Third Window Films เป็นบริษัทจัดจำหน่ายภาพยนตร์ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2005 ด้วยมุมมองของอุตสาหกรรมที่แตกต่างไปจากเจ้าอื่นๆ ความตั้งใจในการนำเสนอภาพยนตร์ของที่นี่คือขยายการเข้าถึงภาพยนตร์เอเชียที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักในตะวันตก ทั้งจากญี่ปุ่น ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ซึ่งมันพร้อมจะนำคุณไปสู่ความมหัศจรรย์อันยากจะคาดเดา 

พวกเขามุ่งมั่นที่จะฉายให้เห็นความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นดราม่า คอมเมดี้ แอ็คชั่น หรืออะไรก็ตามแต่เท่าที่จะมีได้ แต่แค่เพียงความตั้งใจอาจไม่เพียงพอ ในเมื่อทุกวันนี้โลกได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ยอดขายดีวีดีและบลูเรย์ในตลาดลดลงปีต่อปี หนึ่งในกลยุทธ์ของพวกเขาจึงเป็นการกระโดดลงไปสู่การเป็นผู้ผลิตหรือผู้ผลิตร่วม ซึ่งก็มีความล้มลุกคลุกคลานอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสียจนถึงวันนี้พวกเขาก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่อย่างสุดความสามารถ ทีนี้เราลองมาเปิดหูเปิดตาเปิดใจดูสิว่ารายนามภาพยนตร์ที่อยู่ใน Third Window Films นั้นมีอะไรกันบ้าง!?

Turtles Are Surprisingly Fast Swimmers (2005)

Turtles Are Surprisingly Fast Swimmers ผลงานการกำกับของซาโตชิ มิกิ ผู้เริ่มต้นอาชีพจากการเป็นนักเขียนบทในรายการวาไรตี้ จากนั้นเขาจึงค่อยๆ ขยับมากำกับการแสดง จนขยายไปสู่การกำกับละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ สไตล์ที่โดดเด่นของมิกิคือเขามักจะมีอารมณ์ขันอยู่เสมอๆ ซึ่งก็คงมาจากการมีส่วนร่วมในรายการวาไรตี้นั่นเอง

ซุซุเมะ คาตากุริ เป็นแม่บ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งที่สามีถูกส่งไปทำงานต่างประเทศ ชีวิตในแต่ละวันของเธอจึงค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย ไร้แรงจูงใจในเรื่องรอบตัว แม้แต่อาหารโปรดก็เป็นแค่เมนูทั่วๆ ไป ซุซุเมะติดต่อกับสามีทางโทรศัพท์เป็นประจำ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เธอดูแล นั่นก็คือเจ้าเต่า คาเมะทาโร่

เพราะแบบนี้เองบางครั้งซุซุเมะจึงอดเปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับคุจะกิ เพื่อนสนิทไปเสียไม่ได้ คุจะกิดูเป็นคนพิเศษกว่าเธอมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่นานต่อมาความน่าเบื่อของซุซุเมะก็ละลายหายไป เมื่อเธอพบกับป้ายโฆษณาเล็กๆ ที่ลงประกาศรับสมัครสายลับ เธอพุ่งไปที่นั่นทันที และได้พบกับสองสามมีภรรยา ซึ่งทำงานให้กับองค์กรไม่มีชื่อ พวกเขาสอนให้เธอรู้ว่างานของเธอคือการทำตัวน่าเบื่อและเป็นคนธรรมดาๆ แล้วรับซุซุเมะเข้าทำงานด้วย หลังก้าวออกจากที่นั่น เรื่องทั่วๆ ไปก็กลายเป็นความผิดแปลก เธอมองโลกนี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างดูเป็นเรื่องน่าสงสัย และนำเธอไปสู่การแก้ไขปริศนา บางทีความสุขของเธออาจได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว!

Cold Fish (2010)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง หรือที่รู้จักกันในนาม คดีฆาตกรรมต่อเนื่องคนรักหมาแห่งไซตามะ (Saitama serial murders of dog lovers) โดยชิออน โซโนะ นำมาดัดแปลงเสียใหม่ และถูกจัดอยู่ในไตรภาคแห่งความเกลียด ซึ่งประกอบไปด้วย Love Exposure, Cold Fish และ Guilty of Romance อันเต็มไปด้วยความหดหู่ และความบิดเบี้ยวในมนุษย์

ซาโมโต้ หัวหน้าครอบครัวที่เปิดกิจการร้ายขายปลาในเมืองชิซึโอกะ เขาเหนื่อยหน่ายกับความเป็นอยู่เต็มทน เพราะลูกสาวคนเดียวนั้นเริ่มทำตัวมีปัญหาขึ้นทุกวัน ไล่เรียงจากมีปากเสียงกับแม่เลี้ยง (ภรรยาใหม่ของซาโมโต้) แล้วแสดงอาการต่อต้านขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการทำตัวเกเร ลักทรัพย์จนถูกจับได้ ซาโมโต้นอกจากจะแก้ปัญหาภายในบ้านไม่ได้แล้ว ปัญหานอกบ้านเขาก็รับมือได้ไม่ดีเช่นกัน ชายคนหนึ่งจึงยื่นมือเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย

