ลมเย็นกลิ่นเค็มทะเลเจือรอยยิ้มของนายสถานีรถไฟในเวลาเกือบเที่ยงคืน เป็นสัมผัสแรกที่ต้อนรับเราเข้าสู่เมืองปอร์โต้อย่างเป็นทางการ
วิวบนเนินเขาจะมองเห็นเมืองปอร์โต้
รถไฟฟ้าขนาด 2 โบกี้เล็กๆ ค่อยๆ พาเราเคลื่อนจากสนามบินสู่ใจกลางเมืองพร้อมนักเดินทางหัวทองอีกหลายคน เรามาจบที่สถานี São Bento เมื่อพ้นจากประตูสถานี เราถึงกับต้องยืนสตั๊นกับความงามยามวิกาลของปอร์โต้ แสงไฟสลัวๆ และตึกเก่าบนเนินเขาลดหลั่นเรียงซ้อนกันราวกับภาพวาดช่างน่าประทับใจ ซึ่งน่าประทับใจพอๆ กับบททดสอบหฤหรรษ์หลังจากนั้นที่ต้องลากกระเป๋าใบใหญ่กับเส้นทาง 700 เมตรบนเนินเขา ทริปนี้เราเลือกพักในบูติกโฮเทลเล็กๆ ริมแม่น้ำโดรู (แม่น้ำทองคำ) เพราะอยากรับแสงแรกของวันในวิวที่ดีที่สุดของเมือง
นาฬิกาวินเทจในห้องบอกเวลาว่าตี 1 แล้ว วินาทีนั้น หมดแรง ล้มตัวลงบนเตียงขาวนุ่มๆ พรุ่งนี้จะชมความงามของเมืองให้จุใจ เลยทีเดียว
Francesinha เมนูที่ต้องลองหากมาเมืองนี้
เช้าวันแรกที่ปอร์โต้ เราออกมารับแดดและลมแรงๆ รับมื้อเช้าด้วยจานเด็ด นามว่า ‘Francesinha’ เมนูที่นักโภชนาการอาจไม่แนะนำเพราะรวมที่สุดของแคลอรี (แต่เราแนะนำให้โดน) ขนมปังห่อหมูและแฮมทอด อบชีส ราดซอสเบียร์มะเขือเทศ โปะไข่และเฟรนช์ฟราย ที่สุดของการเพิ่มน้ำหนัก เมนูนี้มีเปลี่ยนใส้ไฮโซได้ (มีทั้งเนื้อวากิว หรือกุ้งลอบสเตอร์ เลือกได้ตามทุนทรัพย์) ระหว่างละเลียดอาหารเช้าแกล้มวิวริมน้ำไปพร้อมๆ กันนี้ จะขอเล่าแนะนำเมืองปอร์โต้ให้ฟังสักหน่อย
ลานกลางเมือง
ปอร์โต้ (Porto / Oporto แปลได้ว่า The Port หรือ ท่าเรือ) เป็นหนึ่งในเมืองศูนย์กลางเก่าแก่ของยุโรป ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของโปรตุเกส เป็นเมืองอันดับสองรองจากเมืองหลวงลิสบอน (Lisbon) เมืองนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี ค.ศ.1996 หากจะเทียบกันกับไทย ความงามของปอร์โต้เทียบชั้นเชิงได้กับภูเก็ตที่รุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ เมื่อบวกบรรยากาศความชิลแบบเมืองตากอากาศและสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่เข้าไป ทำให้ปอร์โต้เท่ น่าสัมผัสในแบบของตัวเอง
แม่น้ำสายหลักของเมืองตามที่เล่าไป ชื่อว่า โดรู (แม่น้ำทองคำ) แม่น้ำนี้แบ่งเมืองเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียงรายด้วยโรงบ่มไวน์ เปิดให้เข้าเยี่ยมชมชิมพอร์ตไวน์เลื่องชื่อ (พอร์ตไวน์ คือไวน์รสหวาน ถึงหวานมาก ได้จากการนำเอาไวน์องุ่นมาใส่บรั่นดี ทานปิดมื้ออาหาร) ส่วนอีกฝั่งเมืองเก่า เป็นย่านการค้า แหล่งท่องเที่ยว และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
แม่น้ำโดรู
