*** บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาในภาพยนตร์***
You know how to do the math, don’t you?
คือคำถามที่ ลูซี (ดาโคตา จอห์นสัน) ถามแฮร์รี (เปรโด ปาสคาล) ในภาพยนตร์ Materialists ของ เซลิน ซง (Celine Song) ขณะเดียวกันก็เหมือนตั้งคำถามกับคนดูอย่างเราเช่นกันว่า เราจะสามารถพบกับคนรักที่ติ๊กถูกทุกข้อในลิสต์บ็อกซ์ของเราได้ไหม หรือเราจะสามารถรักคนที่ไม่ตรงตามสเป็ก และต่ำกว่ามาตรฐานเราได้จริงหรือเปล่า
Lucy: You know how to do the math, don’t you?
(คุณคิดคำนวณเป็นใช่ไหม)
You’re investing a lot in me, huh?
(ดูเหมือนคุณลงทุนกับฉันเยอะเลยนะ)
ขอยอมรับก่อนว่า หนังเรื่องนี้ทำงานกับเราค่อนข้างหนัก ทั้งในแง่ของบทและการดำเนินเรื่อง ที่สามารถทำให้เราอมยิ้มตามได้แบบง่ายๆ ขณะเดียวกันก็ตั้งคำถามอย่างขมขื่น และตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความรักในโลกทุนนิยมแห่งนี้
เมื่อความรักเป็นมากกว่าเรื่องของคน 2 คน และอาจชี้ให้เห็นว่าเราทุกคนล้วนต่างเป็นพวก ‘วัตถุนิยม’ เมื่อพูดถึงเรื่องของความรัก
เชื่อว่าทุกคนคงมีภาพคนในฝัน และมาตรฐานมากมายสำหรับแฟนในอนาคต ทั้งหน้าตา ส่วนสูง การศึกษา รายได้ และอาจมากไปถึงการมีพื้นเพครอบครัวที่คล้ายคลึงกัน
ทั้งหมดทั้งมวลอาจนำไปสู่การประเมินและตีมูลค่าว่าคุ้มค่าหรือไม่ มีความเหมาะสมกับเรามากแค่ไหน และต้องติ๊กถูกกี่ข้อถึงจะมายืนเคียงข้างกันในวันแต่งงานได้
หนังเรื่องนี้จึงตั้งคำถามได้อย่างชาญฉลาดว่า หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงมนุษย์ยุคหิน ‘วัตถุนิยม’ ที่นำมาวัดคุณค่าของความรักนั้นคือสิ่งใดกันแน่
Lucy: I don’t want to hate you because you’re poor, but right now I do, and it makes me hate myself.
(ฉันไม่อยากเกลียดคุณเพียงเพราะคุณจน แต่ตอนนั้นฉันรู้สึกแบบนั้น และมันทำให้ฉันเกลียดตัวเอง)
John: Do you know how hard it is to make you happy? And I want you to be happy. I’m trying, I really am.
(คุณรู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่จะทำให้คุณมีความสุข แล้วผมก็อยากให้คุณมีความสุขจริงๆ นะ ผมพยายามอยู่จริงๆ)
Lucy: I know. And it’s almost enough to make me happy. I wish that I didn’t care if we ate from a halal cart on our five-year anniversary, but I do. And however much you hate me, I promise, I hate myself more.
(ฉันรู้ และมันทำให้ฉันเกือบจะมีความสุขจริงๆ ฉันหวังว่าฉันจะไม่สนใจเลยว่าวันครบรอบ 5 ปี เราจะกินอาหารจากรถเข็นฮาลาล แต่ฉันสนใจ และไม่ว่าคุณจะเกลียดฉันมากเท่าไร ฉันสัญญาเลยว่า ฉันเกลียดตัวเองมากกว่านั้น)
John: I don’t hate you.
(ฉันไม่ได้เกลียดเธอ)
Lucy: You do. And it’s not because we’re not in love. It’s because we’re broke.
