ชื่อหนังสือ White Trash หรือ ‘ขยะขาว’ ฟังดูเป็นชื่อที่แรง เพราะคำนี้เอาไว้ใช้ ‘ด่า’ พวกคนผิวขาวที่อยู่ในสถานภาพทางสังคมแย่ๆ หรือพูดแบบไม่พีซีใดๆ ได้ว่าเป็นพวก ‘ผิวขาวชั้นต่ำ’ แบบเดียวกับคำว่า Douchebag ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้กับ ‘ผู้ชาย’ ผิวขาวมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ

เมื่อเกิดเหตุการณ์กับจอร์จ ฟลอยด์ ไล่เลยมาถึง Black Lives Matter ขึ้น หลายคนมองว่านี่คือเรื่อง Racist หรือเป็นการเหยียดเชื้อชาติ แต่ถ้าจะมองย้อนกลับไปให้ลึกจริงๆ แล้ว เรื่องทั้งหมดนี้อาจมีรากร่วมกับกำเนิดของหนังสือ White Trash เล่มนี้ก็ได้

White Trash มีชื่อเต็มๆ ว่า White Trash: The 400-Year Untold History of Class in America หรือ ‘ประวัติศาสตร์ชนชั้นในอเมริกายาวนาน 400 ปี ที่ไม่มีใครเล่า’ เขียนโดย แนนซี ไอเซนเบิร์ก (Nancy Isenberg)

ไอเซนเบิร์กเป็นใคร ถึงได้หาญกล้ามาพูดถึงประวัติศาสตร์ยาวนานหลายร้อยปีแบบนี้ได้ 

จริงๆ แล้วเธอเป็นนักประวัติศาสตร์ เธอสอนและทำวิจัยด้านประวัติศาสตร์อยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งรัฐหลุยเซียนา ซึ่งพูดได้ว่าเป็น ‘รัฐทางใต้’ ถ้าย้อนกลับไปดูงานของเธอ จะเห็นว่าเธอเขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาก่อนหน้านี้หลายเล่มแล้ว อย่างเช่น Fallen Founder: The Life of Aaron Burr ที่พูดถึงบิดาผู้ก่อตั้งอเมริกาอย่างแอรอน เบอร์ ที่ไม่มีใครมักพูดถึงกัน หรือ Sex and Citizenship in Antebellum America ซึ่งชื่อก็บอกชัดอยู่ว่าพูดถึงประเด็นเพศกับความเป็นพลเมืองในอเมริกาในยุคก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกา

แต่เล่ม White Trash น่าจะเป็นเล่มที่สร้างชื่อให้เธอมากที่สุด

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ในช่วงที่โดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเขาได้รับแรงสนับสนุนจาก ‘คนขาว’ ที่ถูกละเลยจำนวนมาก จะพูดว่า กลุ่มเสียงที่สนับสนุนทรัมป์ คือ White Trash ก็เห็นจะไม่ผิดนัก ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของคนอเมริกันจำนวนมาก ไม่มีใครคิดหรอกว่าทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดี ดังนั้น ทุกคนจึงต้องการหา ‘คำอธิบาย’ ว่าเพราะอะไร คะแนนเสียงจึงถั่งเทไปยังชายที่ไม่น่าเป็นไปได้อย่างทรัมป์

White Trash เกิดขึ้นมาเพื่ออธิบายเรื่องนี้ และน่าจะเป็นหนึ่งในหนังสือที่ดีที่สุดเกี่ยวกับประเด็นนี้ด้วย เพราะไอเซนเบิร์กอธิบายย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ยาวนานถึงกว่า 400 ปี ย้อนกลับไปในยุคที่คนอังกฤษเพิ่งอพยพเข้ามาอยู่ในอเมริกาหลังโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาได้ระยะหนึ่ง และเกิด ‘คลื่น’ แห่งการอพยพมายัง ‘โลกใหม่’ แห่งนี้