มุราตะ เปิดกิจการแบบเดียวกับซาโมโต้ แต่เขาประสบความสำเร็จกว่ามาก หลังจากพบกันวันนั้น มุราตะก็ยื่นข้อเสนอให้ลูกสาวซาโมโต้มาทำงานที่ร้าน ซึ่งคิดๆ ดูแล้วก็ไม่เสียหายอะไรตรงไหน อาจจะดีด้วยซ้ำไปที่ลูกจะได้ไม่ต้องมีเรื่องกับแม่เลี้ยงอีก แต่คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ มุราตะมีความจริงดำมืดซุกซ่อนอยู่ และถ้าหากเขาทำมันคนเดียวก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไร ตอนนี้เขาดันลากลูกสาวและภรรยาซาโมโต้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แล้วคนไม่ได้ความอย่างซาโมโต้จะทำอะไรได้ หรือความรุนแรงจะต้องหยุดด้วยความรุนแรง และซาโมโต้ควรจะต้องสวมบทฆาตกรเลือดเย็น!?

A Story of Yonosuke (2013)

A Story of Yonosuke อ้างอิงมาจากนวนิยายเรื่อง Yokomichi Yonosuke ของชูอิชิ โยชิดะ นักเขียนที่ผลงานถูกนำไปดัดแปลงอยู่บ่อยครั้ง และสำหรับเรื่องนี้ผู้กำกับได้แก่ ชูอิชิ โอกิตะ ผู้ที่ได้รับการยอมรับและยกย่องตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขากำกับออกมา นั่นคือ The Chef of South Polar (2009) ซึ่งสร้างมาจากนวนิยายเช่นกัน แต่เป็นนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติ

ภาพยนตร์นี้มีความยาวเกือบสามชั่วโมง เมื่อชมตัวอย่างเราอาจคิดว่าเรื่องราวเกี่ยวกับโยโนะสุเกะนั้นไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหน เด็กหนุ่มหน้าตาซื่อๆ ท่าทางบื้อๆ ไม่มีทางอยู่ในความสนใจใครได้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็อาจจะจริงดังนั้น แต่เมื่อเรื่องของเขาจบลง ความคิดถึงของเรากลับเริ่มทำงาน

โยโกมิชิ โยโนะสุเกะ เด็กหนุ่มที่ย้ายจากคิวชูมาเรียนในโตเกียว แม้เขาจะดูเซ่อๆ อยู่บ้าง แต่มีข้อดีที่เป็นคนมองโลกในแง่บวก การจากบ้านไกลไม่ได้สร้างความเศร้าหนักนาเท่าไร เพราะแค่ไม่นานเขาก็หาเพื่อนสนิทได้ ถึงจะมีอยู่นับนิ้วก็เถอะ แล้วสายน้ำแห่งชีวิตของเขาก็เริ่มต้นขึ้น ตลอดระยะเวลาการเรียน เราจะได้เห็นชีวิตของโยโนะสุเกะและเพื่อนผลัดเปลี่ยนหมุนวนไปเรื่อยๆ เพื่อนคนนั้นทำคนนี้ท้อง เพื่อนคนนั้นเพิ่งมารู้ว่าชอบเพศเดียวกัน ตัวเองไปตกหลุมรักสาวใหญ่แล้วไม่รู้ต้องทำอย่างไร หรือแม้แต่การได้ไปเดทกับสาวน้อยลูกคุณหนูที่เหมือนจะมีใจให้ เรื่องเบี้ยใบ้รายทางเหล่านี้ดูไม่สลักสำคัญอะไรเลย แต่กลับมีมวลบางอย่างให้เราอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วโยโนะสุเกะจะเป็นอย่างไร ผู้คนที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปจะเป็นเช่นไร บางที… เราก็แค่มีกันในปัจจุบัน เมื่อผ่านไปสิบปีหรือยี่สิบปี เรื่องราวในวันนี้อาจไม่ถูกพูดถึงหรือนึกแล้วก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นเราจะเศร้าหรือสุขมากกว่ากันนะ?

