีวิตจริงก็ได้ โดยแนวคิดนี้เปรียบเสมือนการสวมหน้ากากในโลกดิจิทัล ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่การปกปิดใบหน้า แต่รวมถึงการจัดการข้อมูลทุกอย่างที่แสดงออกไป เพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นเราในแบบที่เราต้องการให้เป็น
ถึงแม้การสร้างภาพบนโซเชียลฯ จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตแทบทุกด้าน แต่การสวมบทบาทเป็นคนอื่นจนเคยชิน อาจทำให้เราหลงลืมตัวตนในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะการสวมใส่ Digital Mask หรือการสร้างอัตลักษณ์ใหม่บนโลกอินเทอร์เน็ต สามารถสร้างผลกระทบต่อสุขภาพจิตของเราได้
ตามรายงานของ The Royal Society for Public Health (RSPH) ที่ศึกษาผลกระทบจากโซเชียลมีเดียต่อสุขภาพจิตและสุขภาวะที่ดีในวัยรุ่นในปี 2017 ผ่านการรวบรวมข้อมูลจากอาสาสมัครอายุ 14-24 ปี จำนวน 1,500 คน พบว่า ผู้ใช้โซเชียลฯ มีความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าเพิ่มขึ้น 70% เนื่องจากเผชิญกับการเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison) และรู้สึกว่าตัวเอง ‘ไม่ดีพอ’ หรือ ‘ตกหล่น’ (Fear of Missing Out: FOMO) อันเนื่องมาจากความพยายามวิ่งตามบรรทัดฐานหรือการถูกยอมรับบนโซเชียลฯ
อีกทั้งการพยายามนำเสนอแต่ ‘ด้านดี’ ของตนเองบนโลกโซเชียลฯ ยังสร้างความกดดันและความทุกข์ในมิติอื่นๆ โดยในรายงานระบุว่า 9 ใน 10 ของผู้หญิง รู้สึกไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาของตนเอง อันเนื่องมาจากอิทธิพลของโซเชียลฯ ที่ผู้คนนิยมโพสต์ภาพที่ดูดีเกินจริงของตนเอง สอดคล้องกับงานวิจัย Social comparisons on social media: the impact of Facebook on young women’s body image concerns and mood ในปี 2015 ที่พบว่า ผู้หญิงมีแนวโน้มอยากปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองมากขึ้นหลังจากเล่น Facebook
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัย Facebook use, envy, and depression among college students: Is Facebooking depressing? ในปี 2015 ที่ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของการใช้ Facebook อารมณ์ และผลกระทบด้านสุขภาพจิต พบว่า การใช้โซเชียลฯ ไม่ได้ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าโดยตรง แต่การตอบสนองทางความรู้สึกเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏบนโซเชียลฯ จนทำให้เกิดความ ‘อิจฉา’ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดความทุกข์ ความกดดัน และนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า เนื่องจากรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเปรียบเทียบตลอดเวลา ซึ่งความอิจฉาริษยาที่เกิดขึ้นก็มาจากความอยากมี อยากได้ อยากเป็นเหมือนคนอื่น โดยหลงลืมว่าแท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงอัตลักษณ์ที่บุคคลนั้นๆ พยายามนำเสนอออกมา และแน่นอนว่าในชีวิตจริงพวกเขาอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้
ถึงแม้โซเชียลฯ จะปลดล็อกตัวตนด้านใหม่ๆ ของเรา เช่น ทำให้กล้าแสดงออกมากขึ้น รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น ทว่าผลเสียจากการพยายามใช้ชีวิตเพื่อได้รับการยอมรับจากผู้อื่นในโซเชียลฯ ไม่ได้ส่งผลในด้านจิตใจเท่านั้น แต่อาจส่งผลกระทบไปถึงความสัมพันธ์ การงาน การเงิน หรือเรื่องอื่นๆ ที่ยึดโยงกับชีวิตจริงมากกว่าชีวิตในอินเทอร์เน็ต
ดังนั้นพยายามมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองมี ฝันให้ง่ายขึ้น ทะเยอทะยานให้น้อยลง อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร และพยายามมองชีวิตในด้านบวกเสมอ
ที่มา:
– https://www.rsph.org.uk/our-work/publications/statusofmind/
– https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/25615425/
Tags: Knowledge, Wisdom, anxiety, Body Image, Envy, social media, depression, statistics