ยาวนานกว่า 13 ปี ที่ 4 หนุ่มชุดดำ อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ (ร้องนำและกีตาร์), ต่อ-พนิต มนทการติวงค์ (กีตาร์และคอรัส), บูม-ถิรรัฐ ภู่ม่วง (กลอง) และ โบ๊ท-นิธิศ วารายานนท์ (เบส) แห่งวง The Yers โลดแล่นอยู่ในวงการดนตรี

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของสมาชิกวง พลันเก็บกระเป๋าย้ายจากบ้านหลังเก่าอย่าง Smallroom ไปสู่ค่ายเพลงร็อกเบอร์หนึ่ง genie records ทว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขายังยืนหยัดเชื่อมั่นมาตลอด คือ ‘แนวดนตรี’ ในแบบฉบับของตนเอง แม้ช่วงแรกจะมีเสียงค่อนขอด หรือเสียงแสดงความเป็นห่วงกับการโยกย้ายครั้งดังกล่าวจากแฟนเพลงขาประจำว่าปลายทางอาจทำให้พวกเขาสูญเสียตัวตนแท้จริงไปก็ตาม  

บนโลกอันสับสน วกวนวุ่นวาย เต็มไปด้วยความกดดัน ผู้คนต่างโหยหาความสำเร็จสูงสุด เฉกเช่นเดียวกับวงดนตรีสาย Post-Punk Revival วงนี้ ที่ต้องการสร้างผลงานชิ้นเอกเพื่อเติมเชื้อไฟแก่จิตวิญญาณ เพราะ 3 อัลบั้มก่อนหน้า (Y, YOU และ CRY) พวกเขายังเล็งเห็นถึงข้อบกพร่อง จนรู้สึกเหมือนเด็กน้อยเพิ่งหัดเล่นดนตรีเป็น แต่บางครั้งการทำงานที่เต็มไปด้วย ‘อัตตา’ ย่อมไม่สามารถนำพาไปถึงจุดหมายได้ง่าย ดังนั้น การหลับตาสงบจิตนึกถึงสิ่งยึดเหนี่ยวบางอย่าง คงเป็นอีกหนึ่งทางออกเหมาะสม

“คำตอบอยู่ภายในใจ แค่นึกและภาวนา ศรัทธาจะพาเราไป ขอบคุณที่ทำให้ฉันค้นพบและช่วยฉันไว้”

การหยุดนึกไตร่ตรองครั้งนั้นทำให้ The Yers ตกผลึกความคิด คลอดอัลบั้มลำดับที่ 4 ที่มีชื่อว่า ‘PRAY’ หรือแปลเป็นความหมายตรงตัวว่า ‘ภาวนา’ โดยพวกเขายกให้เป็นผลงานระดับ ‘Masterpiece’ สะท้อนตัวตนแท้จริง ขณะเดียวกันยังช่วยให้พวกเขารู้สึกเติบโตและก้าวสู่จุดที่เข้าใจความเป็นไปมากขึ้น

2 สัปดาห์หลังเสร็จสิ้นภารกิจ PRAY Album Launch Concert เรามีโอกาสนัดคุยกับพวกเขา ว่าด้วยประเด็นความตาย ความศรัทธา และความรักที่หล่อหลอมกลายเป็นอัลบั้มชุดล่าสุด ไปจนถึงเบื้องหลังการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม

อัลบั้มที่ชวนตั้งคำถามถึง ‘ความสวยงาม’ ของ ‘โลกหลังความตาย’

“จริงๆ เราอินกับเรื่องชีวิตหลังความตายมาตั้งแต่ตอนทำอัลบั้มเดี่ยวชุดแรก (Facing Death By Now) ก่อนจะเริ่มหันมานับถือศาสนาอิสลามด้วยซ้ำ และพอมานับถือศาสนาอิสลามก็ยิ่งมีผลต่อมุมมองเรื่องนี้มากขึ้น”

อู๋ ฟรอนต์แมนแห่งวง The Yers เอนตัวลงนั่งด้วยอากัปกิริยาสบายๆ พลางอธิบายถึงแนวคิดส่วนหนึ่งของอัลบั้มล่าสุดที่มีซิงเกิลชวนตั้งคำถามต่อโลกหลังความตายทั้ง ปริศนา และพร้อมยอมตาย ซึ่งแตกต่างจากเพลงใน 3 อัลบั้มก่อนหน้าที่เล่าผ่านแง่มุมความผิดหวังจากความรักเสียส่วนใหญ่ โดยมีสารตั้งต้นมาจากการตั้งคำถามถึงโลกหลังความตาย 

