ในบรรดาหนังท่ามกลางเทศกาลภาพยนตร์ไต้หวัน 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่ House Samyarn ช่วงที่ผ่านมานั้น มีหนังเรื่องหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นไฮไลต์ที่น่าจับตาของเหล่าซินิไฟล์คือ Old Fox (2023) ผลงานกำกับโดย เซียว หย่าเฉียน (Hsiao Ya-Chuan) เนื่องจากหนังเรื่องนี้ได้เป็นตัวแทนเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมในปี 2025 

สำหรับเนื้อหาภายในเรื่อง เกิดขึ้นช่วงปลายยุค 1980s หลัง เลี่ยว เจี้ย (แสดงโดย ไป๋ หรุ่นอิน Bai Run-yin) เด็กชายวัย 11 ปี ผู้อาศัยอยู่กับพ่อ เลี่ยว ไท่ไหล (แสดงโดย หลิว กวนถิง Liu Kuan-Ting) ได้พบกับบอสเซี่ย (แสดงโดย อากิโอะ เฉิน Akio Chen) เศรษฐีเจ้าของบ้านเช่าที่ใครๆ ต่างเรียกเขาว่า จิ้งจอกเฒ่า ได้เข้ามาแทรกแซงโลกของเลี่ยวเจี้ยและเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ที่เขาเคยได้เรียนรู้จากผู้เป็นพ่ออย่างสิ้นเชิง 

สิ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ในทัศนะของผู้เขียนคือ การเล่าภาพสังคมไต้หวันของยุค 80s ที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ผ่านตัวละครเด็ก 11 ปีที่ก้ำกึ่งระหว่างวัยเด็กกับวัยรุ่นตอนต้น ซึ่งจำเป็นต้องเลือกระหว่างความดีที่พ่อปลูกฝัง หรือความมั่งคั่งที่จิ้งจอกเฒ่าสอน

บ้านกับร้านเสริมสวย: ความฝันและความหวังที่มีร่วมกันของสองพ่อลูก

ในช่วงแรกหนังค่อยๆ พาไปสำรวจชีวิตประจำวันของสองพ่อลูก ผ่านเสียงแซกโซโฟนยามค่ำที่เลี่ยว ไท่ไหล ผู้เป็นพ่อบรรเลงขับกล่อมจากห้องเช่าชั้น 2 ของตึกแถว ทั้งที่แท้จริงแล้ว เขาไม่ใช่ศิลปินผู้โรแมนติก หากแต่เป็นบริกรในภัตตาคารจีน โดยเลี่ยว ไท่ไหลเป็นคนเรียบร้อย ทรงผมหวีเรียบแปล้ เสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกับเสื้อกั๊ก และชุดสูทพอดีตัว สะท้อนว่า เขาดูแลตนเองและลูกชายได้เป็นอย่างดี แม้จะเป็นพ่อหม้ายที่มีภาระงานหนักหนา

และทุกตอนเย็นหลังเลิกเรียน เลี่ยว เจี้ยผู้เป็นลูกชายจะมานั่งทำการบ้านในครัวของภัตตาคารท่ามกลางเสียงดังโฉ่งฉ่างเพื่อรอพ่อเลิกงาน แล้วจึงซ้อนจักรยานพ่อกลับบ้าน เลี่ยวผู้พ่อใช้เวลาหลังเลิกงานไปกับการเล่นดนตรี ตัดเย็บเสื้อผ้าให้ลูก และฝึกฝนตัดผม เพื่อที่วันหนึ่งจะได้ทำตามความฝันของภรรยา ด้วยการเปิดร้านเสริมสวยในห้องแถวชั้นล่าง

ความฝันนี้ไม่เพียงเป็นของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น เพราะมันกลับกลายมาเป็นความฝัน และความหวังของเขา ทั้งยังส่งต่อไปสู่ลูกชายอย่างเลี่ยว เจี้ย ซึ่งก็มีความฝันร่วมกันกับครอบครัว

เลี่ยว เจี้ยเฝ้าถามพ่อทุกคืนว่า อีกนานไหมกว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านเปิดเป็นร้านเสริมสวยได้

‘อีก 3 ปีเท่านั้น’ จากการคำนวณของพ่อ 

โชคเข้าข้างสองพ่อลูกเมื่อร้านก๋วยเตี๋ยวในตึกชั้นล่างอู้ฟู้จากการเล่นหุ้น และกำลังจะย้ายออกจากตึกเช่าเร็วๆ นี้ ซ้ำยังให้เลี่ยว ไท่ไหลยืมเงินก้อนหนึ่งเพื่อซื้อบ้าน เปลี่ยนร้านก๋วยเตี๋ยวให้กลายเป็นร้านเสริมสวย

