อัลบั้มที่ไม่ดูถูกคนฟัง

ว่ากันตามตรง ในฐานะผู้เสพที่ติดตามวงการเคป็อปมา 15 ปีเต็ม ‘Chill Kill’ เป็นอัลบั้มที่จะไม่พบเจอได้ง่ายๆ เลยในยุคนี้ โดยเฉพาะเมื่อเรายืนอยู่ท่ามกลางทะเลเคป็อปสีรุ้ง ที่อัดแน่นไปด้วยคลื่นศิลปินน้อยใหญ่มากมายที่แข่งขัน ซัดสาด และถาโถมใส่แฟนเพลงด้วย ซิงเกิลใหม่! เอ็มวีใหม่! อัลบั้มใหม่! ไม่หยุดหย่อนจากทั่วทุกทิศทาง

เราปฏิเสธไม่ได้ว่าวงการเคป็อป คือเวทีแห่งการแย่งชิงความสนใจจากกลุ่มผู้เสพด้วย ‘ภาพลักษณ์’ เป็นหลัก แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าอยู่ดีที่ต้นสังกัดส่วนใหญ่ มักทุ่มเม็ดเงินและกระบวนการระดมความคิด รวมถึงหยาดเหงื่อและแรงกายของศิลปินไปกับเพลงไตเติล เอ็มวี และท่าเต้นเป็นหลัก โดยไม่เหลียวแลคุณภาพของเพลง B-side ในอัลบั้มมากมายนัก

อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เรายังคงอดไม่ได้ที่จะรอคอยและติดตามผลงานของ Red Velvet เสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่คัมแบ็ก เพราะพวกเธอได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเคารพแฟนเพลงของตัวเองมากขนาดไหน ด้วยหลากอัลบั้มและหลายอีพีที่คับแน่นไปด้วยเพลงคุณภาพ

เราจึงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ค่อยๆ ละเลียดฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้มเต็มลำดับที่ 3 ของพวกเธอ Chill Kill ก่อนจะพบว่านี่คืออัลบั้มรสสัมผัส Velvet ไม่ทิ้งกลิ่น Red ที่แสนยอดเยี่ยม

1. Chill Kill

เธอมาที่นี่อย่างไรกัน พุ่งชนโลกที่เคยเงียบงัน

ผู้ปล้นคร่าความสงบที่ฟาดเข้ามาราวกับสายฟ้า

ตื่นเต้นวาบหวามจนทำฉันแทบบ้า

มาเติมน้ำตาลลงในข้อผิดพลาด

เติมความรุ่งโรจน์ลงในความเว้าแหว่ง

แต่ฉันยังอยากพบเธออีกครั้ง

เสียดายแทบตาย จนไม่แคร์ถ้ามันจะเจ็บปวด

จิตวิญญาณไร้มลทินที่เหมาะกับตัวเธอนั้น

ฉันจะสามารถรั้งเธอเอาไว้ได้อีกไหมนะ

เช่นเดียวกับฉากหน้าทางดนตรีที่มีทั้งท่อนเวิร์สสีดำทะมึนและท่อนฮุกสีสดใส นี่คือป็อปแดนซ์เนื้อเพลงคลั่งรักของหญิงสาวผู้ตกหลุมรักโศกนาฏกรรมเดินได้ ชนิดที่ว่าต่อให้อีกฝ่ายมอบความเจ็บปวดหรือความปั่นป่วนในชีวิตมากพียงใด เธอก็ไม่สามารถทำใจลืมเขาได้ ความหมายชวนให้นึกถึงตัวละครหญิงที่ถอนตัวจาก Toxic Relationship ไม่ได้ในเพลง Psycho

Chill Kill ถือเป็นเพลงที่ได้รับแรงต้านจากแฟนๆ ชาวไทยพอสมควรในช่วงแรกที่ถูกปล่อยออกมา เพราะแม้จะไม่ใช่เพลงแนว Experimental จ๋าอย่าง Zimzalabim หรือ Birthday แต่ก็คงไม่ใช่เพลงชาติขึ้นหิ้งอย่าง Red Flavor เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนคิดว่า Chill Kill ห่างไกลกับคำว่า ‘ไม่คู่ควร’ เป็นเพลงไตเติลของอัลบั้มอยู่มาก จริงอยู่ว่านี่อาจไม่ใช่เพลงพิมพ์นิยมสีลูกกวาดที่การันตีว่าจะแช่แข็งสวนแตง หรือครองพื้นที่บนอาณาจักร TikTok ติดต่อกันได้เป็นเดือนๆ แต่มันเป็นผลงานศิลป์แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางดนตรีของ Red Velvet และความคิดสร้างสรรค์ของโปรดิวเซอร์ที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเสียงแอดลิบยากๆ และท่อนบริดจ์แสนฉูดฉาดที่เราอยากยกให้เป็นบริดจ์แห่งปี