“เราว่ามันเป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่ได้ ถ้าเราทำความเข้าใจและเตรียมตัวเองเพื่อที่จะไปถึงวันนั้นมันจะสวยงามมาก เพราะถ้าเรามัวแต่ทำสิ่งไร้สาระ ทำสิ่งที่ไม่ดีต่อชีวิต เราเชื่อว่าจะส่งผลไม่ดีต่อชีวิตหลังความตาย แต่ถ้าเราพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพร้อมที่จะตาย ชีวิตหลังความตายจะนำเราไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”

เมื่อล่วงรู้คำตอบจากปากของอู๋แล้ว เราจึงถามต่อไปยังเพื่อนร่วมวงอีก 3 คน ถึงมุมมองความตายในแบบของตัวเอง ที่ไม่ว่าคนถามหรือคนตอบสักวันก็ต้องเผชิญเช่นกัน

ต่อ: สำหรับผมก็พร้อมที่จะตายเหมือนกันนะ ผมว่าถ้าเราทำความดีทุกวันเราจะไม่กลัวตาย ถ้าเราทำไม่ดีต่อคนอื่น จิตใจเราไปในทางที่ไม่ดี พอตายไปเราก็เจอสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว

อู๋: มีมีดไหมครับ (หัวเราะ)

บูม: เราว่าเป็นเรื่องที่ใครก็หนีไม่พ้น ทุกศาสนาก็พยายามสอนให้เรารู้จักเกิด แก่ เจ็บ ตาย เราอาจจะไปก่อนหรือคนอื่นอาจจะไปก่อน สุดท้ายพอต้องเจอสถานการณ์นั้นเราคงทำได้แค่ยอมรับ

โบ๊ท: ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติครับ ส่วนตัวไม่ได้นึกเสียดายชีวิตอะไรมากมาย แต่ก็ต้องปรับความคิดให้เข้ากับคนที่รักชีวิตและคิดต่างไปจากเรา

แล้วที่พวกคุณเคยพูดว่ายอมตายได้ทันทีหากทำอัลบั้มชุดแรกสำเร็จล่” 

เราถามต่อด้วยความสงสัย เพราะหากใครเคยผ่านตากับสารคดีของอัลบั้ม Y (2011) มาก่อน คงจะเคยได้ยินประโยคดังกล่าว นั่นเป็นครั้งแรกที่พวกเขาผูกโยงนิยาม ‘ความตาย’ กับ ‘ดนตรี’ เข้าด้วยกัน

อู๋: โห นี่เป็นประโยคที่เคยพูดไว้มานานมากๆ เอาเข้าจริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องถึงอัลบั้มนี้มากมายหรอก แค่ตอนนั้นเป็นช่วงที่กำลังทำอัลบั้มแรก เราคุยกับพ่อแม่เราที่ร้านสะเลเต สาขาบางกะปิ แต่ไหนแต่ไรเราแม่งไม่เคยกลัวที่จะตาย เรารู้สึกว่าการตายคือการไปเจอกับอะไรที่เราไม่เคยเจอ มันน่าตื่นเต้นที่เราจะได้ไปเจอสิ่งนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราอยากฆ่าตัวตายนะ เพราะการฆ่าตัวตายจะนำพาเราไปสู่โลกหลังความตายที่แย่กว่านี้ เราแค่รู้สึกว่ากลัวความตายกันไปทำไมวะ ในเมื่อสุดท้ายก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งเราเคยนั่งเรือไปเกาะเต่า ตอนนั้นคลื่นแรงน่ากลัวมาก เราภาวนาเลยถ้าตายขอให้เก้าอี้ เศษไม้ อะไรก็ได้สักอย่างปาดคอให้ตายไปเลย เอาแบบไม่ต้องทรมาน

แม้ต้องการชูประเด็นเรื่องความตาย ทว่าลึกๆ แล้วสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสอดแทรกทั้งต่อผู้ฟังและตนเอง คือการเข้าใจสัจธรรมของชีวิต ไม่ใช่วนอยู่แค่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ 

