ตอนเด็กๆ การได้เลือกซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เป็นความสุขเล็กๆ อย่างหนึ่งของฉัน ส่วนความฝันของฉันน่ะหรือ? ก็การได้มี walk-in closet แบบที่เห็นในหนังนั่นไง แบบที่มีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า และเมคอัพ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบสวยงาม

ก็ดูผู้หญิงต้นแบบแต่ละคนสิ คนที่เลิศเลอเพอร์เฟกต์อย่างตัวละครหลักในหนังในละคร ถ้าเป็นผู้หญิงในเมือง เสื้อผ้าหน้าผมจะต้องเป๊ะ แถมแต่ละวันก็จะเปลี่ยนลุค โชว์ความมีสไตล์ผ่านเสื้อผ้าที่ไม่เคยซ้ำ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเลือกเสื้อผ้าในแต่ละวันกลับน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ ในวันทั่วไป ฉันปฏิเสธการไปช็อปปิ้ง เพราะอยากใช้เวลากับอย่างอื่นมากกว่า อย่าว่าแต่ช็อปปิ้งเลย แค่เลือกชุดในตู้เสื้อผ้าเล็กๆ ฉันก็เซ็งจะแย่อยู่แล้ว เพราะขี้เกียจเลือก ทุกวันนี้จึงมักจะจบลงด้วยการใส่มั่วๆ เห็นอะไรก็ใส่ อะไรหยิบง่ายก็ใส่

จริงๆ แล้วฉันก็ใช้พลังสมองเลือกอยู่ดีนั่นแหละ แต่เมื่อเลือกแล้วก็มักจะถามตัวเองว่า

“เราใส่อะไรอยู่เนี่ย?”

“เสื้อกับกางเกงมันเข้ากันไหม?”

“ครั้งหลังสุดที่ใส่ชุดนี้มันเมื่อไรกันนะ?”

หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนที่ประสบความสำเร็จลำดับต้นๆ ของโลกอย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สตีฟ จอบส์ และบารัก โอบามา ตั้งใจใส่ชุดเหมือนเดิมตลอด เพื่อลด decision fatigue หรือความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ

ไอเดียก็คือยิ่งต้องตัดสินใจมากเท่าไหร่ คุณภาพการตัดสินใจที่เหลือในวันนั้นก็จะยิ่งลดลง

พวกเขาจึงเลือก choice minimalism ซึ่งก็คือการลดจำนวนการตัดสินใจให้น้อยที่สุด และในกรณีนี้ การตัดสินใจที่ถูกตัดออกก็คือ ‘ลุค’ ของพวกเขาในแต่ละวัน

ย้ำว่า ‘ลุค’ ไม่ใช่แค่เสื้อผ้าอย่างเดียว

เมื่อได้ยินไลฟ์สไตล์แบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าเป็นความคิดที่เจ๋งมาก ทั้งประหยัดเวลา ประหยัดการตัดสินใจ และประหยัดเงินในกระเป๋า

ทั้งนี้ทั้งนั้น ฉันไม่ได้มีเจตนาสนับสนุนการบังคับให้ใครใส่เครื่องแบบ ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียน ชุดนักศึกษา ฯลฯ ฉันขอไม่วิจารณ์เครื่องแบบในโอกาสนี้

ประเด็นที่ฉันกำลังพูดถึงไม่ใช่ประเด็นเรื่องเครื่องแบบ แต่ฉันหมายถึงการที่เจ้าตัว ‘เลือก’ ชุดเอง เน้นว่า ‘เลือกเอง’ แล้วใส่ทุกวัน ไม่ได้มีผู้มีอำนาจจากเบื้องบนบังคับให้ใส่

จริงๆ แล้วในชีวิตของฉันก็มีคนที่ไม่ใส่เครื่องแบบแต่แต่งตัวเหมือนเดิมแทบทุกวันอยู่จำนวนหนึ่ง

ว่าแต่เอ๊ะ! ทำไมคนที่ทำได้อย่างมั่นใจเป็นผู้ชายหมดเลยล่ะ?

