เซโกเบีย (Segovia) เป็นเมืองเล็ก ๆ ในสเปน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองแมดริดไปทางทิศตะวันตกไม่ถึงร้อยกิโลเมตร จึงใช้เวลาเดินทางเพียงนิดเดียว แม้ระหว่างการเดินทางไปยังเซโกเบีย จะไม่มีอะไรพิเศษ บ้านเรือน ทิวทัศน์ คุ้นตาเหมือนที่เมืองอื่นๆ ในทวีปยุโรป แต่พอเรามาถึงจุดหมายปลายทาง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำเอานัยน์ตาเบิกกว้าง ขณะเดียวกันก็กระพริบถี่หลายครั้ง
เฮ้ย ! (ร้องอุทานในใจแบบนี้จริง ๆ) ที่ร้องแบบนั้นเพราะภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทั้งแปลกตาและชวนฉงน มันคือสะพานส่งน้ำโรมัน (Roman Aqueduct of Segovia) ขนาดใหญ่สองชั้น ที่สร้างขึ้นเพื่อลำเลียงน้ำแม่น้ำฟรีโอ (Río Frío) เข้ามาในเมืองเซโกเบีย
ความสวยงามของสะพานส่งน้ำของเซโกเบียมีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมแบบโรมันที่เรียกว่าอาร์กโค้งที่มีช่องโค้งนับร้อยช่อง และว่ากันว่าอาณาจักรโรมันที่เคยรุ่งเรืองในอดีตนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอนิสงค์จากสถาปัตย์แบบอาร์กโค้งนี่แหละ เนื่องจากสิ่งก่อสร้างที่ใช้วิธีการก่อสร้างแบบนี้ สามารถขยายสัดส่วนไปทางด้านไหนก็ได้อย่างไร้ข้อจำกัด อาร์กโค้งจึงช่วยให้อาณาจักรโรมันสร้างท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ เพื่อผันน้ำเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ ได้ตามใจชอบ
สะพานส่งน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าจึงเป็นอีกสิ่งก่อสร้างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าระบบก่อสร้างแบบอาร์กโค้งนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
หลังจากเรางงงันกับสะพานส่งน้ำอยู่พักใหญ่ สายตาเริ่มมองหา…แล้วตัวเมืองเซโกเบียล่ะอยู่ตรงไหนกัน? นอกจากสะพานส่งน้ำแล้ว ยังมองไม่เห็นตัวเมืองเลย เราเลยลองเดินสำรวจเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะเจอทางเดินที่ค่อย ๆ ลาดชันขนานคู่ไปกับสะพานส่งน้ำ ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ตัวเมืองเพราะเมืองเซโกเวียไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นราบ หากตั้งอยู่บนเนินเขาต่างหาก
เซโกเบียเป็นเมืองเก่าแก่ แห่งแคว้นคาสตีล และเลออน บรรยากาศภายในเมืองตามตรอกซอกซอย จะมีร้านขายของที่ระลึกที่เป็นของท้องถิ่นให้เลือกช้อป เลือกชิม อย่างเพลิดเพลิน ทั้งชอคโกแลต แยมรสชาติต่าง ๆ น้ำผึ้ง และไวน์ รวมทั้งงานศิลปะสวย ๆ และศิลปินข้างถนนให้ความบันเทิง
แต่สิ่งที่พลาดไม่ได้ต้องหยุดแวะพักคือพื้นที่บริเวณจตุรัส San Martin ที่มีรูปปั้นสฟิงซ์สองตัวมอบเฝ้าตรงทางเดินขึ้นไปบนลานแห่งนั้น ท่อนล่างของรูปปั้นเป็นสิงโตทว่าท่อนบนเป็นหญิงสาว และถ้าสังเกตสฟิงซ์ทั้งคู่จะมีความเป็นปัจเจกด้วยรูปหน้า ทรงผม ที่สำคัญนางหนึ่งสวมเสื้อผ้ามิดชิด ขณะอีกนางหนึ่งสวมเสื้อที่แหวกให้เห็นหน้าอกอย่างชัดเจน
โบสถ์ที่ตั้งอยู่บนลานด้านบนมีชื่อเดียวกับจัตุรัส นั่นคือโบสถ์ซานมาร์ติน (iglesia de San Martín) เป็นโบสถ์ที่มีลักษณะแบบโรมาเนสก์ (Romanesque Art) แท้ ๆ เริ่มตั้งแต่ลักษณะของตัวโบสถ์ที่หนาทึบ คล้ายป้อมปราการ หากประตู หน้าต่างมีลักษณะโค้งมนซึ่งรับอิทธิพลมาจากโรมันช่วยคลี่คลายความหนาเทอะทะนั้นให้ลงตัวยิ่งขึ้น
ถัดจากจัตุรัส San Martin ไปไม่ไกล จะพบกับจัตุรัสอีกแห่งหนึ่งซึ่งป็นจัตุรัสหลักของตัวเมือง มหาวิหารเซโกเบีย อันเป็นวิหารสำคัญของตัวเมืองตั้งอยู่ตรงบริเวณนั้น มหาวิหารแห่งนี้เป็นวิหารแบบกอธิก ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่ต่อเนื่องจากโรมาเนสก์ในยุคกลาง จึงมีความโปร่งเบา อ่อนช้อยกว่าวิหาร San Martin อย่างเห็นได้ชัด
ในที่สุด เราก็มาถึงสุดขอบของตัวเมืองทางทิศตะวันตก อันเป็นที่ตั้งของปราสาท Alcazar สถานที่ประทับของกษัตริย์และราชินีแห่งอาณาจักรคาสติล
ใครจะไปคิด จากท่อส่งน้ำมหึมา เดินตะลุยผ่านตัวเมืองมาเรื่อย ๆ จะพบกับปราสาทที่ตั้งอยู่บนขอบผา แถมปราสาทที่ว่ายังเป็นปราสาทต้นแบบของปราสาทเจ้าหญิงนิทราในดีสนีย์แลนด์อีกด้วย
ใช่แล้ว! อ่านไม่ผิด ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทต้นแบบของดีสนีย์แลนด์อีกแห่งหนึ่ง นอกเหนือจากปราสาทนอยชวานสไตน์ในประเทศเยอรมันที่คุ้นเคยกันดี
ปราสาทอัลกาซาร์ (Alcázar of Segovia) ดั้งเดิมนั้นเป็นป้อมปราการในสมัยโรมัน ก่อนที่จะได้รับการปรับเปลี่ยนกลายเป็นที่ประทับของราชวงศ์ในอาณาจักรคาสติล และความที่เคยเป็นป้อมปราการมาก่อน ปราสาทที่อยู่เบื้องหน้าจึงดูหนักแน่นเอาจริงเอาจังแบบปราสาทที่ต้องมีป้อมปราการไว้ป้องกันข้าศึก ไม่อ่อนหวานหรูหราเช่นปราสาทนอยชวานสไตน์ที่สร้างขึ้นโดยมีเป้าประสงค์สำหรับเป็นที่ประทับในแวดล้อมธรรมชาติที่ห่างไกลโดยเฉพาะ
หลังจากเราย่ำสำรวจเมืองเซโกเบียมากว่าครึ่งวันแล้ว ได้สัมผัสเมืองเก่าแก่ที่ผ่านช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองมาหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่โรมัน โรมาเนสก์ กอธิก … ตอกย้ำให้เห็นว่า สถานที่ยิ่งเก่าแก่ ยิ่งมีเสน่ห์
Tags: สเปน, เซโกเบีย, ดิสนีย์แลนด์, Segovia