ณ ร้านอาหารสุดหรูแห่งหนึ่ง นาย A และภรรยากำลังออกเดตอันสุดโรแมนติก

ระหว่างที่กำลังรับประทานอาหารจากเชฟเทเบิลดัง แม่ของนาย A โทรมาหาลูกชาย

“แม่เหงามากๆ มาอยู่เป็นเพื่อนแม่หน่อย” เสียงโทรศัพท์จากปลายสายระบุ 

“ผมไม่ว่างครับแม่ ผมทานข้าวกับภรรยาอยู่” นาย A ตอบกลับไป

“แต่แม่คิดถึงใจจะขาดรู้ไหม แม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต ทุ่มเททุกอย่างให้กับลูก ไม่มีใครจะรักลูกเท่ากับแม่รักลูก ลูกไม่รักแม่แล้วเหรอ” 

เมื่อได้ยินดังนั้น นาย A จึงตัดสินใจทิ้งภรรยาไว้ที่ร้านอาหารคนเดียวและขับรถไปหาแม่ทันที 

นี่เป็นเหตุการณ์ที่จิตแพทย์​ เคนเน็ธ อดัมส์​ (Dr. Kenneth Adams) เคยได้ยินมาจากคนไข้หลายท่าน จนตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความรักและความผูกพันของพ่อแม่ มันมากเกินไปจนกลายเป็นสิ่งที่ร้ายแรงต่อลูก เขาสังเกตว่า พ่อแม่บางคนอาจรู้สึกโศกเศร้าเมื่อลู​กไม่อยู่ด้วย ไม่ยอมรับที่ลูกมีแฟน หรือตามติดลูกไปทุกหนแห่ง (แม้ว่าลูกโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว) แท้จริงแล้ว พฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช้ความสัมพันธ์​ที่ดีหรือแม้แต่ปกติ มันคือภาวะ ‘Emotional Incest’ หรือพ่อแม่รักลูกแบบล้ำเส้นต่างหาก 

คำว่า Emotional Incest มีต้นกำเนิดจากอดัมส์​ หลังจากการทำวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัว แม้คำว่า ‘Incest’ จะหมายถึงการร่วมประเวณีในครอบครัว แต่ Emotional Incest หมายถึงการไม่มีขอบเขตทางอารมณ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก โดยที่พ่อหรือแม่ใช้ลูกเพื่อเติมเต็มความต้องการทางอารมณ์ของตัวเองจนมองลูกเป็นคนรัก ซึ่งเป็นการล่วงละเมิด (Abuse) แบบหนึ่ง พ่อหรือแม่ที่มี Emotional Incest กับลูกจะพึ่งพาลูกเพื่อความสุขของตัวเองจนคลั่ง และคาดหวังว่าลูกต้องให้ความสำคัญกับเขามากที่สุด เพราะฉะนั้น เขามักกดดันและบีบบังคับลูกให้อยู่ดูแล ให้กำลังใจ และใช้เวลากับตน โดยการใช้กลยุทธ์​การชักจูงทางอารมณ์ (Emotional Manipulation)

ตัวอย่างหนึ่งของ Emotional Incest ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ‘Mommy’s Boy’ (ลูกชายของแม่) และ ‘Boy Mom’ (คุณแม่ที่มีลูกชาย) ซึ่งพูดถึงคู่คุณแม่-ลูกชาย ที่สนิทกันจนเกินไป แม้ Emotional Incest สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกชาย เพราะแม่เลี้ยงเดี่ยวมีความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางอารมณ์​ จึงคลั่งลูกชายและมองเขาเป็นเหมือนสามีที่ต้องรักใคร่และดูแลเธอตลอดไป

คุณแม่ที่เรียกตัวเองว่า Boy Mom ทั้งหลายมักจะหึงหวงลูกชายอย่างยิ่งและกีดกันไม่ให้ลูกมีเพื่อนสนิทหรือแฟน เพราะเกรงกลัวว่าคนอื่นอาจ ‘แย่ง’ ลูกชายไป เช่นคุณแม่ Boy Mom คนหนึ่งที่โพสต์​ลงโซเชียลว่า “ฉันเป็น Boy Mom ผู้ชอบจ้องมองลูกชายและรู้สึกดีใจที่สุดว่า ผู้ชายหล่อเหลาผู้นี้เป็นของฉันคนเดียว แม้วันหนึ่งเขาอาจตกหลุมรักกับผู้หญิงคนอื่น เขาจะไม่มีวันรักยัยคนนั้นมากเท่าที่เขารักแม่” ซึ่งบุคคลที่มีภาวะ Emotional Incest อาจใช้วิธีขู่และใส่ร้ายแฟนลูก ไม่ยอมให้ลูกใช้เวลากับแฟน หรือแม้แต่ห้ามไม่ให้มีแฟนทั้งสิ้น เพราะต้องการเป็นหนึ่งเดียวในใจลูกไปตลอด 