หลายคนคงเคยได้ยินว่าคนที่ประสบความสำเร็จลำดับต้นๆ ของโลกอย่างมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก สตีฟ จอบส์ และบารัก โอบามา ตั้งใจใส่ชุดเหมือนเดิมตลอด เพื่อลด decision fatigue หรือความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ

มีบทความบอกเล่าประสบการณ์ของผู้หญิงสามคนที่ทดลองแต่งตัวเหมือนเดิมตลอด 30 วัน ผู้หญิงสองคนบอกว่ามันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองน่าเบื่อและรู้สึกไม่มั่นใจ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครว่าอะไรเธอเลย ส่วนคนที่สามบอกว่ามันทำให้เธอมั่นใจกว่าเดิม แต่ในการทดลอง เธอเปลี่ยนเมคอัพ ทรงผม และรองเท้าในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น ตลอด 30 วัน เธอแต่งชุดเหมือนเดิม แต่ไม่ได้เก็บลุคเดิมไว้ตลอด

ฉันเองก็เคยคิดจะลองทำอยู่เหมือนกัน แต่เอาเข้าจริงก็เสียดายเสื้อผ้าที่มีอยู่ พอเห็นมันแล้วก็รู้สึกว่าใส่เท่าที่มีอยู่ก็ได้

ลึกๆ แล้วฉันกลัวคนอื่นมองว่าแปลกด้วยแหละ ฉันยังหนีไม่พ้นการเลือกในทุกๆ วัน ใจคงยังไม่แข็งพอ

ข้อสังเกตของฉันก็คือเหมือนกับว่าผู้ชายจำนวนไม่น้อยรู้สึกชิลกับการใส่ชุดแบบเดิมแทบทุกวัน แต่ผู้หญิง (โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 50 ปี) มักจะรู้สึกไม่มั่นใจถ้าทำแบบเดียวกัน

ความต่างนี้ชัดเจนเป็นพิเศษในโอกาสสำคัญ เช่น งานที่ต้องแต่งตัวแบบเป็นทางการ ในขณะที่ผู้ชายใส่เชิ้ต ใส่สูท ใส่กางเกงตัวเดิม ใส่รองเท้าคู่เดิม ก็เท่ หล่อ สมาร์ทได้เต็มที่ แต่ผู้หญิงต้องเปลี่ยนลุคทุกงาน ลุคไหนถูกใจมวลมหาประชาชนก็จะได้รับคำชม ส่วนใครใส่เดรสตัวเดิม เมคอัพเหมือนเดิม ทรงผมเหมือนเดิม รองเท้าเหมือนเดิมออกงานซ้ำๆ ล่ะก็…แปลกน่าดู

ลึกๆ แล้วฉันกลัวคนอื่นมองว่าแปลกด้วยแหละ ฉันยังหนีไม่พ้นการเลือกในทุกๆ วัน ใจคงยังไม่แข็งพอ

ที่บอกไว้ข้างต้นว่าฉันเลิกไปช็อปปิ้ง ก็ต้องสารภาพว่ามีข้อยกเว้น ฉันยังไม่อาจปฏิเสธการช็อปสำหรับโอกาสพิเศษได้ โอกาสพิเศษที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานที่ต้องแต่งตัวแบบเป็นทางการด้วยสิ

เพราะอะไร? ก็เพราะฉันยังตกเป็นทาสความไม่มั่นใจในการใส่ชุดซ้ำๆ ไง แล้วพอมีโอกาสพิเศษทั้งทีก็อยากมั่นใจเต็มที่

หรือว่าในช่วงเวลาที่ผู้หญิงกำลังคิดเรื่องเสื้อผ้าในแต่ละวัน ผู้ชายกำลังคิดต่อยอดงานของพวกเขาอยู่?

หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่คนที่ประสบความสำเร็จลำดับต้นๆ มักจะเป็นผู้ชาย?

ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะดูเหมือนว่าการวัดค่าของผู้หญิง สังคมมักให้น้ำหนักที่รูปลักษณ์ ในขณะที่การวัดค่าของผู้ชาย น้ำหนักจะอยู่ที่ความสามารถหรือหน้าที่การงานมากกว่า

แล้วใครจะไม่อยากถูกสังคมมองว่าเลอค่าบ้างล่ะ?

ที่ทรมานใจก็เพราะรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองอยากให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า แต่การปฏิบัติให้ถึงที่สุดอย่างมั่นใจ ไม่แคร์สายตาชาวบ้าน ก็ยังเป็นเรื่องที่ท้าทาย

จะว่าไป ถ้าผู้หญิงพร้อมใจทำเหมือนกัน มันอาจไม่เป็นเรื่องแปลกอีกต่อไปก็ได้

หรือถ้าใครมีไอดอลหญิงที่แต่งชุดแบบเดิมทุกวัน ก็รบกวนแจ้งในคอมเมนต์ด้วยค่ะ เผื่อจะช่วยให้ฉันมีแรงบันดาลใจและเอาชนะความไม่มั่นใจของตัวเองได้บ้าง

 

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.stylist.co.uk/fashion/how-to-create-a-uniform-for-work-a-uniform-the-uniform-challenge-matilda-kahl/114239
https://thehustle.co/i-wore-the-same-thing-for-30-days