หากย้อนไปเมื่อหลายร้อยปีโปรตุเกสเป็นประเทศหนึ่งที่เป็นเจ้าอาณานิคม เราจึงได้เห็นศิลปะแบบโปรตุเกสแทรกตัวปะปนอยู่ทุกมุมโลก (เช่นที่เราคุ้นเคยกันดีกับสถาปัตยกรรมสไตล์ ชิโนโปรตุกีส ตามเมืองภูเก็ต ระนอง) ซึ่งนอกจากเอกลักษณ์ของทรงอาคารจะโดดเด่นแล้ว การประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องวาดก็นับเป็นซิกเนเจอร์ของสถาปัตยกรรมโปรตุเกส โดยกระเบื้องวาด หรือ Azulejo รากศัพท์แปลได้ว่าหินที่สุกใสแวววาว การตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระเบื้อง Azulejo จะพบได้ในเขตสเปน โปรตุเกส ซึ่งได้รับอิทธิพลเริ่มแรกจากกระเบื้องโมเสกไบเซนไทและโรมัน
สถานที่ไฮไลท์จัดว่าเด็ดต้องไปเยือนพินิจความงามของกระเบื้องวาด เช่น ผนังด้านข้างของโบสถ์ Igreja do Carmo และ Igreja dos Carmelitas Descalços (สำนักสงฆ์และสำนักนางชี ขั้นกลางด้วยบ้านหลังเล็กๆ แค่ 1 เมตร – ภาพของที่นี่เป็นภาพตราตรึงใจที่เราเห็นจากอินสตาแกรมของพี่สไตล์ลิสเมื่อหลายปีก่อน ทำให้เราตัดสินใจมาปอร์โต) ภาพวาดกระเบื้องสูงราวตึก 5 ชั้น เล่าเรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเทือกเขาคาราเมลในอิสราเอล เป็นภาพแลนด์มาร์กที่งดงาม เรากดชัตเตอร์รัวได้มาหลายสิบภาพ จะถ่ายมุมใหนก็งาม ประทับใจแบบให้ห้าดาว
ภายในสถานีรถไฟกลาง São Bento Train Station
São Bento Train Station สถานีรถไฟกลาง หนึ่งในแลนด์มาร์กของเมือง ภายในสถานีบนพื้นที่ 551 ตารางเมตร ถูกปกคลุมด้วยกระเบื้องสีโทนสว่าง พาสเทล ภาพบนผนังประกอบด้วยภาพของกษัตริย์หลายพระองค์ตั้งแต่ในยุคศตวรรษที่ 12 ภาพเรื่องราวของการสู้รบและชัยชนะของโปรตุเกสเหนือเมืองต่างๆ ภาพวิถีชีวิตชนบทและวิวัฒนาการด้านการคมนาคมของเมือง
Sé do Porto หรือ มหาวิหารแห่งปอร์โต้
Sé do Porto หรือ มหาวิหารแห่งปอร์โต้ โบสถ์คริสต์เก่าแก่ตั้งอยู่บนเนินเขาลักษณะวิหารสร้างตามอย่างป้อมปราการโรมัน หากดูจากภายนอกโบสถ์นี้อาจดูธรรมดาทั่วไป แต่หากจ่าย 3 ยูโร เข้าชมพิพิธภัณฑ์ในส่วนวิหารโกธิค ท่านจะค้นพบว่าที่นี่ไม่ธรรมดา
แผ่นกระเบื้องวาดเล็กๆ ที่เหมาะจะเป็นของฝาก
ทางเดินโดยรอบ รายล้อมไปด้วยกระเบื้องวาดสีน้ำเงิน เล่าเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับการเมือง สงคราม และศาสนา สวยงามแบบสตั๊นไป 7 นาที เหมือนหลุดไปอยู่ในยุคนั้น นอกจากนี้ด้วยโบสถ์ตั้งอยู่ในเนินมุมสูง หากอยากได้ภาพเมืองหลังคาแบบพาโนรามา ให้ปักหมุดดาวแดงว่าท่านควรมาที่นี่ และหากท้องฟ้าเป็นใจ เราะจะได้เห็นภาพหลังคาส้มตัดกับท้องฟ้างดงามแบบเกินคำบรรยาย
หากอยากเก็บความประทับใจกลับบ้าน ตามร้านขายของที่ระลึกก็มีแผ่นกระเบื้องวาดให้เราได้ซื้อสะสมเป็นคอลเลกชั่นส่วนตัวด้วย
‘Palácio da Bolsa’ หรือ Stock Exchange Palace อาคารสไตล์นีโอคลาสสิก
นอกจากจะได้อิ่มตากับความงามของกระเบื้องแล้ว ที่ปอร์โต้ยังมีสถาปัตยกรรมในสไตล์อื่นๆ ให้เราได้ตัดเลี่ยน เช่น ในโซน Ribera (อยู่ติดริมน้ำโดรู) เราขอมอบสายสะพายพร้อมมงกุฎเพชรกับสถานที่นี้ ‘Palácio da Bolsa’ หรือ Stock Exchange Palace อาคารสไตล์นีโอคลาสสิกใช้เวลาสร้างตึกกว่า 4 ปี ในขณะที่ใช้เวลาตกแต่งยาวนานกว่า 60 ปี