ความฝันเข้าใกล้ความจริงเร็วกว่าที่คิด แต่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าหลังจากได้เงินก้อนพอสำหรับซื้อบ้าน ราคาบ้านในไต้หวันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ความหวังของสองพ่อลูกที่จะมีบ้านเหมือนลูกโป่งที่เชือกขาดจนหลุดลอยหายไปในกลีบเมฆ

วันหนึ่งขณะเลิกเรียน เลี่ยว เจี้ยโดนกลุ่มเพื่อนรุ่นเดียวกันกลั่นแกล้ง ล้อเลียนเรื่องพ่อของเขา แม้ลึกๆ ในใจเขาเชื่อว่า สิ่งที่พ่อเขาเป็นไม่ได้มีอะไรน่าอับอาย พ่อของเขาเป็นคนดีและน่าภาคภูมิใจ แต่ถึงอย่างไรเด็กชายวัย 11 ปีก็ไม่ได้อยากโดนเยาะเย้ยเพราะยากจน และในวันที่ฝนตกหนักนั่นเองเขาได้ขึ้นรถยนต์ของบอสเซี่ยที่อาสาพาไปส่งบ้าน ซึ่งเขารู้ดีว่าจิ้งจอกเฒ่าคนนี้คือเจ้าของตึกแถวทั้งหมดในย่านนี้ และหากพ่อของเขาต้องการซื้อตึกในราคาที่คำนวณไว้ ต้องอ้อนวอนให้จิ้งจอกเฒ่าเมตตา ความหวังที่จะมีบ้านของเด็กชายอาจใกล้ความจริงกว่าที่คิด

เลี่ยว เจี้ยเฝ้ารบเร้าจิ้งจอกเฒ่าด้วยคำว่า “ขายบ้านให้พ่อผมเถอะ” แต่สำหรับคนเจ้าเล่ห์ที่รู้เรื่องตัวเลขเศรษฐกิจดีคงไม่มีวันขายในราคาถูกเช่นนั้น เพราะราคาอสังหาริมทรัพย์ไต้หวันกำลังพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ 

จนถึงจุดนี้ผู้เขียนเริ่มตั้งคำถามว่า การมีบ้านแล้วเปิดร้านเสริมสวยเป็นของตัวเอง สำคัญกับเด็ก 11 ปีอย่างไร ทั้งที่มันดูเป็นความฝันของพ่อแม่เสียมากกว่า 

เมื่อย้อนคิดดีๆ ความปรารถนาที่ไม่ประสบผลสำเร็จของพ่อแม่ มักถูกส่งต่อให้ลูกสานต่อโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุดท้ายครอบครัวก็มีความฝันร่วมกัน ประกอบกับเลี่ยว เจี้ยมักถูกเพื่อนวัยเดียวกันล้อเรื่องบ้านและฐานะ เมื่อพ่อให้สัญญาว่า เราจะมีบ้านในอีก 3 ปีข้างหน้า สำหรับเด็กวัย 11 ปี นอกจากเรื่องเล่นสนุก คำสัญญาจากผู้ใหญ่คือสิ่งที่จดจ่อรอเวลาให้มันเป็นความจริง ยังไม่นับว่าพ่อของเขาทำตามที่พูดไม่ได้ เขาจึงต้องมุมานะเจรจากับจิ้งจอกเฒ่าเสียเอง 

ท้ายที่สุด เมื่อบ้านกับร้านเสริมสวยกลายเป็นความฝันของเลี่ยว เจี้ย ดูเหมือนทั้งเรื่องจะมีแค่เด็กชายวัย 11 ปีเพียงผู้เดียวที่ต้องดิ้นรนทำฝันนั้นให้เป็นจริง ในขณะที่พ่อของเขาเริ่มถอดใจ จุดนี้ทำให้สงสัยว่าแท้จริง เลี่ยว ไท่ไหลมีความฝันหรือไม่ ร้านเสริมสวยเป็นความฝันของภรรยา แล้วตัวตนจริงๆ ของเขาคิดฝันอย่างไร เพราะความพยายามของเขาไม่ได้เทียบเท่าลูกชายเลย

เพราะความฝันที่มีร่วมกับครอบครัว แต่กลับมีแค่เลี่ยว เจี้ยที่เดินหน้าทำมันคนเดียว

‘ไม่ใช่เรื่องของเรา’