(คุณเกลียด แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าเราไม่ได้รักกัน แต่เพราะพวกเราจนต่างหาก)
นอกจากการตั้งคำถามถึงความรักในยุคปัจจุบัน ที่เราเกือบจะเปรียบตัวเองและคนอื่นเป็นสินค้า ที่ต้องหาให้ตรงสเป็กตามที่เราต้องการ และสามารถเลือกสรรสินค้าได้ตามชอบในแอปพลิเคชันหาคู่ เว็บไซต์ หรือบริการ Matchmaker แบบในหนัง
เช่น ขอส่วนสูงเกิน 180 เซนติเมตร, อายุไม่เกิน 30 ปี, จบการศึกษาขั้นต่ำปริญญาตรี, พูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา และต้องรักแมว
แล้ว ‘ความรัก’ แบบโรแมนติกนั้น สามารถเกิดขึ้นได้จริงไหมในปัจจุบัน หรือการที่ทุกอย่างถูกเปลี่ยนให้เป็นเรื่องของ ‘วัตถุนิยม’ อาจทำให้รักแท้นั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก หรือสูญพันธุ์ไปแล้ว
แล้วความรักแบบไม่มีเงื่อนไข ตามสำนวนไทยที่เคยกล่าวไว้ว่า กัดก้อนเกลือกิน หรืออย่างในเนื้อเพลง As Long as You Love me ของ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) ที่ร้องว่า
As long as you love me
We could be starving,
we could be homeless,
we could be broke
ตราบใดที่เธอยังรักฉันอยู่
เราจะหิวโหยก็ได้
เราจะเป็นคนไร้บ้านก็ได้
เราจะลำบากยากจนก็ได้
รักแบบที่ว่ายังมีอยู่ไหมในตอนนี้
High risk, uncertain return
นอกจากเซลินจะชวนเราตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของความรักแล้ว ยังชี้ให้เห็นว่า ความรักยังเป็นเรื่องของการทำธุรกิจและการลงทุน ซึ่งเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งการลงทุนเกี่ยวกับโปรไฟล์ หน้าตา การศึกษา หรือแม้แต่เงินที่จ่ายในแอปพลิเคชันหาคู่ แต่ขณะเดียวกันกลับไม่มีการการันตีผลตอบแทน
แถมการลงทุนดังกล่าวยังมาพร้อมกับความเสี่ยง เช่น เสี่ยงที่ไม่ได้รับความรักกลับมา หรือเสี่ยงว่าจะเจอคน Red Flag ในความสัมพันธ์ ซึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็ไม่มีใครบอกได้อีกว่าจะเป็นคนที่สามารถอยู่กับเราไปทั้งชีวิตได้หรือไม่
จนนำไปสู่คำถามที่ออกจะ Materialists ว่าความรักครั้งนี้มันคุ้มค่าจริงหรือ
Sophie: But I am not merchandise. I’m a person. And I know I deserve love.
(แต่ฉันไม่ใช่สินค้า ฉันคือคน และฉันรู้ว่าฉันคู่ควรกับความรัก)
ความจริงที่ตลกร้ายคือ ในขณะที่เรากำลังให้คะแนน วัดคุณค่าหรือมูลค่าของคนที่เราเดตหรือคบด้วยนั้น ขณะเดียวกันเราก็กำลังถูกประเมินคะแนนจากใครสักคนอยู่ก็ได้
แล้วทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ แท้จริงแล้ว เรายังต้องการความรักกันอยู่ไหม
หลังจากหนังค่อยๆ พาเราไต่ระดับเรื่องราวและอารมณ์ จนนำมาสู่คำถามสำคัญที่เซลิน ถามออกมาตรงๆ ว่า
John: Why does anybody even get married?
(ทำไมคนเราต้องแต่งงานกันด้วย)
Lucy: Because people tell them they should, and because they’re lonely, and because they’re hopeful.
(ก็เพราะคนอื่นบอกว่าควรแต่ง เพราะเขาเหงา และเพราะเขายังมีความหวังอยู่)
ส่วนคำตอบที่แท้จริงนั้น แต่ละบุคคลต้องเป็นคนหาคำตอบเอง
ส่วนตัวผู้เขียนนั้น หลังดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบลูซี เราจะเลือกคำตอบแบบไหน
บางทีอาจเป็นเพราะยังไม่เจอใครที่ทำให้การตัดสินใจในเรื่องความรักกลายเป็นเรื่องง่าย รักอย่างไร้เงื่อนไข โดยไม่ต้องคอยมานั่งชั่งน้ำหนัก คำนวณมูลค่า หรือวัดคุณค่าของความรักก็ได้
หรือจริงๆ แล้ว เมื่อพูดถึงเรื่องความรักเราทุกคนล้วนเป็น Materialistic กันแน่
Tags: Celine Song, เซลิน ซง, Past Lives, Materialists, ความรัก, รักแบบไหนที่ใจตามหา, หนัง, ภาพยนตร์, Screen and Sound, วัตถุนิยม, Materialistic