2. Knock Knock (Who’s there?)

ทุกภาพที่เห็นดั่งบานกระจก

ภาพเงาของเธอพรายแสง

ยามที่เฝ้ามองฉัน

ก๊อก ก๊อก เปิดประตูหน่อย

เกมแห่งการตระเวนหากันและกัน

ฉันตกหลุมรักมันขึ้นทุกทีแล้วสิ

มันช่างขมอมหวาน แต่ฉันก็ชอบที่ได้ไล่ตาม

กลายเป็นว่าเพลงฝั่ง Velvet เต็มตัวที่หลายคนรอคอยอยู่ดันเป็นเพลงลำดับที่สองของอัลบั้มเสียอย่างนั้น ด้วยท่วงทำนองลึกลับจากส่วนผสมของเมโลดีขี้เล่นเย้าแหย่ เบสหนักๆ แซมเปิลเสียงระฆังและนาฬิกา ออกมาเป็นผลงานเพลงที่ติดหู เหมือนเสียงกล่องเพลงเก่าๆ หลอนๆ ที่จะกลับมาอยู่ที่เดิมเสมอไม่ว่าเราจะโยนมันทิ้งไปอีกสักกี่ครั้ง

เช่นเดียวกับ Zimzalabim ที่ต้องมี Sunny Side Up! แพ็กมาคู่กัน Chill Kill กับ Knock Knock (Who’s there?) ก็คือเพลงพี่สาวน้องสาวที่ต้องปล่อยออกมาด้วยกันในอัลบั้มเดียวเท่านั้น จึงจะสมเหตุสมผลที่สุด

3. Underwater

ตัวสั่นเทาจากสัมผัสอุ่นที่ไม่คุ้นเคย เพราะเธอทั้งนั้น

ความรู้สึกที่ปลุกเธอให้ตื่นขึ้น ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง

ฉันรอไม่ไหวแล้วที่รัก

มันจะเป็นยังไงต่อ เธอควรทำให้ฉันเห็น

เธอดำดิ่งลงไปข้างในฉัน เติมเต็มฉันลึกจนสุดใจ

บัลลาดเพลงแรกของอัลบั้มให้ความรู้สึกเอื่อยสบาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็มึนงงอื้ออึง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ใต้น้ำตามชื่อเพลงไม่มีผิด เป็น Red Velvet กลิ่น R&B ที่เราแสนคิดถึง ด้วยเสียงร้องกึ่งลมแผ่วๆ และเสียงซินธ์ชวนฝัน

4. Will I Ever See You Again?

คำทักทายที่ขาดห้วงและพื้นที่ว่างสุดท้าย

ให้ความรู้สึกราวกับราตรีนิมิตกลางคิมหันต์

ทั้งหมดของใจฉัน ณ ช่วงเวลาหนึ่ง

ถ้อยคำที่เอ่อล้นด้วยความรู้สึก

เธอคือความฝันและปาฏิหาริย์

ราวกับฉากจบในหนัง

ฉันไม่อยากอยู่ในห้วงเวลาที่ยาวนานนี้

อยากเก็บเอาวันวาน เปิดดวงตาที่ปิดอยู่คู่นี้

หากเธอยังจดจำมันได้ชัดเจนไม่รู้จบ

ฉันจะได้เจอเธออีกหรือเปล่า

เพลงจังหวะกลางๆ ที่เหมาะสำหรับเปิดเวลาขับรถตอนกลางคืน ด้วยบรรยากาศเพลงที่ดูกระฉับกระเฉงมีพลัง แต่ในขณะเดียวกัน ก็สงบนิ่งอย่างประหลาด เหมือนกำลังติดอยู่ในลูปเวลา หรือความฝันกึ่ง Lucid Dream ที่เหมือนจะรู้ตัว แต่ก็ควบคุมไม่ได้