นอกจากนี้ พ่อหรือแม่อาจแสดง Emotional Incest ในรูปแบบอื่น เช่น ปรึกษาลูกเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์​ คาดหวังว่าลูกจะแสดงความรักให้ (ด้วยการโอบกอด หอม จูงมือ พาไปเดต) หรือต้องการให้ลูกอยู่กับเขาตลอดเวลา​ และมักใช้กลยุทธ์​ Guilt Tripping หรือการทำให้ลูกรู้สึกผิดจนต้องยอมทำตาม ยกตัวอย่างเช่น โพสต์​ประกาศว่า “เหงามากๆ” เมื่อลูกไปเที่ยวกับเพื่อน หรือตีหน้าเศร้า ร้องไห้ และโวยวายว่า “ลูกไม่รักแลัว” “ลูกเป็นเด็กไม่ดี เป็นเด็กอกตัญญู ทั้งๆ ที่พ่อ/ แม่รักลูกมากขนาดนี้” ทุกครั้งที่ลูกทำสิ่งที่พ่อหรือแม่ไม่ชอบใจ

เมื่อปล่อยให้ความรักของพ่อแม่เลยเถิดกลายเป็นความคลั่งมาเป็นเวลานาน อาจมีผลกระทบอันร้ายแรงต่อลูก อดัมส์ได้พบว่า ลูกของพ่อแม่ที่มี Emotional Incest อาจมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์​ กับคนในครอบครัว​โดยรู้สึกเกรงกลัว ไม่ไว้วางใจพ่อแม่ และไม่กล้าที่จะมีตัวตนหรือใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นอกเหนือจากนี้ ลูกอาจมีปัญหาในชีวิตรักของตัวเอง บางคนอาจถูกพ่อแม่ห้ามไม่ให้มีแฟนไปตลอดจนโตเป็นผู้ใหญ่ บางคนอาจรู้สึกผิดเกินไปที่จะมีแฟน และบางคนอาจไม่สามารถมีความผูกพันกับแฟนได้ เพราะยังรู้สึกผูกพันกับพ่อหรือแม่มากกว่า 

ท้ายที่สุด ลูกที่โตมากับ Emotional Incest จะถูกพึ่งพา บีบบังคับ และ Guilt Trip จนต้องรู้สึก อึดอัด หายใจไม่ออก และเกรงใจพ่อหรือแม่จนต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง จนไม่มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ เปรียบเสมือนเด็กที่ต้องเชื่อฟังพ่อแม่ตลอดไป 

หรือจริงๆ แล้ว เราอาจจะต้องประเมินความหมายของ ‘ลูกที่ดี’ ‘ลูกรักของพ่อแม่’ และ ‘ลูกกตัญญู’ ใหม่?

ถึงที่สุดแล้ว ความรักที่ข้ามเส้นขนาดนี้อาจไม่ใช่ความรักที่แท้จริง แต่เป็นความเห็นแก่ตัวและเป็นการยืนยันความเป็นเจ้าของของลูก Emotional Incest จะค่อยๆ กัดกร่อนความสุขของลูกจนเขาเติบโตเป็นคนที่ไม่มีตัวตน ไม่มีชีวิตของตัวเอง ไม่มีอิสระ และไม่มีความกล้าพอที่จะขัดความต้องการของพ่อหรือแม่ และอาจตัดสินใจ โกหก ปิดบัง หรือตัดขาดจากครอบครัว 

ทั้งๆ ที่การมีความรักไม่ผิด การมีชีวิตของตัวเองก็ไม่ผิด แต่แท้จริงแล้ว ‘ลูกรักของพ่อแม่’ อาจเป็นเพียงลูกที่ถูกบงการทางความคิดหรืออารมณ์แบบที่ลูกก็ไม่รู้ตัว ความผูกพันอันหนาแน่นในครอบครัว อาจเป็​นเพียงลูกที่ถูกพ่อแม่ผูกมัดและรั้งไว้ด้วยคำว่า ‘ลูกที่ดี’ เท่านั้น

Tags: , , , ,