หมายเหตุ: บทความนี้เขียนในรูปแบบจดหมาย ทุกข้อความที่อยู่ในเครื่องหมายคำพูดเป็นข้อความที่คัดมาจากรวมเรื่องสั้น ติดอยู่ระหว่างการเดินทาง
คุณเขียนจดหมายถึงฉัน 7 ฉบับ ทุกฉบับถูกใส่รวมกันในซองเดียว ใต้ชื่อและที่อยู่ผู้ส่งมีหมายเหตุ เล็กๆ เขียนไว้ว่า ติดอยู่ระหว่างการเดินทาง ฉันเกือบอ่านข้อความนั้นไม่ออก จดหมายมาถึงในสภาพเปียกปอน ฝนบางหยดเปลี่ยนหมึกสีดำให้ไหลเยิ้ม เจือจาง ขมุกขมัวเหมือนเมฆที่อุ้มพายุเอาไว้ในครรภ์
“ถึงคุณ……. ที่นี่อากาศหนาว การได้คิดถึงคุณคือความอุ่น” ฉันนึกภาพคุณสวมเสื้อโค้ตตัวหนา และมือที่สวมถุงมือไหมพรมกำลังจับปากกาเขียนข้อความนี้ เมื่อคุณเงยหน้าขึ้นถอนหายใจ อวลไอสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปาก เหมือนกาต้มน้ำที่ผ่อนความคุคั่งเดือดพล่านภายในออกมาทางพวยกา คุณดื่มด่ำชีวิตด้วยความกระหายและหายใจรดตัวเองทุกวัน นั่นคือความอุ่นที่ฉันไม่เคยได้สัมผัส
ฉันไม่แน่ใจนักว่าคุณเขียนจดหมายถึงฉันหรือเขียนจดหมายถึงตัวเองกันแน่ การเขียนและตัวตนของคุณกลืนกลายเป็นเนื้อเดียวกันจนฉันนึกภาพไม่ออกว่าคุณจะเขียนถึงใครได้นอกจากเขียนถึงตัวเอง คุณเคยบอกรักฉัน แต่คำสารภาพในงานเขียนของคุณกลับฟ้องว่าคุณกำลังบอกรักตัวเองต่างหาก ส่วนเสี้ยวตัวตนของคุณที่กระจัดกระจายอยู่ในตัวคนอื่นจะสะท้อนก้องกลับมาหาคุณเสมอเมื่อคุณระลึกถึงใครสักคน
นี่แหละนะ ไอ้พวกนักเขียน
อย่าลืมขีดเส้นใต้ประโยคข้างบนไว้นะคะ เมื่อใครพูดถึงความเป็นนักเขียนของคุณ ไม่ว่าจะพูดด้วยความเข้าอกเข้าใจ ชื่นชม หรือสบถแกมประชดประชัน ฉันรู้ว่าคุณจะโอบรับมันไว้เสมอ คุณพร้อมจะจับมันมาขึงพืด โลมไล้ และร่วมรักกับถ้อยคำเหล่านั้นจนเกิดเป็นความหมายของคุณเอง ยิ่งถ้อยคำระคายหูมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งกระหายจะครอบครองมันราวกับได้แหวกพรหมจรรย์ของถ้อยคำนั้นออก นั่นคือวิธีที่คุณร่วมรักกับตัวเอง ถึงจุดสุดยอดและหลั่งออกมาเป็นน้ำหมึกสีดำ
นั่นคือวิธีที่คุณร่วมรักกับตัวเอง ถึงจุดสุดยอดและหลั่งออกมาเป็นน้ำหมึกสีดำ
“นี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่าอยู่ด้วยยากแค่ไหน”
ฉันจำไม่ได้ว่าเคยพูดคำนี้กับคุณกี่ครั้ง ยิ่งนานวันฉันก็ยิ่งสับสนระหว่างถ้อยคำที่คิดอยู่ในใจกับถ้อยคำที่เอ่ยออกไปจริงๆ มันเป็นเรื่องยากนะคะที่ทั้งอยากทะนุถนอมคุณและอยากทุบทำลายคุณไปพร้อมๆ กัน ความเปราะบางของคุณเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ฉันต้องคอยเรียนรู้และสังเกตเสมอว่าเมื่อไหร่ที่คุณอยากถูกโอบกอด เมื่อไหร่ที่คุณปฏิเสธโลกและอยากกักขังตัวเองไว้ภายใน
คุณเขียนไว้ว่า “คุณไม่ได้อยากตาย แค่อยากถูกโอบกอด” ฟังดูโรแมนติกดีนะคะ แต่คุณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า มีบางเวลาที่ฉันเดินเข้าไปโอบกอดคุณจากด้านหลัง แล้วคุณพยายามจะกระถดตัวหนี คุณไม่หันกลับมามองฉันด้วยซ้ำว่าฉันรู้สึกยังไง คุณเอาแต่ทะนุถนอมถ้อยคำของคุณราวกับว่าแค่เพียงปล่อยมือจากมันชั่วคราว มันจะแตกสลายลงไปเดี๋ยวนั้น ถ้อยคำที่คุณคว้าไว้ไม่ทัน อย่างน้อยก็ยังแตกสลายลงไปต่อหน้า แต่ถ้าฉันยืนอยู่ข้างหลังคุณและกำลังร่วงหล่นลงไป คุณจะคว้าฉันไว้หรือเปล่า?