ตลอดมา เรามักนึกภาพอเมริกาว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพและโอกาส เวลาพูดถึงคำว่า ‘อเมริกันดรีม’ หรือฝันแบบอเมริกา เราจะนึกถึงความเท่าเทียม แน่นอน อเมริกามีการเหยียดเพศและเหยียดผิวปรากฏให้เห็นแม้ในปัจจุบัน อย่างกรณีของจอร์จ ฟลอยด์ หรือความไม่เท่าเทียมทางเพศแม้ในเรื่องพื้นฐานอย่างเช่น Gender Balance ในแง่ต่างๆ

แต่โดยทั่วไป คนมักไม่ค่อยมองว่าอเมริกาก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘ชนชั้น’ อย่างมาก และเอาเข้าจริงอาจไม่แพ้ยุโรปหรืออังกฤษ อันเป็นต้นธารกำเนิดอเมริกาด้วย

ใน White Trash ไอเซนเบิร์กพาเราย้อนกลับไปในยุคแรกเริ่ม เมื่อประเทศที่ยิ่งใหญ่อย่างอังกฤษ ขนคนมาสู่อเมริกาจำนวนมาก แต่ไม่ – ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างที่หลายคนอาจคิดกัน

ในยุคแรกเริ่มก่อนจะมีชาติอเมริกัน อังกฤษมองว่า ‘โลกใหม่’ อันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างทวีปอเมริกานั้น คือโอกาสสำคัญที่จะส่ง ‘เศษมนุษย์’ (จะเรียกว่า ‘เดนคน’ ก็เห็นจะได้) มา ‘ทิ้ง’ ยังดินแดนแห่งนี้ ไอเซนเบิร์กใช้คำว่า Waste People คือคนที่เป็น ‘ของเสีย’ ของสังคม อย่างเช่นพวกนักโทษ ลูกกำพร้า แก๊งต่างๆ อาชญากร วายร้ายป่วนเมือง และแม้กระทั่งคนยากจน คนพิการ ไอเซนเบิร์กบอกว่ามีคำเรียกคนที่เป็น ‘เศษมนุษย์’ เหล่านี้มากมาย เช่น Lubbers, Bogtrotters, Rascals, Offscourings, Squattes, Crackers, Clay-Eaters, Tackies, Scalawags หรือ Mudsills และคำอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอังกฤษเป็นสังคมที่จัดแบ่งผู้คนออกเป็นชั้นๆ มากมายแค่ไหน เพราะขนาดในหมู่ Waste People ก็ยังมีการแบ่งแยกอย่างละเอียดยิบ

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายก็เป็นพวก ‘คนขาว’ ที่เป็น ‘เศษมนุษย์’ เหล่านี้นี่เอง ที่ถูกนำมาทิ้งไว้ในโลกใหม่ 

ไอเซนเบิร์กทำให้เราเห็นว่า อเมริกานั้น แท้จริงก็มีสำนึกเรื่องชนชั้นแฝงฝังอยู่มากมาย กระทั่งในช่วงปฏิวัติอเมริกา บรรดาผู้นำที่เป็น Founding Father หลายคน ก็แบ่งแยกเรื่องนี้เอาไว้อย่างหนัก เช่น จอร์จ วอชิงตัน เคยบอกว่าคนที่จะถูกเกณฑ์มาเป็นทหารเลวหรือ foot soldiers นั้น ต้องเกณฑ์มาจาก the lower class of people หรือ ‘คนชั้นต่ำ’ เท่านั้น

ที่จริงในคำประกาศอิสรภาพ ก็มีประเด็นนี้เหมือนกัน เพราะโธมัส เจฟเฟอร์สัน เอง เดิมทีไม่ได้ใช้คำว่า citizen หรือพลเมือง แต่ใช้คำว่า subject ซึ่งหมายถึงอาณาประชาราษฎร์ อันเป็นสำนึกเดียวกับที่อังกฤษใช้แบ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินออกจากราชวงศ์