5. Nightmare

จงปิดตาและหูของเธอเอาไว้เถอะ

เช่นนั้นแล้ว ต่อให้ฉันจะหลอกลวงเธอ เราก็จะไม่เป็นไร

อย่าลืมเสียล่ะว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นแค่ความฝัน

พอแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะที่รัก ลาก่อน

สิ่งนั้นที่กลืนกินเราสองเมื่อกลางดึก

ก็เป็นแค่ฝันร้าย ฝันร้าย มันเป็นเพียงฝันร้ายเท่านั้น

เมื่อแดดเช้าเข้ามาจุมพิต ฝันร้ายทั้งหมดก็จะมลายหายไป

แม้จะมีชื่อเพลงว่า ‘ฝันร้าย’ แต่กลับมีท่อนฮุกที่น่ารักและปลอบประโลมใจ คอนทราสต์กับท่อนอื่นๆ ในเพลงที่คงคอนเซปต์ความหลอน มืดมน และเต็มไปด้วยมนต์ขลังเอาไว้ได้ เข้ากับคอนเซปต์อัลบั้มและคาร์แรกเตอร์ของ Red Velvet ได้เป็นอย่างดี

6. Iced Coffee

ยิ่งดื่มเธอเข้าไปเท่าไร

ค่ำคืนของฉันก็ยิ่งยาวขึ้นเท่านั้น

มึนงงและอ่อนเปลี้ยตั้งแต่หัวจรดเท้า

ข้างในกายฉัน ประสาทสัมผัสทั้งหมด

อุณหภูมิหยุดนิ่งลงในช่วงเวลานั้น

ความรู้สึกหนาวเย็นและเคลิบเคลิ้ม

เธอนั่นเองที่ทำให้ฉันฟุ้งซ่านถึงเพียงนี้

ทำให้ฉันกระหายกาแฟเย็นมากขึ้นไปอีก

ใช่แล้ว เธอเอาฉันเสียอยู่หมัด

เหมือนกาแฟเย็นที่ฉันเสพติด

อีกหนึ่งเพลงสไตล์บัลลาด R&B สะเทือนอารมณ์ที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยเสียงดนตรีเครื่องสายจังหวะช้า กีตาร์ทำนองใสๆ  

เป็นเพลงบอกรักสีหม่นๆ เหมือนอเมริกาโนเย็นในหน้าหนาว บอกเล่าความรู้สึกรักลึกซึ้งที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและเทิดทูน เหมือนคนอดนอนในภาวะยอมจำนนต่อความรู้สึกดีจากคาเฟอีนในยามเช้า

7. One Kiss

จูบเดียว เล่ห์กลที่สะกดเธอให้ต้องมนต์ได้ทันใด

เธอจะไม่ลืมจูบของฉัน ความลับของเราจะไร้ที่ติ

ดูราวกับจะเอื้อมไม่ถึง นับหนึ่ง สอง สาม

เธอจะเสียสติราวกับก้าวเท้าจมลงไปในโคลนตม

เพียงจูบเดียว เล่ห์กลที่จะกลืนกินเธอเข้าไปในพริบตา

ตัดเลี่ยนด้วยเพลงแดนซ์บีตหนักจังหวะคึกคัก เกี่ยวกับผู้หญิงมั่นใจที่สนุกกับความสัมพันธ์ฉาบฉวย และการหว่านเสน่ห์ทำคะแนนให้คนแปลกหน้าตกหลุมรักจนโงหัวไม่ขึ้นด้วย ‘เพียงจูบเดียว’

8. Bulldozer

ฉันคือแทรกเตอร์ปราบดิน

รีบหนีไปซะ ตอนที่ฉันยังให้โอกาส

เพราะฉันน่ะใจร้อนกว่าที่เห็น

ฉันเป็นได้ทั้งกวี และทั้งความเจ็บปวดของเธอ

เมื่อเริ่มแล้วเธอจะหยุดยังไงล่ะ

ในเมื่อฉันน่ะมันไม่มีเบรก

ไปต่อด้วยป็อปแดนซ์เพลงสุดท้ายกับท่อนฮุกสนุกติดหู มีจุดเด่นที่ท่อนเวิร์สกลิ่นฮิปฮอป เสียงฮัม และเสียงร้องคีย์ต่ำทรงเสน่ห์ของสาวๆ เนื้อเพลงเรื่องราวเกี่ยวกับหญิงสาวที่ไม่ใช่แค่นักรักแต่ยังเป็นตัวทำลายล้าง  