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่าฉันถือโทษโกรธเคืองคุณที่หยิบเรื่องนี้มาพูด แต่เรื่องเล่าของคุณกีดกันเสียงและตัวตนของฉันออกไปเสมอ คุณอาจจะเขียนถึงฉัน แต่เป็นฉันแค่ในแบบที่คุณอยากเห็นและอยากได้ยิน จำได้หรือเปล่าตอนที่เรานั่งรถไปด้วยกัน ฉันจดจ่ออยู่กับการขับรถและการจราจรบนถนน เพื่อให้คุณได้จ่อมจมอยู่กับความคิดเกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง งานเขียนของคุณต้องมาก่อนเสมอ มันแทรกอยู่ในทุกฉากชีวิตและความสัมพันธ์ของเรา คุณกับงานเขียนของคุณเหมือนชู้รักลับๆ ที่แอบพลอดรักกันอยู่ในภวังค์ส่วนตัว
เรื่องเล่าของคุณกีดกันเสียงและตัวตนของฉันออกไปเสมอ คุณอาจจะเขียนถึงฉัน แต่เป็นฉันแค่ในแบบที่คุณอยากเห็นและอยากได้ยิน
คุณสนุกกับการทำให้ชีวิตกลายเป็นเรื่องเล่า ไม่มีอะไรเล็ดลอดไปจากพื้นที่ของการเขียน ที่ที่คุณรู้สึกว่าปลอดภัยและการได้คิดถึงสิ่งที่เขียนคือความอบอุ่น ความปลอดภัยและความอบอุ่นที่ขยายพื้นที่กินอาณาบริเวณกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนบางครั้งฉันหายใจไม่ออก คุณกับอาณาจักรการเขียนอันกว้างไกลไพศาลที่ชีวิตด้านอื่น ๆ และความสัมพันธ์ของเราถูกผนวกให้ตกอยู่ใต้อาณานิคมของมัน ฉันกลายเป็นผู้ไร้เสียง ฉันกลายเป็น subaltern โอ… คุณคงจะค่อนขอดว่าฉันอ่าน Spivak มากไป!
คุณทำสัญญากับปีศาจว่าจะบีบอัดชีวิตลงไปในถ้อยคำ เปลื้องเปลือยตัวตนออกมาอย่างหมดเปลือกแล้วเรียกมันว่าศิลปะ นั่นไม่เรียกว่าการเปลื้องเปลือยตัวตนหรอก การเปลื้องเปลือยตัวตนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคนอื่นจับคุณแก้ผ้าออกอย่างฉับพลันโดยที่คุณไม่ทันได้ตั้งตัวต่างหาก ก็คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าการได้เขียนคือพื้นที่ที่อบอุ่นและปลอดภัย แล้วการแก้ผ้าล่อนจ้อนในพื้นที่อบอุ่นและปลอดภัย มันจะมีความหมายอะไร? งานเขียนไม่เคยเป็นการเปลื้องเปลือย มีแต่การปกปิดต่างหาก (แต่จะปิดไว้มิดหรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง!)