คนขาวที่เป็น ‘เศษมนุษย์’ เหล่านี้ เมื่อมาอยู่ในโลกใหม่แล้ว จำนวนหนึ่งอาจจะหักร้างถางพงทำงาน แต่ก็มีอีกมากที่ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังก่ออาชญากรรมเหมือนที่เคยเป็นด้วย ดังนั้น โธมัส เจฟเฟอร์สัน ก็เลยมีดำริที่จะ ‘นำเข้า’ เหล่าชาวเยอรมันมายังอาณานิคม โดยเขาเห็นว่า ชาวเยอรมันเหล่านี้ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนเคร่งศาสนา เช่น ชาวเมโนไนต์ ฯลฯ) จะเข้ามาเป็นเหมือน ‘น้ำดี’ ที่จะเจือจางความเน่า คนเหล่านี้จะเข้ามาเป็นชาวนา เป็นแรงงาน และช่วยสร้างชาติอเมริกาขึ้น

ไอเซนเบิร์กใช้ ‘แว่นชนชั้น’ ในการมองประวัติศาตร์อเมริกาตลอด 400 ปี ทั้งเล่ม เช่น เธอบอกว่า สงครามกลางเมืองอเมริกัน ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐฝ่ายเหนือกับรัฐฝ่ายใต้นั้น แท้จริงมีความขัดแย้งเรื่อง ‘ชนชั้น’ แฝงอยู่ด้วยอย่างมาก คนของรัฐฝ่ายเหนือจะมองว่าตัวเอง ‘เหนือ’ กว่าคนที่อยู่ในรัฐฝ่ายใต้ ไม่ว่าจะเป็นด้านฐานะทางเศรษฐกิจ การมีศีลธรรมสูงส่งกว่า หรืออื่นๆ อเมริกาจึง ‘สร้างชาติ’ ขึ้นมาบนฐานของชนชั้นตั้งแต่แรก

White Trash พาเราไปสำรวจประเด็นทางวัฒนธรรมมากมาย ผ่านทั้งเรื่องประวัติศาสตร์หนักๆ รวมไปถึงวัฒนธรรมป๊อบ อย่างเช่นซิตคอมในยุคหกศูนย์อย่าง The Beverly Hillbillies ว่ามันบอกอะไรเราบ้าง หรือในงานวรรณกรรมอย่าง To Kill a Mockingbird ของฮาร์เปอร์ ลี มีนัยอย่างไรที่แสดงให้เราเห็นว่าคนอเมริกันนั้นมีสำนึกเรื่องนี้มาตลอด และกลุ่ม ‘คนขาวที่ถูกทิ้ง’ อย่างเช่นกลุ่มที่เรียกว่า ‘เรดเน็ค’ กับแนวคิดแบบคูคลักซ์แคลนเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นต้น

ประเด็นของไอเซนเบิร์ก็คือ – อเมริกาเป็นประเทศที่ ‘เพ้อ’ ไปเองว่าเป็นประชาธิปไตยและมีความเสมอภาคเท่าเทียม แต่แท้จริงแล้วถ้ามองให้ลึกลงไป ความขัดแย้งทั้งหลายไม่ใช่แค่เรื่องเพศหรือสีผิวเท่านั้น แต่ยังมีการ ‘เหยียด’ คนขาวด้วยกันเองด้วย และนั่นแหละที่แผ้วถางทางให้คนอย่างทรัมป์ขึ้นมามีอำนาจ

การปะทุขึ้นของความขัดแย้งครั้งใหญ่ว่าด้วยสีผิว จึงเป็นโอกาสดี ที่จะหยิบหนังสือ White Trash ขึ้นมาอ่านและครุ่นคิดถึงประเทศที่เชื่อว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกประเทศนี้อีกครั้งหนึ่ง

ข้อมูลจำเพาะ

ชื่อหนังสือ :  White Trash: The 400-Year Untold History of Class in America

ผู้เขียน : Nancy Isenberg

Tags: