“ผมคิดว่าในค่ำคืนเช่นนี้ สิ่งสำคัญคือเราต้องจำไว้ว่า ไม่มีเพลงใดเป็น ‘เพลงที่ดีที่สุด’ ผมไม่คิดว่าพวกเราคนใดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในสตูดิโอแห่งนี้ จะตัดสินว่าเพราะอะไรกันที่ทำให้เรารับสิ่งเหล่านี้ เรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคนอย่างผมบ่อยนัก” 

แฮร์รี สไตลส์ (Harry Styles) กล่าวประโยคดังดังกล่าวในงาน GRAMMYs ปี 2023 หลังคว้ารางวัลสูงสุดในอาชีพของเขา Album Of The Year กับอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Harry ‘s House’

ความสำเร็จข้างต้น นอกจากจะสร้างความประทับใจให้กับเหล่าแฟนเพลงของแฮร์รีแล้ว ยังสร้างความภาคภูมิใจให้กับเพื่อนเก่าจากวงวันไดเรกชัน (One Direction) อย่าง เลียม เพย์น (Liam Payne) และไนออล ฮอแรน (Niall Horan) อีกด้วย โดยเลียมได้โพสต์ภาพถ่ายของแฮร์รีในขณะขึ้นรับรางวัลบนอินสตาแกรมของเขา พร้อมบรรยายว่า

“มันคุ้มค่าที่ได้เห็นภาพนี้ และได้เห็นว่านายได้ทำเพลงในแบบของตัวเอง แฮร์รี นายคู่ควรกับทุกเสี้ยววินาที นายกำลังจ้องมองรางวัลในมือด้วยรอยยิ้ม ขอพระเจ้าจงอวยพร ยินดีด้วยน้องชาย” 

ขณะเดียวกัน ไนออลก็ได้แชร์รูปภาพของแฮร์รีขณะขึ้นรับรางวัลในสตอรีบนอินสตาแกรมของเขา พร้อมกับเขียนข้อความสั้นๆ ว่า “ภูมิใจมาก” 

เหตุการณ์ดังกล่าวปลุกกระแสความคิดถึงของแฟนๆ One Direction ให้หวนคืนความทรงจำและมิตรภาพของวงบอยแบนด์จากอังกฤษขึ้นมาอีกครั้ง จึงอยากพาย้อนไปดูเรื่องราวการเดินทางของเด็กผู้ชายธรรมดา 5 คน ที่กลายมาเป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลก และสร้างประวัติศาสตร์ความสำเร็จไว้อย่างมากมาย พร้อมทั้งรอยร้าวต่างๆ ที่ปรากฏหลังการแยกวง

การเดินทางของ One Direction เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2010 สมาชิกทั้ง 5  คน ประกอบด้วย แฮร์รี สไตลส์ (Harry Styles) ลูอิส ทอมลินสัน (Louis Tomlinson) เลียม เพย์น (Liam Payne) ไนออล ฮอแรน (Niall Horan) และอดีตสมาชิก เซย์น แมลิก (Zayn Malik) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในรายการ ดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ (The X Factor) การแข่งขันเพื่อค้นหานักร้องของประเทศอังกฤษ ซึ่งขณะนั้นพวกเขาทั้ง 5 คน ต่างร่วมเข้าแข่งขันโดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือการเป็นศิลปินเดี่ยว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ 

ทว่าด้วยกระแสเรียกร้องจากผู้ชมทางบ้านจำนวนมากต้องการให้ทั้ง 5 หนุ่มกลับมา นิโคล เชอร์ซิงเงอร์ (Nicole Scherzinger) กรรมการรับเชิญ จึงแนะนำให้พวกเขารวมกลุ่มกันเป็นบอยแบนด์จนเกิดเป็น One Direction และเข้าแข่งขันอีกครั้ง โดยมี ไซมอน โคเวลล์ (Simon Cowell) โปรดิวเซอร์เจ้าของรายการคอยให้คำปรึกษา 

ด้วยทักษะการร้องและการแสดงบนเวทีอันยอดเยี่ยม ส่งผลให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน One Direction เป็นที่รู้จักและได้รับความสนใจจากแฟนรายการอย่างล้นหลามจนกลายเป็นหนึ่งในทีมเต็งของรายการ แต่ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จบลงที่อันดับ 3 อย่างน่าเสียดาย

หลังการแข่งขันจบลง โคเวลล์มองเห็นศักยภาพจึงจับพวกเขาเซ็นสัญญากับค่าย ไซโคเรคอร์ดส์ (Syco Records) ของตน เพื่อร่วมแสดงเอ็กซ์แฟกเตอร์ทัวร์ จากนั้นในปลายปี 2011 พวกเขาได้ก็เซ็นสัญญาให้กับค่ายในฝั่งอเมริกาเหนืออย่าง โคลัมเบียเรคอร์ดส์ (Columbia Records) ปล่อยซิงเกิลแรกอย่าง ‘What makes you beautiful’ ถัดมาเพียงไม่นานจึงเปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดแรก ‘Up All Night’ ซึ่งมียอดขายมากกว่า 176,000 แผ่น ตั้งแต่สัปดาห์แรกหลังเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ทำให้ในปี 2012 วง One Direction กลายเป็นบอยแบนด์จากอังกฤษวงแรกที่สามารถไต่ขึ้นไปยังอันดับ 1 ของชาร์ตบิลบอร์ด 200 (Billboard 200) ได้สำเร็จ

ปลายปีเดียวกันนั้น One Direction ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 อย่าง ‘Take Me Home’ โดยอัลบั้มนี้ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของพวกเขาทั้ง 5 อีกครั้ง ด้วยการที่เพลงติดชาร์ตไปทั่วโลก อาทิ Live while We’re Young และ Little Things ที่กระโดดขึ้นไปยังชาร์ตอันดับ 1 ของโลก รวมถึง Kiss You ที่ติดอันดับท็อป 10 ในสหรัฐอเมริกา

เมื่อกระแสตอบรับและแรงสนับสนุนจากแฟนเพลงขยายตัวอย่างรวดเร็ว การออกทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลกด้วยการแสดงไปมากกว่า 100 รอบจึงได้เกิดขึ้นในเวลาถัดมา โดยในช่วงเวลาเดียวกัน พวกเขาก็กำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘This Is Us’ ซึ่งเป็นภาพยนตร์สารคดีสามมิติเกี่ยวกับคอนเสิร์ต กำกับโดย มอร์แกน สเปอร์ล็อก (Morgan Spurlock) และเข้าฉายไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2013 ถือเป็นอีกครั้งที่หนุ่มๆ กอดความสำเร็จเอาไว้ด้วยการที่ภาพยนตร์ดังกล่าวขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตบ็อกซ์ออฟฟิศ (Box office) ของทั้งอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยกวาดรายได้ไปมากถึง 68.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

นอกจากนี้ ขณะที่กำลังทัวร์คอนเสิร์ตกันอยู่ พวกเขายังสามารถเจียดเวลามาทำเพลงในอัลบั้มชุดที่ 3 อย่าง ‘Midnight Memories’ และเปิดตัวทันในช่วงวันหยุดของปี 2013 โดยเนื้อหาแต่ละเพลงในชุดที่ 3 นี้ ถูกนำเสนอตัวตนของ One Direction ผ่านปลายปากกาของสมาชิกทั้งหมด ด้วยเพลงฮิตติดอันดับ 1 ของชาร์ตใน 7 ประเทศ อาทิ Best Song Ever และ Story of My Life

วัฏจักรการทำงานของ One Direction ยังคงวนเวียนอยู่กับการทัวร์คอนเสิร์ตและทำอัลบั้มใหม่ไปเรื่อยๆ ลากยาวมาจนถึงช่วงปลายปี 2014 ที่ได้ปล่อยอัลบั้มชุดที่ 4 ในชื่อ ‘FOUR’ และเป็นไปตามคาด ความสำเร็จกลายเป็นของคู่กันกับบอยแบนด์วงนี้ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยอัลบั้มนี้ได้พุ่งทะยานแตะอันดับ 1 ในชาร์ตเกือบ 20 ประเทศ ด้วยเพลงดังอย่าง Stealth My Girls และ Night Change 

แล้วเหตุการณ์บีบหัวใจแฟนเพลงก็เดินทางมาถึง ในต้นปี 2015 ด้วยตารางงานที่ค่อนข้างยุ่งเหยิงทั้งการทัวร์คอนเสิร์ตและโปรโมทเพลงใหม่ของวง ทำให้ในต้นเดือนมีนาคม เซย์น หนึ่งในสมาชิก ณ ขณะนั้น ตัดสินใจออกจากทัวร์เนื่องจากความเครียด จากนั้นในอีกไม่กี่วันถัดมาเขาก็ประกาศลาออกจากวงอย่างเป็นทางการผ่านทางเฟซบุ๊ก ใจความว่า 

“ชีวิตของผมกับ One Direction เป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะจินตนาการได้ แต่หลังจากผ่านไป 5 ปี ผมรู้สึกว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะออกจากวง ผมอยากจะขอโทษแฟนๆ ที่ต้องทำให้ผิดหวัง แต่ผมจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ใจรู้สึกจริงๆ เพราะผมอยากเป็นเพียงคนอายุ 22 ปี ธรรมดาๆ ที่สามารถพักผ่อนและใช้เวลาส่วนตัวโดยปราศจากแสงสปอตไลต์ได้ ผมรู้ว่าผมมีเพื่อนอีก 4 คนมาตลอดชีวิต คือ ลูอิส เลียม แฮร์รี และไนออล ผมรู้ว่าพวกเขาจะยังคงเป็นวงดนตรีที่ดีที่สุดวงหนึ่งของโลกต่อไปได้”

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว สมาชิกที่เหลืออีก 4 คนยังคงออกทัวร์ด้วยกันต่อไป จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม จึงได้ปล่อยเพลง Drag Me Down ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มชุดที่ 5 ในชื่อ ‘Made in the AM’ 

อีก 2 เดือนถัดมา พวกเขาออกมาประกาศว่าหลังจากการโปรโมตอัลบั้มชุดนี้สิ้นสุดลง One Direction จะหยุดพักงานยาวตลอดปี 2016 ทั้งนี้ อัลบั้ม ‘Made in the A.M.’ ได้เปิดตัวและวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2015 กับเพลงโปรโมตหลักอย่าง Infinity, Perfect, What A Feeling และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง History ที่เนื้อหาและมิวสิกวิดีโอได้นำเสนอเหตุการณ์ย้อนไปถึงการก่อตั้งวง ตั้งแต่เวที X Factor ไปจนถึงความสำเร็จต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเขา และจบลงด้วยภาพของหนุ่มๆ ที่กอดกันบนเวทีระหว่างการแสดงครั้งสุดท้ายในฐานะบอยแบนด์ แน่นอนว่าอัลบั้มชุดนี้ก็ยังครองใจแฟนเพลงได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นเคย ด้วยยอดขายอันดับ 1 ในอังกฤษ และอันดับ 2 ในสหรัฐอเมริกา

เด็กหนุ่มทั้ง 5 คนในวันนั้น ต่างเติบโตและร่วมเดินทางผ่านความสำเร็จมาด้วยกันกว่า 5 ปี การลาออกจากวง หรือการประกาศพักงาน ล้วนเป็นการตัดสินใจที่แฟนคลับเข้าใจได้ในที่สุด ทุกอย่างจึงดูเหมือนจะเรียบง่ายไม่ได้มีปัญหาอะไร จนกระทั่งในปี 2015 เซย์นให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone และกล่าวว่าเขาจะไม่ฟังเพลงของ One Direction 

“นั่นไม่ใช่เพลงที่ผมจะฟัง คุณจะฟัง One Direction ในงานปาร์ตี้กับสาวของคุณไหมล่ะ ผมจะไม่นะ ซึ่งสำหรับผมนี่ไม่ใช่การดูถูก มันคือความคิดของผมในวัย 22 ปี และเท่าที่ผมอยู่ในวงมา ผมรักทุกอย่างที่พวกเราทำ แต่มันไม่ใช่ดนตรีที่ผมจะฟังอยู่ดี” 

เช่นเดียวกันกับในปี 2016 ที่เซย์นออกมาให้สัมภาษณ์กับ Beats 1 สถานีวิทยุออนไลน์เกี่ยวกับรอยร้าวของเขาที่มีต่อวง โดยกล่าวว่าเขาไม่เคยต้องการอยู่ในวง One Direction 

“ผมคิดว่าผมอยากจะลาออกตั้งแต่ปีแรกจริงๆ ผมไม่เคยอยากอยู่ในวงดนตรีนั้น เพราะผมรู้ทิศทางของดนตรีที่เรากำลังเดินไป และรู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ที่สำหรับผม เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยเสนอความคิดเห็นใดๆ ได้เลย” 

ด้านแฮร์รีที่ค่อนข้างเก็บเงียบเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับสมาชิกคนอื่นๆ นับตั้งแต่แยกทางกัน ในที่สุดเขาก็ออกมาให้สัมภาษณ์กับ Rolling Stone ในปี 2017 ว่า 

“ผมคิดว่ามันน่าละอายที่เขารู้สึกแบบนั้น แต่ผมไม่เคยหวังอะไรนอกจากขอให้ทุกคนทำในสิ่งที่พวกเขารัก และขอให้โชคดี ถ้าคุณรู้สึกไม่สนุกกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ จำเป็นต้องเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น คุณก็ควรต้องเปลี่ยนจริงๆ ผมดีใจที่เขาได้ทำในสิ่งที่ชอบ ขอให้เขาโชคดี”