อู๋: เราพยายามยัดเรื่องพวกนี้เข้าไปในเพลงให้ได้มากที่สุด เราคิดว่าน่าจะมีคุณค่าต่อคนอื่นไม่มากก็น้อย แต่สำคัญที่สุดคือมีคุณค่าต่อตัวเราเอง เราภูมิใจที่ได้พยายามเติมสาระอะไรบางอย่างเข้าไปในเพลง อาจจะไม่ได้เยอะหรือเข้มข้นอะไรขนาดนั้น ความสามารถเรามีเท่านี้ก็ใส่ไปเท่านี้

เมื่อไอเดียตีบตันจนต้อง ‘ภาวนา’ และ ‘ความศรัทธา’ ในศาสนาที่ชวนให้ขบคิดตาม

หากใครเคยฟังบทสัมภาษณ์จากปากอู๋ ซึ่งเป็นนักร้องนำและผู้ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ของวง คงจะทราบดีว่าการทำอัลบั้ม PRAY ในช่วงแรกเต็มไปด้วยความยากลำบาก ต้องรีดเค้นไอเดียหนักหน่วง ทว่าเมื่อได้หยุดคิดทบทวน นั่งสงบจิต และนึกภาวนา จึงได้พบกับไอเดียบรรเจิดที่ตามหามาตลอด แต่ข้อสงสัยคืออะไรกันที่เขานึกภาวนาถึง 

“ผมเพิ่งรู้จักพระเจ้า (พระอัลลอฮ์) เมื่อสามปีที่แล้ว สิ่งหนึ่งที่คนมุสลิมทำทุกวันคือการขอพร เป็นหนึ่งสิ่งที่ต้องทำเพราะเป็นผลบุญ เรียกว่ามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างมาก ยกตัวอย่างเมื่อก่อนถ้ามีอะไรมาขัดเคืองใจก็พร้อมชน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ อาจจะไม่ถึงขั้นเย็นขึ้นแต่เราแค่เลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพราะว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา ปล่อยให้เป็นไปตามหลักที่เราเชื่อ คือใครทำอะไรก็จะได้รับผลอย่างนั้น

“ส่วนมุมมองของสมาชิกในวงเราตอบได้เลยว่า เขาไม่ได้อินกับเรื่องศาสนาอิสลามเท่าเรา แต่ต้องนับถือพวกเขามากเลยนะ แม้เราจะจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ ทั้งสามคนกลับไม่เคยมองเลยว่าเป็นเรื่องไร้สาระ นี่เป็นสิ่งที่ศาสนาสอนเรื่องการให้เกียรติกันไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร ทุกคนเข้าใจเราหมดด้วยซ้ำ เช่น ทำงานเสร็จปุ๊บถึงเวลาที่เราต้องละหมาดก็บอกเพื่อนว่า ‘เดี๋ยวพวกมึงรอกูก่อน’ หรือจะไปกินข้าวกันก็เลือกร้านที่ไม่มีหมูนะ

“ขณะเดียวกันเราก็ไม่เคยเอาความรู้เรื่องศาสนาไปสอน อาจจะมีที่เราหยอดบ้าง อย่างต่อเป็นคนอินกับศาสนาพุทธมาก มันเลือกที่จะไม่ฆ่าสัตว์แม้แต่ตบยุง เราก็จะแชร์มุมมองกันว่า ในศาสนาอิสลาม สัตว์ที่ทำร้ายคนสามารถฆ่าได้ แต่สุดท้ายเราก็ไม่ไปชี้นิ้วโวยวายตัดสินว่าความคิดเพื่อนผิด เพื่อนเราก็ไม่ดูถูก ไม่ล้อเลียนสนุกปากกับความเชื่อของเราเช่นกัน”

บูม: ส่วนตัวไม่ได้นับถือศาสนาอะไรเลย แต่เราต้องอยู่ร่วมโลกกับคนที่เชื่อต่างจากเราให้ได้อย่างมีความสุข ต่างคนต่างมีความเชื่อ เราไม่สามารถไปยัดเยียดความคิดอะไรใส่เขาได้

ต่อ: หลังจากที่อู๋หันมาเปลี่ยนศาสนา เหมือนเขาเกิดใหม่เป็นคนละคนเลยนะ เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขามาตลอดที่อยู่ด้วยมาตลอดสิบกว่าปี