Love & Peace (2015)

อีกหนึ่งผลงานจากผู้กำกับชิออน โซโนะ ผู้ที่ชอบสร้างความประหลาดใจให้กับเราทุกครั้งที่นั่งลงดูภาพยนตร์ของเขา ซึ่งถ้าหากเทียบเรื่องนี้กับผลงานเรื่องอื่นๆ ก็ต้องบอกว่านี่น่าจะเป็นเรื่องที่มีความน่ารักและความสนุกสนานมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะแทบไม่มีความรุนแรง และยังเปี่ยมไปด้วยความรักความปรารถนาดี

เรียวอิจิ ซูซูกิ เป็นพนักงานบริษัทที่เคยมีความฝันสูงสุดว่าสักวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นนักดนตรีร็อค แต่ความจริงคือเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่เจอเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี เขาถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำในที่ทำงาน ถูกล้อเลียนจากคนแปลกหน้า ไม่ว่าจะทำอะไรชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จ หรือแม้แต่การแอบชอบเพื่อนร่วมงาน เขาก็ไม่มีความกล้าเพียงพอจะเอ่ยออกไป

เรียวอิจิไม่มีเพื่อนเลย เขาจึงบรรเทาความอ้างว้างด้วยการซื้อเต่าน้อยมาเลี้ยง โดยตั้งชื่อว่าพิกาดง ทั้งสองมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกพันกันอยู่ เรียวอิจิมักเล่าทุกอย่างให้พิกาดงฟัง ทั้งความฝันและความทะเยอทะยาน แต่เหตุการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างน่าเศร้า เมื่อเรียวอิจิถูกยั่วโมโหเรื่องพิกาดง เขาจึงตัดสินใจทำเรื่องโหดร้ายที่สุดลงไป นั่นคือการทอดทิ้งพิกาดง

แต่ความรักความผูกพันยังฝังอยู่ในใจเจ้าเต่า พิกาดงได้พบกับชายชราคนหนึ่งในโลกใต้ดิน ซึ่งนี่แหละที่จะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนทั้งหมดในชีวิตของเรียวอิจิ พิกาดงเกิดมีพลังพิเศษขึ้นมา ซึ่งมันช่วยให้ความฝันของเรียวอิจิเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นๆ โดยไม่สนว่าผลกระทบที่ตามมาต่อตัวเองจะเป็นอย่างไร จะเป็น จะตาย หรือเขาจะลืมมันไปแล้วก็ตามที…

One Cut of the Dead (2017)

ภาพยนตร์ซอมบี้คอมเมดี้ที่เรียกได้ว่าดูจบแล้วต้องอิ่มเอมใจ และทำให้ไฟในตัวคนทำหนังต้องลุกโชน One Cut of the Dead เป็นหนังทุนต่ำที่ใช้งบไปราว 25,000 เหรียญ แต่ทำเงินไป 25 ล้านเหรียญ! ภาพยนตร์เต็มไปด้วยนักแสดงที่ไม่มีใครรู้จัก และดูผ่านๆ ไม่ต่างจากหนังเกรดบี มันถูกเปิดตัวในโรงภาพยนตร์เล็กๆ แต่หลังจากประสบความสำเร็จในระดับนานาชาติ ภาพยนตร์ก็เริ่มได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง รวมถึงได้รับการเปิดตัวในญี่ปุ่นอีกครั้ง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันถึงความสร้างสรรค์และอารมณ์ขันที่คาดไม่ถึง

ทันทีที่ภาพยนตร์เปิดฉาก ทุกอย่างก็ดำเนินไปโดยไม่ได้หยุดพักเลยกว่าเกือบสี่สิบนาที เรื่องราวเริ่มต้นที่โกดังร้างกลางป่าที่มีทีมงานกองเล็กๆ กำลังถ่ายทำภาพยนตร์ซอมบี้กันอยู่ ซึ่งมันไม่ได้ราบรื่นเท่าไรนัก เพราะมีความติดๆ ขัดๆ ทั้งการถ่ายทำ และนักแสดงที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้กำกับได้ ในระหว่างนั้นเองอยู่ๆ ก็มีคนจุดประเด็นว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่โกดังทั่วๆ ไป แต่มีตำนานสยองขวัญอยู่ เล่ายังไม่ทันขาดคำ ภารกิจหนีตายของจริงก็ดาหน้าเข้ามาเมื่อเพื่อนร่วมงานที่มาด้วยกันดันกลายเป็นซอมบี้ขึ้นมาจริงๆ

ความชุลมุนวุ่นวายทำกองถ่ายวายป่วงไปหมด คนเป็นต้องหนีคนตาย และคนตายอยากจะฆ่าคนเป็น ความบ้าระห่ำจะทำให้เราตะโกนอยู่ข้างในว่า นี่เราดูอะไรอยู่เนี่ย! จนพาร์ทแรกของหนังจบลงแล้วเข้าสู่พาร์ทหลังพร้อมกับเฉลยว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นแค่กองถ่ายที่ถูกซ้อนอยู่ในกองถ่ายอีกที และมีการเล่าถึงความเป็นมาตั้งแต่ก่อนที่การถ่ายหนังซอมบี้จะเริ่ม ไม่ว่าจะคัดเลือกนักแสดง การหาโลเคชั่น การเตรียมอุปกรณ์ประกอบฉาก ตลอดจนวันถ่ายจริงที่เต็มไปด้วยความขัดข้อง แต่ทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจให้มันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทั้งหมดคุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก และสร้างความภาคภูมิใจให้กับเรา

Tags: ,