วัยเด็กที่พ่อแม่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบ แต่บางครั้งการที่พ่อแม่ทำบางเรื่องให้ลูกเสียความเชื่อถือ เด็กอาจต้องหันไปพึ่งพาผู้ใหญ่คนอื่น อย่างที่เลี่ยว เจี้ย เริ่มเสียความเชื่อมั่นในตัวพ่อเล็กน้อย เมื่อพ่อทำตามสัญญาไม่ได้ และช่วงเวลานี้เองเลี่ยว เจี้ยจึงไปคลุกคลีกับบอสเซี่ย เพื่อหวังว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมให้บอสเซี่ยยอมขายบ้านให้พ่อ เด็กกับคนแก่คุ้นเคยกันดี แต่มันไม่ใช่บรรยากาศที่น่ารักชวนยิ้มเหมือนปู่เล่นกับหลาน เพราะจิ้งจอกเฒ่าเอาแต่สอนเรื่องเร็วเกินไปสำหรับเด็ก 

บอสเซี่ยเริ่มพาเลี่ยว เจี้ยไปรู้จักกับโลกแห่งอำนาจ และเมื่อกลุ่มเด็กที่เคยรังแกเลี่ยว เจี้ยได้เห็นว่า เลี่ยว เจี้ยสนิทกับบอสเซี่ยผู้ร่ำรวยก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งอีกเลย ตาแก่ใช้เรื่องนี้สอนเลี่ยว เจี้ยว่า หากอยากมีเงินและอำนาจ ต้องเลือกอยู่ให้ถูกฝั่ง ระหว่างพ่อขี้แพ้หรือตาแก่เจ้าเล่ห์ ระหว่างความจนกับความรวย ก็เหมือนให้เลือกระหว่างทุนนิยมกับสังคมนิยม 

ซึ่งเหตุผลที่ตาแก่ผู้นี้พยายามครอบงำเลี่ยว เจี้ย เพราะมองเห็นตนเองในวัยเยาว์ผ่านเลี่ยว เจี้ย ที่มีความทะเยอทะยานเพื่อให้หลุดจากความอัตคัดของครอบครัว แต่กลับมีอุปสรรคคือแม่ที่ใจอ่อน เช่นเดียวกันกับเด็กคนนี้ที่มีเลี่ยว ไท่ไหลเป็นชนักติดอยู่ข้างหลัง ตามความคิดของจิ้งจอกเฒ่า 

คติของจิ้งจอกเฒ่าที่ค่อยๆ ซึมซาบเข้ามาในตัวเลี่ยว เจี้ย คือ ‘ไม่ใช่เรื่องของเรา’ ไม่ว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องของเรา สั่นคลอนความของเลี่ยว ไท่ไหล ที่เป็นคนคิดถึงคนอื่นก่อนเสมอ จนกระทั่งถึงวันที่โอกาสในการมีบ้านมาถึง เมื่อเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวฆ่าตัวตายเพราะหุ้นตก เลี่ยว เจี้ยในวัย 11 ปี เลือกคว้าโอกาสไว้โดยใช้ค่านิยมที่รับมาจิ้งจอกเฒ่า โดยเจรจาขอซื้อห้องชั้นล่างนี้ แน่นอนว่า เลี่ยว เจี้ยทำสำเร็จ ในขณะที่เลี่ยว ไท่ไหลคิดว่า นี่ยังไม่ใช่โอกาสของเขาและลูก เลี่ยวผู้พ่อเห็นอกเห็นใจครอบครัวร้านก๋วยเตี๋ยว ยอมให้ทายาทของร้านซื้อห้องชั้นล่าง และดำเนินกิจการต่อจากพ่อที่ตาย

เลี่ยวเจี้ยโกรธพ่อและบอกกับพ่อว่า “มันไม่ใช่เรื่องของเรา” นี่คือจุดแตกหักของสองพ่อลูก เมื่อ เลี่ยวเจี้ย เริ่มแสดงตัวตนที่ตรงข้ามกับศีลธรรมที่พ่อเขาปลูกฝัง บอสเซี่ยสอนเลี่ยว เจี้ยให้เห็นแก่ตัว ก่อนคิดถึงคนอื่น นี่อาจไม่ใช่เรื่องที่แย่ เพราะบทเรียนบทนี้มาจากชีวิตจริงของบอสเซี่ยที่เคยลำบากยากจนมาก่อน การคิดถึงชีวิตและปากท้องตนเองก่อนจะผิดบาปแค่ไหนกัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเอารับคำว่า ‘ไม่ใช่เรื่องของเรา’ จากจิ้งจอกเฒ่ามาเป็นยันต์กันความรู้สึกผิดของเลี่ยว เจี้ย เพราะพ่อของเขาเป็นคนอ่อนโยนมากเกินไป เด็กชายเห็นด้วยว่า บางครั้งพ่อของเขาก็ทำเพื่อคนอื่นจนน่ารำคาญเหลือเกิน ซึ่งเลี่ยว ไท่ไหลดูเหลาะแหละเมื่อเทียบกับลูกชาย สะท้อนถึงความแตกต่างในตัวพ่อกับลูกตั้งแต่ตอนต้น 

