หลังจากเกิดความตึงเครียดและข้อเรียกร้องจากบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กรณีการจัดสรรและโอนเงินค่าบริการผู้ป่วยใน (IP) ปีงบประมาณ 2568 ที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา จน พัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งไม่ถึง 2 สัปดาห์ ต้องลงมาแก้ปัญหาและหารือร่วมกันระหว่าง นายแพทย์สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับนายแพทย์จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568

พัฒนาแถลงหลังการหารือว่าเป็นไปด้วยดี พร้อมย้ำว่า สิทธิบัตรทองคือ Safety Net ของประเทศ ทุกฝ่ายมีเจตนาดีเพื่อสุขภาพประชาชน และหลังจากนี้ 2 หน่วยงานจะทำงานใกล้ชิดมากขึ้น รับรู้ข้อมูลเท่ากัน พร้อมสื่อสารถึงโรงพยาบาล ทั้งเรื่องงบประมาณ แนวทางการบริหารที่มีอยู่อย่างจำกัด และการดำเนินการกรณีงบประมาณไม่เพียงพอ รวมถึงใช้เป็นฐานในการของบประมาณปีต่อไป

ทั้งนี้ตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ถือเป็นระบบสวัสดิการด้านสุขภาพที่ดีที่สุดระบบหนึ่งของโลก และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ ฉะนั้นสิ่งดีๆ ที่ดำเนินการมาแล้วจะต้องคงไว้ และพัฒนาต่อยอดให้ดียิ่งขึ้น การดำเนินการใดที่เป็นอุปสรรคและปัญหาต้องได้รับการแก้ไขและปรับปรุงทันที

“อะไรที่เป็นปัญหาเราจะต้องมีการพูดคุย และหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เกิดขึ้นโดยทันที ไม่ว่าจะเป็นหลักเกณฑ์การบริหารกองทุนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบอร์ด สปสช. ยุทธศาสตร์การดูแลผู้ป่วย ขอบเขตการให้บริการ และการควบคุมคุณภาพ โดยมุ่งเป้าไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ที่จะได้เข้าถึงการดูแลด้านสุขภาพเท่าเทียม ควบคู่ไปกับการดูแลของบุคลากรทางการแพทย์ให้ได้มากที่สุด แต่ยังคงรักษาประสิทธิภาพการให้บริการของประชาชนเป็นหลักสำคัญ”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวด้วยว่า การบริหารจัดการ สปสช.ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะกระบวนการที่ส่งผลต่อการจ่ายค่าชดเชย และงบประมาณของหน่วยบริการ ซึ่งเป็นภาระต่อโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง จึงให้ปลัดกระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางออกอย่างเป็นระบบ

ที่มาของปัญหา ‘ยอดเงินติดลบ’

ปัญหาดังกล่าวเริ่มต้นเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2568 สปสช.ได้โอนเงินค่าบริการผู้ป่วยใน รอบผลงานเดือนสิงหาคม-15 กันยายน 2568 รวม 1,661 ล้านบาท แต่จากการปรับปรุงข้อมูลผลงานและอัตราจ่ายตามเกณฑ์มาตรฐาน มีการปรับลดสมดุลบัญชีลงกว่า 905 ล้านบาท ทำให้หน่วยบริการได้รับเงินสุทธิเพียง 756 ล้านบาท ส่งผลให้หน่วยบริการจำนวน 438 แห่ง มียอดคงเหลือทางบัญชีติดลบจากการปรับสมดุลในรอบนี้

ทั้งนี้สาเหตุหลักของการปรับสมดุลบัญชีมาจาก

1. การคำนวณย้อนหลัง (Re-run) เนื่องจากงบประมาณเป็นแบบปลายปิด สปสช.จึงคำนวณย้อนหลังค่าค่าน้ำหนักของโรคหรือ AdjRW ในช่วง 1.5 เดือนสุดท้าย (1 สิงหาคม-15 กันยายน 2568) ซึ่งพบว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมลดลงจากอัตราจ่ายเบื้องต้นที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW

2. การปรับผลงาน จากผลการสุ่มตรวจสอบเวชระเบียนประมาณ 3% และการนำผลการตรวจสอบมาขยายผลงาน (Extrapolation) ใน 4 เขตสุขภาพ ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 8, เขตสุขภาพที่ 10, เขตสุขภาพที่ 11 และเขตสุขภาพที่ 13

หลังจากการหารือร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กับเลขาธิการ สปสช. เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2568 และการประชุมติดตามผลเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 ระหว่าง สปสช.และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีผู้แทนชมรมโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน และชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ได้ข้อสรุปเป็นมติใน 6 ประเด็นที่เห็นร่วมกัน ดังนี้

1. ยกเลิกการคำนวณย้อนหลังสำหรับการจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2567-31 กรกฎาคม 2568

2. สปสช.จะแสดงวงเงินคงเหลือปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในทุกกองทุน เพื่อนำเงินส่วนที่เหลือมาบริหารจัดการ

3. คำนวณการจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพื่อจ่ายทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย ยอดบริการรักษาพยาบาล ช่วงวันที่ 1 สิงหาคม-วันที่ 15 กันยายน 2568 ในอัตรา 8,350 บาทต่อ AdjRW รวมถึงการจ่ายชดเชยค่าบริการจากกองทุนอื่นๆ เช่น กองทุนบริการกรณีเฉพาะ (CR) และกองทุนบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) ของภาครัฐ

4. จัดสรรเงินคงเหลือทั้งหมด เพื่อจ่ายชดเชยค่ารักษาพยาบาลให้หน่วยบริการเท่าที่จ่ายได้ โดยที่เหลือเป็นการเตรียมการจ่ายเงินชดเชยที่คงเหลือ

5. แสวงหางบประมาณเพิ่มเติม โดยรองบกลางจากรัฐบาลเป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอให้พิจารณานำงบประมาณ ปี 2569 มาชดเชยให้ครบถ้วน

6. สร้างข้อตกลงร่วมกัน ระหว่าง สปสช.กับ สธ.ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายเงินชดเชยใดๆ โดย สปสช.จะหารือกับกองเศรษฐกิจสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และตัวแทนผู้ให้บริการ เพื่อสร้างความเข้าใจก่อนดำเนินการ

โดย สปสช.จะนำมติร่วมทั้ง 6 ข้อ เข้าสู่การพิจารณาของบอร์ด สปสช.ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้

นอกจากนี้เพื่อแก้ไขปัญหางบประมาณค่ารักษาผู้ป่วยในที่ไม่เพียงพอในภาพรวม เนื่องจากมีการใช้บริการผู้ป่วยในเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ มติบอร์ด สปสช.ได้ดำเนินการของบกลางจากรัฐบาลเพิ่มเติม และขณะนี้อยู่ระหว่างการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

สำหรับแนวทางการบริหารงบประมาณปีงบประมาณ 2569 นั้น กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.จะทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีข้อมูลการให้บริการที่ชัดเจน และใช้เป็นฐานในการของบประมาณเพิ่มเติม เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถบริการผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ประเด็นที่น่าสนใจของความขัดแย้งในครั้งนี้คือ สังคมเห็นความพยายามแก้ไขปัญหาที่มาจากฝั่งปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สมฤกษ์ที่เพิ่งรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ที่ยืนยันว่า การทำงานต้องมี สธ.และ สปสช.เดินหน้าไปด้วยกัน คำที่นายแพทย์สมฤกษ์ใช้คือ ต้องทำงานใกล้ชิดและรู้ข้อมูลเท่าๆ กัน ช่วงต้นปีงบประมาณตกลงกันให้เข้าใจ เมื่อ 2 ฝ่ายทำงานไปและพบว่าเงินไม่พอ ก็หาทางแก้ไขด้วยกันเพื่อเติมเงินให้พอ โดยเชื่อว่าในปีงบประมาณ 2570 เมื่อทั้งกระทรวงสาธารณสุข และ สปสช.ทำงานใกล้ชิด จะทำให้การของบประมาณมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะสะท้อนต้นทุนของการบริการจริง

ซึ่งแตกต่างจากท่าทีของผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ในอดีตที่มักจะร่วมวงถล่ม สปสช. แต่ไม่มีแนวทางแก้ไข และทำให้เกิดความขัดแย้งกันเรื่อยมา เมื่อสอดรับกับท่าทีของพัฒนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ต้องการให้ความขัดแย้งครั้งนี้จบลงด้วยดีและยุติโดยเร็ว เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขการันตีเองว่า ระบบดีอยู่แล้วแต่อะไรที่เป็นปัญหาต้องพูดคุยและหาทางแก้ไขด้วยกัน

ทั้งหมดส่งผลให้ สปสช.ปรับท่าทีบางอย่างจากเดิมที่ยืนกรานว่า จ่ายตามระเบียบหลักเกณฑ์และเป็นไปตามกติกา เปลี่ยนเป็นการยอมรับว่าที่ผ่านมาการบริหารกองทุนอาจมีปัญหาจริง นายแพทย์จเด็จ เลขาธิการ สปสช.รับว่า ในการบริหารยังมีบางจุดที่เกิดความไม่เข้าใจกันในบางประเด็น โดยเฉพาะงบปลายปิดกองทุนผู้ป่วยใน ที่มีผลงานการบริการมากกว่าเป้าหมาย ทำให้งบประมาณไม่เพียงพอ

แต่ย้ำว่า เมื่อได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว เห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องที่แก้ไขได้โดยกลไกความร่วมมือที่ชัดเจน และก็ได้เห็นภาพของการทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำนานแล้ว แต่ที่ผ่านมากลับขัดแย้งและทะเลาะกันผ่านสื่อ จนไม่อาจเกิดความร่วมมือขึ้นมาได้

หลังจากนี้สังคมต้องจับตาดูว่า มติที่ประชุมบอร์ด สปสช. 3 พฤศจิกายนนี้จะออกมาอย่างไร และความร่วมมือระหว่าง สธ.-สปสช.จะเดินหน้าได้ในแบบที่ทุกฝ่าย Win-Win ได้หรือไม่

Tags: , ,