อู๋: จริงๆ มันมีเชิงลึกไปกว่านั้นอีกว่าทำไมเราถึงนับถือศาสนาอิสลามแบบเข้มข้น มีหลักคำสอนมากมายที่ศาสนาอิสลามต่างไปจากศาสนาอื่น แต่เราเลือกที่จะไม่พูด เพราะด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและเราเชื่อว่าการให้เกียรติกัน ไม่ไปตัดสินใครเป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า ส่วนใครสนใจอยากจะมาถกข้อเห็นต่างเชิงลึกจริงๆ เราถึงโอเค

ความเชื่อของอู๋และเพื่อนร่วมวงได้แสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมผ่านบทเพลงทั้ง 9 เพลง ก่อนท้ายที่สุดพวกเขาตัดสินใจแต่งเพลงอินโทรเพิ่มอีก 1 เพลง ในชื่อ แด่เบื้องบน เพื่อขอบคุณสิ่งที่พวกเขาศรัทธาและช่วยให้คอนเซปต์ของอัลบั้ม PRAY ชัดเจนยิ่งขึ้น

อู๋: แด่เบื้องบน เป็นการ Salute ต่อสิ่งที่เราเชื่อ เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายที่เราทำเสร็จ ตอนแรกอัลบั้มจะมีเก้าเพลง วินาทีที่ทำเสร็จเรานึกถึงคำว่า ‘อัลฮัมดุลิลลาฮ์’ (การสรรเสริญเป็นสิทธิของอัลลอฮ์) มันอิ่มเอมใจจนอยากจะขอบคุณ เรารู้สึกไม่ได้เก่งเลย เราไม่ได้ให้เครดิตกับตัวเอง ที่อัลบั้มนี้เสร็จได้เพราะเราขอพรอัลลอฮ์แล้วท่านก็ให้มา พอเป็นแบบนั้นเราเลยตั้งใจเอาเพลง แด่เบื้องบน ไว้แทร็กเเรก เพื่อให้คนฟังรู้ว่าสิ่งที่คุณกำลังจะได้ฟังทั้งหมดมาจากไหน

ในวันที่เติบโตมี ‘ความรัก’ และ ‘คู่ชีวิต’ เป็นของตนเอง

จากวงร็อกอินดี้บุคลิกเคร่งขรึม ภาพลักษณ์ดูหม่นหมอง กลับกลายเป็นอีกหนึ่งวงดนตรีที่ถ่ายทอดเรื่องราวความรักผ่านบทเพลงได้ลึกซึ้ง แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาทำออกมาได้ดีย่อมมาจากเบื้องหลังประสบการณ์จริง โดยสมาชิก The Yers 3 ใน 4 เพิ่งผ่านเข้าประตูวิวาห์และได้เรียนรู้ทุกข์สุขจากคู่ชีวิต 

อู๋: ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วนะครับว่าในวงมีคนไม่หล่ออยู่คนเดียวคือบูม

โบ๊ท: หล่อสุดมีตัวเลือกเยอะจนเลือกไม่ได้ไง

(ทุกคนหัวเราะ)

อู๋: เรามองว่าเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆ เลยนะในการใช้ชีวิต โดยเฉพาะเราที่แทบไม่มีเพื่อนคู่คิดยกเว้นแฟนเรา ก่อนหน้านี้ เราก็อยู่กับแฟนเราแหละ เพียงแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ตอนยังไม่ได้แต่งงานเขาไม่ได้มาค้างบ้านเรา จนเขาแต่งงานมาอยู่ด้วยกันกับเรา 24 ชั่วโมง เวลามีปัญหาอะไรเล็กๆ น้อยๆ เรามีเวลามานั่งคุย นั่งระบาย ซึ่งมันดีมากๆ

ต่อ: ก่อนแต่งงาน สมาชิกในครอบครัวอย่างพ่อ แม่ พี่ชาย คือสิ่งสำคัญของชีวิตเรา แต่พอหลังแต่งงานกลายเป็นว่าชีวิตเรามีคนสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน และเราจะไปต่อกับคนคนนี้จนวาระสุดท้าย