สำหรับบอสเซี่ย คำว่า ‘ไม่ใช่เรื่องของเรา’ คือคำที่เขาท่องไว้ในใจเสมอ เมื่อเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแทรกซึมในใจ เป็นฉากที่แสดงว่า ชายแก่ผู้นี้ยังได้รับการถ่ายทอดอุปนิสัยที่ดีจากแม่ เพียงแต่เขาต้องกดข่มมันไว้เพื่อเงินและอำนาจ จนกลายเป็นจิ้งจอกเฒ่าที่คนรังเกียจ

และคำถามถัดไปคือ สุดท้ายเลี่ยว เจี้ย ที่มีชีวิตวัยเด็กคล้ายกับบอสเซี่ย จะโตมาเป็นจิ้งจอกหรือรากแห่งศีลธรรมที่พ่อของเขาปลูกฝังไว้จะมั่นคงพอให้เติบใหญ่เยี่ยงพ่อของเขา แน่นอนว่าในภาพยนตร์เรื่องนี้มีคำตอบ

จุดที่ผู้เขียนชอบในภาพยนตร์เรื่องนี้คือ การเล่าชีวิตของบุคคลผู้หนึ่ง ผ่านชีวิตของเด็กอีกคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพแวดล้อมคล้ายกัน เป็นภาพทับซ้อนที่เหมือนกับการได้การมองใครสักคน แล้วนึกถึงตนเองในวันที่ยากลำบากจนเกิดความรู้สึกเวทนา 

ออสการ์อยู่แค่เอื้อม

ด้านการออกแบบตัวละคร สำหรับผู้เขียนต้องขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ค่อนข้าง ‘คลิเช่’ โดยเฉพาะตัวเลี่ยว ไท่ไหล ที่เป็นคนดีแต่ยากเข็ญ ขยันขันแข็งแต่ไม่มีวันสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะอุปนิสัย ‘ดีเกินไป’ หรืออย่างตัวละครบอสเซี่ยหรือจิ้งจอกเฒ่า เป็นคนรวยที่เห็นแก่ตัว ไม่สนใจใคร ทั้ง 2 ตัวละครนี้มีปูมหลังที่คนดูอาจเดาได้อยู่แล้ว เป็นตัวละครที่ค่อนข้างเรียบแบบสุดโต่ง แต่รูปแบบเช่นนี้กลับส่งเสริมให้ตัวละครเลี่ยว เจี้ย วัย 11 ปี แข็งแรงและโดดเด่นขึ้นมา ประกอบกับฝีมือการแสดงของไป๋ หรุ่นอิน ทำให้ภาพยนตร์น่าติดตามมากขึ้น

ในแง่ของการเล่าเรื่อง กล่าวได้ว่าบทเก่งฉกาจตรงสามารถทำให้เราเชื่อว่าตัวละครมีทางเลือกแค่ 2 ทาง ต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง ไม่ซ้ายก็ขวา แม้ในความเป็นจริงเราอาจไม่เลือกสักทาง หรือเลือกลองเดินไปในทุกทางเดินย้อนไปย้อนมา ก็ไม่ใช่เรื่องผิด

นอกจากนี้ ภาพและบรรยากาศในเรื่องคือภาพไต้หวันในยุค 1980s โดยเฉพาะฉากในร้านอาหารจีน บรรยากาศ แสงสี เป็นไต้หวันวินเทจที่เชื่อว่า คนไทยคุ้นเคยและชื่นชอบ รวมถึงการผนวกช่วงเวลาประวัติศาสตร์ลงในหนังแล้วเลือกเล่าผ่านตัวละครเด็ก โดยรวมถือว่า Old Fox สมศักดิ์ศรีภาพยนตร์ตัวแทนไต้หวัน

แม้ในวันนี้จะยังไม่ถึงวันประกาศผลรางวัลออสการ์ แต่เชื่อว่านี่น่าจะเป็นหนังไต้หวันอีกเรื่องหนึ่งที่ซื้อใจคนไทยได้ไม่ยากอย่างแน่นอน

Tags: , , , ,