นักเขียนไม่มีทางซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เขาเขียน งานของเขาคือการสวมรอยและปลอมแปลงตัวตน ถ้าคุณซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่คุณเขียน คุณจะไม่มีวันเขียนมันออกมาได้ การเขียนคือการทรยศ คือการเดินเข้าไปในดินแดนต้องห้ามและดินแดนที่คุณไม่รู้จัก เพื่อจะเป็นนักเขียนที่ดี คุณต้องทรยศความสัมพันธ์ของเรา คุณไม่สามารถเป็นนักเขียนที่ดีไปพร้อมๆ กับการเป็นคนรักที่ดีได้ (พวกนักเขียนเขาชอบประกาศสัจธรรมออกมาโต้ง ๆ กันแบบนี้ใช่มั้ยคะ?) แต่อย่าเข้าใจผิดว่าฉันกำลังให้ท้ายคุณ ฉันแค่บอกคุณว่าคุณกำลังเข้าใจผิดถ้าคุณคิดว่าคุณกำลังเป็นทั้งสองอย่างให้ฉันได้พร้อมๆ กัน
นักเขียนไม่มีทางซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่เขาเขียน งานของเขาคือการสวมรอยและปลอมแปลงตัวตน
ฉันไม่เชื่อที่คุณเขียนไว้ว่า “คุณยุ่งอยู่กับสิ่งหลอกหลอน ผายปอดจากสิ่งที่ตายไปแล้วในปัจจุบันให้ฟื้นกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง นั่นคือกระบวนการทำภูตผี แต่ภูตผีของคุณจะเป็นที่รัก คงอยู่ในเวลาอันงดงามปราศจากอายุ กาลเวลาไม่อาจทำลาย ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้ คุณคงไม่ผายปอดปลุกมันฟื้นจากความตาย”
ฉันไม่คิดว่านั่นคือการผายปอดปลุกมันให้ฟื้นจากความตาย ทุกสิ่งที่คุณเขียนคือการทำไปเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะตายลงด้วยน้ำมือของคุณต่างหาก นักเขียนเป็นแค่สัปเหร่อที่คอยเขี่ยซากศพที่ตายไปแล้วให้เผาไหม้ในกองเพลิงเท่านั้น
“แต่การได้เขียนหนังสือคือที่ที่ปลอดภัย ช่วงเวลาที่พี่เริ่มเขียนงาน มันไม่มีอะไรทำร้ายพี่ได้ พี่อยู่กับชั่วขณะนั้น ช่วงเวลาลับๆ ส่วนตัวลำพัง อุ่นใจและปลอดภัย ช่างโลกแม่ง ช่างชีวิตแม่ง หมายถึงแม้แต่ชีวิตประจำวันของพี่เองก็ตาม ช่วงเวลาของการเขียน พี่รู้สึกเหมือนได้รับการคุ้มครอง หากทุกๆ ขณะของความทรงจำจะทำให้นักเขียนเป็นบ้า การได้เขียนคือที่ที่เราจะปลอดภัยในความบ้า ความเงียบทำให้คลั่งและบ้า แต่ระหว่างการเขียนคือความสงบและสุข มันเป็นสันติสุขส่วนตัว พี่ให้อภัยตัวเอง”
แต่ฉันไม่ให้อภัยคุณ
ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเอาเรื่องของฉันไปเขียน ครั้งแรกที่เราร่วมรักกันเสร็จ ฉันหยิบเงินจากหัวเตียงมาจ่ายให้คุณ แต่คุณกลับเข้าใจผิดว่าฉันกำลังดูถูก คุณเข้าใจความหมายของฉันผิดไป ฉันไม่ได้จ่ายเงินเพื่อเป็นค่าตัวของคุณ แต่จ่ายเพื่อเป็นค่าไถ่ตัวฉันจากเรื่องเล่าของคุณต่างหาก จำไม่ได้เหรอคะที่ฉันบอกว่าถ้าคุณฆ่าฉันในเรื่องเล่าของคุณ ฉันก็จะฆ่าคุณในเรื่องเล่าของฉัน
Fact Box
ติดอยู่ระหว่างการเดินทาง (รวมเรื่องสั้น) อุทิศ เหมะมูล เขียน สำนักพิมพ์จุติ