ในปี 2018 โลกโซเชียลฯ ก็ได้ร้อนระอุขึ้นอีกครั้งกับประเด็นคำพูดของเซย์น ในการให้สัมภาษณ์กับ GQ ที่เรียกได้ว่า ฉีก One Direction ออกเป็นชิ้นๆ โดยเขากล่าวแม้กระทั่งว่าตลอดชีวิตในช่วงที่อยู่ในวง เขาไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นเพื่อนกับสมาชิกที่เหลืออยู่เลย ประเด็นดังกล่าวสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนคลับจำนวนมาก เนื่องจากโพสต์บนเฟซบุ๊กที่เซย์นประกาศลาออกจากวง ได้เขียนว่าเขามีเพื่อน 4 คนมาตลอดชีวิต 

ในปีเดียวกันนั้น เขายังบอกกับ GQ อีกว่าเขารู้สึกว่ามุมมองความคิดของเขาไม่สอดคล้องกับแนวทางของวง ขณะที่ยังอยู่ใน One Direction เขารู้สึกว่าถูกลดบทบาทในแง่ของการทำเพลง 

“มุมมองความคิดของผมไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงเสมอไป” 

นอกจากนี้ เซย์นยังได้ให้สัมภาษณ์กับ Vogue UK อีกว่า One Direction เป็นเหมือน ‘เครื่องจักร’ โดยเขากล่าวถึงการมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างกะทันหันของวงและตารางทัวร์คอนเสิร์ตอันเข้มงวดว่า “ผมคิดย้อนกลับไปถึงการแสดงในช่วงท้ายๆ ตอนที่เราอยู่ในสถานที่จัดคอนเสิร์ต ผมไม่สามารถรู้สึกสนุกไปกับประสบการณ์เหล่านั้นได้จริง ๆ เราเหมือนเครื่องจักรที่วิ่งเร็วมากเกินไป”

ทำให้เกิดการตั้งคำถามในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวางถึงสาเหตุที่แท้จริงในการตัดสินใจดังกล่าวโดยมีเหตุผลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องและเป็นแรงกระตุ้นให้เซย์นตัดสินใจแยกทางกับวงมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสมาชิกทั้งสี่จะประกาศหยุดพักงาน รวมถึงอดีตสมาชิกอย่างเซย์น ที่ประกาศลาออกจากวงด้วยเหตุผลที่อยากออกไปใช้ชีวิตเป็นบุคคลธรรมดา ทว่าในปัจจุบันพวกเขาทั้ง 5 คน ต่างก็ยังโลดแล่นอยู่ในวงการเพลงในฐานะศิลปินเดี่ยว และผลิตผลงานเพลงออกมาจนประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฮร์รี สไตลส์ เจ้าของรางวัล Album Of The Year จาก GRAMMYs และรางวัลใหญ่อีก 4 สาขา จาก BRIT Awards ในปีล่าสุด อันได้แก่  Song Of The Year, Artist Of The Year, Best Pop/R&B Act และ Album Of The Year

“ผมอยากขอบคุณแม่ที่แอบสมัคร X-Factor ให้โดยที่ไม่ได้บอกผมก่อน และอยากขอบคุณไนออล ลูอิส เลียม และเซย์น หากไม่มีพวกเขา ผมก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ ขอบคุณมากครับ” 

แฮร์รีกล่าวขณะรับรางวัลบนเวที BRIT Awards 2023

แม้ในวันนี้ One Direction จะยังไม่ได้มีแผนในการกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง แต่เสียงเพลง มิตรภาพ และความทรงจำต่างๆ ที่พวกเขาร่วมสร้างไว้ด้วยกัน จะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมดนตรีว่า One Direction คือชื่อของวงบอยแบนด์จากอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดวงหนึ่งของโลก

 

ที่มา: 

https://www.billboard.com/music/pop/one-direction-ten-year-anniversary-fan-interviews-9419436/

https://www.billboard.com/music/awards/liam-payne-niall-horan-celebrate-harry-styles-grammys-win-1235213901/

https://www.allmusic.com/artist/one-direction-mn0002766592/biography 

https://www.insider.com/everything-one-direction-has-said-about-each-other-since-breakup-2019-5#in-2020-styles-spoke-to-vogue-about-being-part-of-the-band-17

https://www.etonline.com/harry-styles-thanks-one-direction-bandmates-during-album-of-the-year-win-at-2023-brit-awards-199002 

Tags: , , , ,