โถงกลางสูง 3 ชั้น ในนาม Pátio das Nações หรือ Hall of Nations เป็นโถงต้อนรับ มองสูงขึ้นไปจะพบกับเพดานแห่งเรื่องราวการค้า ประดับภาพด้วยตราสัญลักษณ์ (อาร์ม) ของประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าอย่างแน่นแฟ้นกับปอร์โต้ ภายในตึกประกอบด้วยห้องต่างๆ มากมาย แต่ห้องที่ห้ามพลาดชมคือ Arab Room ที่ตกแต่งด้วยศิลปะสไตล์แขกมัวร์ แรงบันดาลใจมาจากพระราชวังในเมือกรานาดา ประเทศสเปน ซึ่งปัจจุบันได้เปิดใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและคนสำคัญระดับประเทศเท่านั้น
Igreja de São Francisco หรือ โบสถ์นักบุญฟรานซิส และจุดเริ่มต้นของรถราง
อาคารติดกันนั้น ยังเป็นที่ตั้งของ Igreja de São Francisco หรือ โบสถ์นักบุญฟรานซิส ตั้งตระหง่านด้วยศิลปะโกธิค แต่ภายในทำให้เราประหลาดใจได้ด้วยการตกแต่งในสไตล์บาโรก แต่เสียดายที่เราไปในวันหยุด เลยไม่ได้เข้าชม ด้านหน้าของโบสถ์แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของรถรางที่จะพาเลาะแม่น้ำไปเป็นระยะทาง 20 กิโลเมตร ใครพอมีเวลาการเสียเงินไม่ถึง 2 ยูโร ชมริมน้ำด้วยวิธีน้ำนับเป็นไอเดียที่เก๋กู้ด
หลังลงจากรถรางและยังรู้สึกว่าไม่เต็มอิ่มกับวิวเมือง ไม่ไกลออกไปมีจุดชมปอร์โต้จากมุมสูงอีกจุดคือ ที่ Torre dos Clérigos หรือ หอระฆัง ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนเจ้าของผลงานสไตล์บาโรก ตัวหอสูง 76 เมตร หากจะขึ้นไปด้านบนยอด ท่านต้องรวมพละกำลังปีนบันไดกว่า 225 ขั้น แต่วิวงดงามที่ได้ชม นับว่าคุ้มค่าน่าประทับใจ
นอกจากความ ‘เก่า’ ปอร์โต้เป็นอีกเหมือหนึ่งที่สามารถพัฒนาตัวเองให้มีความ ‘เก๋า’ หรือภาษาวัยรุ่นเรียก ‘คูล’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ เก๋าที่ว่าคือการการผสมผสานความร่วมสมัยเข้าไปโดยไม่ทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของเมือง ตลอดทางในตรอกเล็ก ตรอกน้อยเราจะเห็นพิพิธภัณฑ์ ร้านค้าสมัยใหม่(ในตึกเก่า) ผุดขึ้นมากมาย
ตัวอย่างความเก๋าของปอร์โต้ เช่น โปรเจ็กต์ Hard Club การแปลงพื้นที่ตลาดเก่า โดยครอบโครงเหล็กเรือนกระจกสีแดงในพื้นที่เดิมและบูรณะงานตกแต่งภายในบางส่วน ใช้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ มีทั้งส่วนของร้านหนังสือ ห้องแสดงคอนเสิร์ต แกลอรี ร้านอาหาร และบาร์ นอกจากนั้นเรายังจะเห็นโรงแรมสมัยใหม่ที่นำเอากลิ่นอายและรากเหง้าเอกลักษณ์ดั้งเดิมมาต่อยอด เช่นการหยิบกระเบื้องวาดมาแต่งแต้มพื้นที่สไตล์มินิมอล (Minimal) ผสมผสานเป็นความเท่ ความเก๋า ที่ลงตัว
หากยุโรปเป็นหนึ่งจุดหมายปลายทางที่กำลังจะไป ลองจัดเวลาสักสองสามวันแวะสำรวจเมืองเสน่ห์ริมท่าแห่งนี้ แล้วคุณจะเทใจให้เหมือนกับที่ใครหลายๆคน มาปอร์โต้แล้ว ไม่อยากกลับ
Tags: โปรตุเกส, ปอร์โต้