บูม: สำหรับผมหลังแต่งงานก็…

โบ๊ท: ยัง มึงยังไม่แต่ง (หัวเราะ) 

โบ๊ท: ชีวิตก่อนแต่งกับหลังแต่งไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ แต่สำคัญตรงที่ตอนนี้เรามีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะลึกๆ แล้วผมอยากมีศรัทธาต่ออะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อ พอเรามีคู่ชีวิตต้องดูแล นั่นเลยกลายเป็นเหตุผลบอกกับตัวเองว่า เออ อยู่ต่อก็ได้วะ

อู๋: เรื่องของชีวิตคู่ก็มีอิทธิพลต่ออัลบั้ม PRAY พอสมควร เพราะเป็นอัลบั้มที่ทำหลังจากพวกเราแต่งงาน อย่างเพลง ถูกเวลา หรือหมาป่าเดียวดาย ที่เราเล่าผ่านตัวละครในเพลงว่าเขาต้องการใครสักคนที่ยอมรับและเข้าใจในตัวตน คนคนนั้นที่ว่าก็คือแฟนเรานี่แหละ

‘PRAY’ ผลงานที่กล้าเรียกได้ว่าเป็น ‘Masterpiece’ ของชีวิต

“ทำไมถึงกล้ายืนยันว่า PRAY เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดในชีวิตของ The Yers” 

เราเริ่มยิงคำถามต่อด้วยความสงสัย เพราะถ้าหากถามแฟนเพลงเดนตายของพวกเขา หรือแม้แต่แฟนๆ เพลงวงอื่น ทุกคนล้วนมีความคิดตรงกันที่ว่าอัลบั้มแรกต้องยอดเยี่ยม และต่อให้นำมาฟังกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ตลอด 

กระนั้น ทั้งสี่กลับยืนยันเสียงแข็งว่า ทั้งสามอัลบั้มที่ผ่านมาเป็นความผิดพลาดเสียด้วยซ้ำ

อู๋: เหตุผลง่ายๆ คือตอนนั้นเรารู้สึกโง่มากเลย กลับไปย้อนฟังอีกทีก็ยังรู้สึกโง่มาโดยตลอด เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเก่งกาจอะไร แต่เราเข้าใจแฟนเพลงที่คิดแบบนั้นได้มากๆ เพราะนั่นเป็นความสดใหม่ที่ไม่เคยเกิดในประเทศมาก่อน เป็นความประทับใจครั้งแรก ณ ตอนนั้นที่ทำให้เขาไม่รู้ลืม อย่างวงที่เราชอบเช่น The Strokes หรือ Arctic Monkeys เราก็ชอบเขาเพราะอัลบั้มแรก

โบ๊ท: มันเป็นเรื่องของ Timing ด้วย เพราะตอนนั้นเทรนด์ของคนฟังเพลงแนวนี้กำลังมา กลับกันถ้าให้อัลบั้ม Y มาปล่อยในยุคนี้อาจจะไม่ดังก็ได้

ไม่ใช่แค่เรื่องของการสั่งสมประสบการณ์โชกโชน ที่ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความฉมังบนเส้นทางสายอาชีพ เพราะสิ่งที่ทำให้อัลบั้มล่าสุดสมบูรณ์ คือการได้ใช้เวลากลั่นกรองร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ปี ที่โควิด-19 ระบาดหนัก

อู๋: อย่างอัลบั้มนี้เราก็ยังโปรดิวซ์นำเหมือนเดิม แต่เปอร์เซ็นต์ในการปล่อยให้เพื่อนเข้ามาร่วมทำมันเพิ่มมากขึ้น

ต่อ: ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราทำอัลบั้มกันทุกวัน แจกจ่ายการบ้านแยกกันไปทำ แล้วเดี๋ยวมารวมตัวกันที่บ้านอู๋ ก็ช่วยทำให้เราขึ้นเพลงใหม่ได้บ้าง ส่วนเพลงไหนที่ขึ้นเสร็จต้องแต่งเนื้อเพลงต่อก็จะมีการเรียกเพื่อนมาสุมหัวคิด ที่ผ่านมาเราไม่เคยมีเวลาที่จะมานั่งทำอัลบั้มแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนอู๋จะเป็นคนแจกจ่ายงานให้เราไปใส่นั่นเพิ่มมาใส่นี่เพิ่มมา เราเลยได้หยิบไอเดียส่วนที่บูมคิด โบ๊ทคิด อู๋คิด หรือผมคิดต่อยอดใส่เข้ามาในเพลง