9. Wings

กางปีกของเธอออกสิเจ้าผีเสื้อ

เหนือโลกกว้างที่ปรากฏต่อสายตา

คือท้องฟ้ากำลังอ้าแขนรับเธอ

บินให้สูงและแพรวพราววับวาม

ต่อให้ค่ำคืนที่มาถึงจะมืดเพียงใด

รุ่งอรุณก็จะกลับมาอีกครั้ง

เพลง R&B ติดกลิ่นแจซเล็กๆ มาพร้อมกับจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว ชวนให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เสียงเปียโนเบาสบาย และมู้ดเพลงโดยรวมที่ฉีกจากเพลงอื่นในอัลบั้มมากที่สุด

หากทุกเพลงในอัลบั้มถูกเขียนขึ้นด้วยคอนเซปต์ ‘ความหวัง’ และ ‘โศกนาฏกรรม’ จริงๆ นี่คงเป็นเพลงที่พูดถึงความหวังด้วยภาพที่สว่างไสวเป็นพิเศษ

10. Scenery (품경화)

บทเพลงแห่งความสุขที่ฟังกับเธอยังคงอยู่

ราวกับว่าฤดูร้อนจะคงอยู่ตลอดไป

คอยเติมเต็มเรื่องราวที่สวยงามราวกับภาพวาด

ทุกภาพที่วาดลงบนกระดาษสีขาวบริสุทธิ์

จะอย่างไร เมฆก็จะต้องลอยผ่านไป ต้นไม้ก็จะต้องเปลี่ยนสี

เหมือนทิวทัศน์ที่ดูคล้ายกับฉันและเธอ ทีละภาพ  ทีละภาพ

เหมือนความลับซึ่งมีเพียงเราสองที่สามารถเปิดออกและค้นเจอ

ส่งท้ายด้วยอะคูสติกบัลลาดจังหวะช้าชวนอบอุ่นใจ เข้ากับความหมายเพลงรสขมอมหวาน และธีมของการหวนระลึกถึงอดีตที่สวยงาม เป็นเพลงโครงสร้างเรียบง่ายที่เปิดโอกาสให้เราได้ฟังเนื้อเสียงของ Red Velvet ชัดๆ ทิ้งท้ายอัลบั้ม

Overview

โดยรวมแล้ว Chill Kill เป็นอัลบั้มเต็มที่คุ้มค่ากับการรอคอยทีเดียว นอกจากคอนเซปต์อาร์ตที่เต็มไปด้วยเรื่องราวแล้ว เพลงในอัลบั้มยังมีความเป็นงานคราฟต์สูงมาก ทำให้น้องเค้กได้โชว์ของแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ

อย่างไรก็ดี เมื่อ Red Velvet เป็นศิลปินในสังกัดตึกชมพู ข้อเสียอย่างเกี่ยวกับดนตรีที่ถูกผลิตออกจากตึกนี้ คือทีมโปรดิวเซอร์มักไม่สามารถสลัดองค์ประกอบความเป็นดนตรีวงไอดอลแสน Generic บางอย่างทิ้งไปได้ง่ายๆ เช่น ท่อนแรปแปลกๆ ที่นอกจากจะไม่จำเป็นแล้วยังทำให้เพลงฟังดู ‘เกร่อ’ ขึ้น ซึ่งปรากฎให้เห็นในศิลปินแทบทุกวง (อาจกล่าวได้ว่าเป็นแทบทุกค่ายไม่ใช่แค่ SM?)

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ข้อเสียที่มองข้ามไม่ได้ เพราะมันเป็นสิ่งเราคาดหวังไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าจะต้องมี แต่ในขณะเดียวกัน เราก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่าสักวันหนึ่งศิลปินไอดอลที่เราชื่นชอบจะสามารถทลายข้อจำกัดและก้าวข้าม ‘สูตรสำเร็จดนตรีไอดอล’ พวกนี้ไปได้

ส่วนหนึ่งคงเพราะเชื่อมั่นในตัว Red Velvet และเพราะ Chill Kill ก็เป็นหนึ่งในหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ยืนยันว่าตอนนี้สาวๆ เองก็กำลังต่อสู้ในศึกของพวกเธออยู่ ด้วยการผลิตผลงานคราฟต์ให้เกียรติคนฟังออกมาเสมอ แม้ว่าตอนนี้เราจะติดอยู่ในยุคเฟื่องฟูของดนตรี Tiktok Core สั้นๆ ที่ฟังแล้วติดหูง่ายๆ ภายในเวลาไม่กี่วินาทีก็ตาม

Tags: , , , , ,