โบ๊ท: ด้วยความที่บ้านอู๋ทำเป็นห้องอัดชื่อทรยศสตูดิโอ เราเลยมีเวลามานั่งลองผิดลองถูก ทดลองซาวด์ใหม่ๆ กัน

อู๋: เราเป็นพวกชอบซื้อเอฟเฟกต์กีตาร์ที่นักดนตรีคนอื่นเขาไม่ค่อยเล่นกัน เป็นเอฟเฟกต์ที่ราคาแพงแต่ขายไม่ออก (หัวเราะ) เราเชื่อว่าห้องอัดทั่วประเทศไม่มีเอฟเฟกต์บ้าๆ บอๆ เท่าที่บ้านเราแล้ว แต่เราชอบมากนะ ตอนอัดเพลงเรามีเวลามานั่งไล่เอฟเฟกต์กีตาร์กันทีละก้อน ซึ่งวงที่จะทำแบบนี้ได้คือวงที่ต้องมีห้องอัดในบ้าน อย่างพี่อ๊อฟ (พูนศักดิ์ จตุระบุล มือกีตาร์ วง Big Ass) เขาก็มีห้องอัดเป็นของตัวเอง แต่เขาก็มีหน้าที่ภาระอย่างอื่น แต่เราไม่มีอะไรเลย เราสามารถเอาเวลาไปทุ่มกับการทำงานได้อย่างฟรีสไตล์

แม้อู๋และสมาชิกจะบอกว่าได้มีเวลาลองผิดลองถูก โดยเฉพาะในส่วนของการทำเมโลดี้ดนตรีที่มีความแปลกใหม่ แต่ในส่วนของการแต่งเนื้อร้องยังคงเป็นกรรมวิธีเดิมด้วยการ ‘จดลงสมุด’ ที่อู๋เชื่อว่ามีค่าอย่างมากในยุคสมัยใหม่

อู๋: เราแม่งชอบจดสมุดมาก เพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยี Digital Footprint สักวันจะหายไปด้วยปัญหาเทคนิคต่างๆ แต่เราเชื่อว่าการจดบันทึกอะไรสักอย่างลงเป็นตัวอักษรมันมีคุณค่ามากๆ 

“เราอยากเล่าให้ฟังตอนที่อาม่าเราเสีย เราไปคุ้ยของเพื่อจะเก็บของของท่าน แล้วบังเอิญไปเจอกระดาษปฏิทินใบหนึ่งเป็นวันที่ 23 กันยายน 2530 เราก็งงว่าเก็บไว้ทำไมวะวันเกิดกู พอพลิกด้านกลับไปดูก็เห็นชื่อเราที่ท่านเขียนเอาไว้ เป็นปฏิทินใบเดียวกับวันที่เราเกิด วินาทีนั้นเราแม่งน้ำตาซึมทันที

“คล้ายกัน เรารู้สึกดีตอนเปิดสมุดที่เราเริ่มจดตั้งแต่อัลบั้ม CRY แล้วเห็นเนื้อเพลงเพลง เกลียด ที่ทุกคนชอบ เราเห็นต้นฉบับก่อนแก้ไขว่าเป็นอะไรมาก่อนที่ทุกคนจะร้องตามได้”

ก้าวต่อไปที่อาจเจอกำแพงมาตรฐานสูงขึ้นกว่าเดิม

อุปสรรคส่วนใหญ่ที่วงดนตรีไม่ว่าจะรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ ในกระแสหรือนอกกระแสต้องพบเจอคือ เมื่อประสบความสำเร็จกับผลงานปัจจุบัน เช่นนั้นจะทำอย่างไรให้ผลงานในอนาคตดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ทันทีที่เราถามคำถามข้างต้นออกไป สมาชิกวง The Yers ตอบกลับเราว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้รู้สึกตัวเองยังชอบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ทรยศต่อความรู้สึกคนฟังเช่นกัน

อู๋: เราเห็นด้วยกับความคิดนั้นนะ ตอนทำเราอัลบั้ม YOU เรากลัวนั่นกลัวนี่กันมาก กลัวแนวทางไม่เหมือนเก่า กลัวไม่ได้มาตรฐานเท่าเดิม ย้ายค่ายแล้วแฟนเพลงจะเปลี่ยนตามไหม ต้องคิดกันเยอะมาก แต่สุดท้ายมันจะมาจบกับความคิดที่ว่ากูทำแล้วชอบหรือยัง

“อุดมการณ์ของ The Yers ตั้งแต่แรกคือทำให้คนฟังมีช่องทางและรสนิยมการฟังเพลงที่หลากหลาย ไม่ได้หมายความว่าคนไทยมีรสนิยมดีหรือแย่ เราไม่เคยตัดสินแบบนั้น เพียงแต่การมีรสนิยมที่หลากหลายจะช่วยยกระดับการฟังเพลงบ้านเราไปอีกขั้น”

สุดท้ายก่อนจะจากกัน เราถือโอกาสถามถึงกระแสวงการดนตรีในประเทศไทยที่กลับมาคึกคัก โดยเฉพาะฝั่งถนนคนเดิน ‘สยามสแควร์’ รวมไปถึงตามสวนสาธารณะต่างๆ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น มีเวทีให้วงดนตรีหน้าใหม่ได้แสดงศักยภาพ ทว่าก็มีบางจุดที่อยากให้เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

อู๋: เราว่ามันสวยงามมากๆ เลยนะ กับสิ่งที่คุณชัชชาติ (สิทธิพันธุ์) กำลังทำ แต่เราก็เชื่อว่ามีวงน้องๆ นักเรียนทั่วประเทศที่อยากใช้พื้นที่ตรงนั้นแสดงความสามารถเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้มีการรับสมัคร ส่งเดโม ให้พวกเขามีโอกาสมาเล่นบ้าง

บูม: ถ้าเป็นพื้นที่ที่วัยรุ่นได้มาเล่นดนตรีโดยไม่มีการจัดอันดับหรือจำกัดแนวดนตรี ยิ่งจะช่วยให้เขาได้เจอกับประสบการณ์จริง และกลายเป็นคอมมูนิตี้นักดนตรีได้ด้วย

ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าของ The Yers จะเป็นไปในทิศทางใด อย่างน้อยวันนี้พวกเขาก็กล้าพูดได้เต็มปาก ว่าสามารถทำตามความตั้งใจสำเร็จไปอีกขั้นสมฐานะ ‘ศิลปิน’ และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขายังทำให้แฟนเพลงหลายรายรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เมื่อฟังผลงานอันแปลกใหม่ ที่ผ่านการกลั่นกรองจากฝีมือและประสบการณ์ชีวิต

Fact Box

  • The Yers เป็นวงดนตรีแนวอินดี้ ร็อก (Indy Rock), นิวเวฟ (New Wave) และ โพสต์พังก์ริไววัล (Post-Punk Revival)  
  • The Yers เริ่มต้นเข้าสู่วงการดนตรีกับค่าย Smallroom ในปี 2552 ก่อนประสบความสำเร็จเป็นที่รู้จักจากเพลง คืนที่ปวดร้าว กระทั่งปี 2557 พวกเขาจะตัดสินใจย้ายสู่ค่ายเพลงร็อกอันดับหนึ่ง genie records มาจนถึงปัจจุบัน
  • ปัจจุบัน The Yers มีอัลบั้มเป็นของตัวเอง 4 อัลบั้ม ประกอบด้วย Y (2554), YOU (2558), CRY (2561) และ PRAY (2565) โดยอัลบั้ม CRY ทำออกมาในรูปแบบเวอร์ชันอะคูสติก
  • นอกจากจะเป็นนักร้องและมือกีตาร์ของวง อู๋-ยศทร บุญญธนาภิวัฒน์ ยังมีอาชีพในฐานะโปรดิวเซอร์ให้กับนักดนตรีรายอื่น โดยล่าสุดเพิ่งมีผลงานร่วมกับ ซิน-ทศพร อาชวานันทกุล (อดีตนักร้องวง Singular) ในเพลงที่มีชื่อว่า พร้อม รวมไปถึงมีอัลบั้มเดี่ยวเป็นของตัวเองอีก 2 อัลบั้ม คือ Facing Death By Now (2563) และ ROTATORY (2564)
Tags: , , , , ,